ชายชุดเหลืองมาจากเรือนมรรคโลกาสวรรค์ ฉายามรรค ‘จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิง’ เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ก้าวสู่ระดับจักรพรรดิขั้นสี่คนหนึ่ง
เขารู้ดีว่าสำหรับระดับจักรพรรดิคนใดก็ตาม กำแพงเมืองหมื่นมรรคย่อมเป็นหนทางสู่นิพพานที่ไม่อาจร้องขอ
เพียงประจำอยู่ที่ป้อมปราการ ล่าสัตว์ประหลาดฟ้าดารา ก็ชิงทรัพยากรในการฝึกปราณที่ระดับจักรพรรดิใฝ่ฝันได้แล้ว ในโลกภายนอกนี่ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจพบเจอแต่แรก
แต่จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงยิ่งรู้ดีว่า กำแพงเมืองหมื่นมรรคเป็นสถานที่ซึ่งอันตรายระดับใด!
เจ็ดปีมานี้มีระดับจักรพรรดิร่วงหล่นไปสิบเก้าคนแล้ว ด้วยถูกสัตว์ประหลาดฟ้าดาราสังหาร มรรควิถีทั้งตัวล้วนถูกกลืนกินไปหมด จิตสิ้นวิญญาณสลายอย่างสมบูรณ์
ระดับจักรพรรดิที่ร่วงหล่นพวกนี้ คนที่อ่อนแอที่สุดมีพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่ง คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นหก!
โดยเฉพาะยามนึกถึงภาพการต่อสู้จนตายของระดับจักรพรรดิขั้นหกเพียงคนเดียวที่สิ้นชีพไปนั้น จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงก็ตัวสั่นขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ระดับจักรพรรดิขั้นหกคนนั้นมาจากเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ตระกูลข่ง พลังต่อสู้แข็งแกร่งหาใดเปรียบ เดิมทีด้วยพลังต่อสู้ของเขา ย่อมเพียงพอจะสังหารสัตว์ประหลาดฟ้าดารานั้นได้โดยง่าย
แต่เหตุไม่คาดฝันกลับเกิดขึ้น ทวนเล่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าพุ่งมาจากไหนแหวกผ่านฟ้าดาราไร้ขอบเขต ทะลวงผ่านหัวใจของผู้อาวุโสตระกูลข่งคนนั้นในคราเดียว ร่างกายล้วนกลายเป็นฝุ่นผง หายไปจากฟ้าดารา
หลังจากนั้นระดับจักรพรรดิที่กระจายอยู่บนกำแพงเมืองหมื่นมรรคได้คาดเดาอย่างเป็นเอกฉันท์อย่างหนึ่ง…
เจ้าของทวนที่ฆ่าผู้อาวุโสตระกูลข่งคนนั้น มีโอกาสสูงว่าจะเป็นบุคคลน่ากลัวคนหนึ่งที่มาจากฟากฝั่งฟ้าดารา!
ด้วยการตายของผู้อาวุโสตระกูลข่งคนนี้ ทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิมากมายหนาวเยือกในใจ คิดจะถอนตัว ไม่อยากประจำการอยู่ที่นี่อีก
แต่ที่จนปัญญาคือไม่มีใครจากไปได้!
ป้อมปราการแต่ละแห่งล้วนปกคลุมด้วยพลังระเบียบชั้นยอด อย่าว่าแต่จากกำแพงเมืองหมื่นมรรคไปเลย แม้แต่ออกจากป้อมปราการที่ประจำอยู่นี้ยังเป็นไปไม่ได้
จากคำพูดของร่างระเบียบในแดนปรินิพพาน ระดับจักรพรรดิอย่างพวกเขาต้องประจำการอยู่บนกำแพงเมืองหมื่นมรรคนี้สิบปี
และตอนนี้ก็เป็นปีที่เจ็ดแล้ว
ถ้ามีโอกาสจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงก็อยากจากไป ในป้อมปราการอีกด้านหนึ่งที่อยู่ใกล้เขาที่สุด เดิมมีผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่มาจากเผ่าจักรพรรดิบรรพกาลประจำอยู่ มีพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นสาม
แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน ‘เพื่อนบ้าน’ คนนี้ก็สิ้นชีพ ถูกสัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่รูปร่างคล้ายแมวป่า แต่ตัวใหญ่มหึมาอ้าปากกลืนกินไป
ภายใต้การบรรจงเคี้ยวของปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวนั้น ระดับจักรพรรดิขั้นสามคนนี้กลายเป็นโคลนเนื้อชุ่มเลือดตรงๆ ถูกกินเข้าไปทั้งเป็น
ภาพเหี้ยมโหดนองเลือดนั้น ยังเหลือเงามืดไว้ในใจจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงอย่างยากจะสลัดทิ้ง
หืม?
ขณะนึกถึงเรื่องในอดีต ทันใดนั้นจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงพลันสังเกตเห็น ว่าในป้อมปราการที่อยู่ใกล้กันนั้นมีคลื่นระเบียบระลอกหนึ่งปรากฏขึ้นฉับพลัน
จากนั้นเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นภายใน
นี่ทำให้จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงอึ้งไป
ทุกครั้งหลังจากระดับจักรพรรดิแต่ละคนร่วงหล่น ป้อมปราการที่เขาประจำอยู่จะว่างเปล่า
เจ็ดปีมานี้ จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงเพิ่งเคยเห็นว่ามีคนถูกส่งเข้ามาเป็นครั้งแรก!
เป็นใครกัน
ยามใคร่ครวญ จิตรับรู้ที่ยิ่งใหญ่นั้นของเขาก็แผ่ขยายไปนานแล้ว
กำแพงเมืองหมื่นมรรคทอดยาวติดต่อกัน กว้างไกลเป็นอย่างยิ่ง ระยะห่างระหว่างป้อมปราการสองแห่ง ที่สั้นที่สุดก็ห่างไกลกันสองสามหมื่นลี้
ด้วยจิตรับรู้ของจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิง อย่างมากก็ได้แค่ ‘เห็น’ ภาพในป้อมปราการแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกัน
ไม่นานร่างสูงตระหง่านหนึ่งก็ถูกมองเห็น เขาสวมชุดสีขาวพระจันทร์ ผมดำสยาย ใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางดูนิ่งสงบละโลกีย์
ทำไมถึงเป็นเขา!?
จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงนัยน์ตาหดรัดแทบไม่กล้าเชื่อ หลินสวินผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ทำไมถึงปรากฏตัวบนกำแพงเมืองหมื่นมรรคนี้ได้
อีกทั้งเพิ่งผ่านมาแค่เจ็ดปีด้วย?
น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
หรือว่าเขา… แจ้งมรรคในระดับจักรพรรดิแล้ว
นึกถึงตรงนี้จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงพลันใจสะท้าน แต่หลังจากแยกแยะโดยละเอียด กลับพบว่าบนตัวหลินสวินไม่มีกลิ่นอายเฉพาะของระดับจักรพรรดิ
นี่ทำให้เขาลอบโล่งอก
นึกถึงปีนั้นตอนอยู่โลกใหญ่หงเหมิง ชายหนุ่มอย่างหลินสวินก็เป็นแค่คนรุ่นหลังคนหนึ่ง
ต่อให้เรียกคลื่นลมมากมาย ก่อเรื่องใหญ่นานัปการ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทัดเทียมกับระดับจักรพรรดิได้
แม้ว่าในเขตต้องห้ามเซียนโบราณนั้น เขาห้ำหั่นกับเหล่าผู้กล้า ทะลวงปราณก้าวสู่ระดับกึ่งจักรพรรดิในขอบเขตมกุฎ ในสายตาของระดับจักรพรรดิก็ยังเป็นแค่คนรุ่นหลังเหมือนเดิม
ที่ทำให้ระดับจักรพรรดิหวาดกลัวอย่างแท้จริงคือฝีมือการสังหารจักรพรรดิที่เย้ยฟ้านั่นของเขา แต่หากพูดถึงพลังปราณ ก็ไม่มีระดับจักรพรรดิคนไหนมองเขาเป็น ‘คนระดับเดียวกัน’
ทว่าในใจของจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงยังคงสงสัยอย่างยิ่ง มกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งมาถึงกำแพงเมืองหมื่นมรรคที่เป็นของระดับจักรพรรดินี้ได้อย่างไร
…
หลินสวินยืนอยู่บนป้อมปราการ มองฟ้าดาราที่อยู่ห่างออกไปแล้วพลันตะลึงงัน
ป้อมปราการใหญ่โตหาใดเปรียบ รูปร่างคล้ายตำหนัก เบื้องหน้าคือกำแพงสูงชันที่ลักษณะคล้ายรั้วรอบ ก่อขึ้นจากหินลึกลับที่ไม่รู้ชื่อ
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตัวกำแพงนั้นปกคลุมด้วยสีเลือดแดงเข้ม พร่างพร้อยและเปี่ยมกลิ่นอายแห่งกาลเวลา ยอดพลังระเบียบแผ่อบอวลเป็นระลอก ดูลึกลับหาใดเปรียบ
ในป้อมปราการด้านหลังว่างเปล่า มีแค่เบาะรองนั่งเบาะเดียว
นี่คือกำแพงเมืองหมื่นมรรค!
แนวป้องกันที่พาดอยู่บนฟ้าดารา วิวัฒน์จากพลังระเบียบต้นกำเนิดของฟ้าดารา ทอดยาวติดต่อกันราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
ยืนทอดสายตามองฟ้าดาราไร้สิ้นสุดจากที่นี่ ทำให้คนรู้สึกตัวเล็กจ้อยและเลือนราง
หลินสวินพลันนึกถึงกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิของดินแดนรกร้างโบราณ ที่นั่นก็เด่นตระหง่าน สูงใหญ่และไพศาลเช่นกัน สุริยันจันทราดาราเบื้องหน้าดูเล็กจ้อยหาใดเปรียบ
กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิเป็นสถานที่เปิดฉากศึกมรรคสิบทิศ นับแต่อดีตจนปัจจุบันก็มีสมญาว่า ‘ปราการฟ้าด่านแรกดินแดนรกร้างโบราณ สถานที่หยุดเท้าของจอมจักรพรรดิ’
เช่นนั้น ‘กำแพงเมืองหมื่นมรรค’ นี้ล่ะ ก่อตั้งขึ้นมาด้วยเหตุใด
ในหัวหลินสวินนึกถึงสัตว์ประหลาดที่มาจากส่วนลึกของฟ้าดารา ปีศาจที่มาจากต่างแดน พลังเจตจำนงน่ากลัวที่มาจากแดนประหลาดอย่างอดไม่ได้…
ศิษย์พี่รองจ้งชิวเคยบอกว่าตัวตนบางอย่างที่อยู่นอกฟ้าดารานั่น ไม่อาจยอมให้บุคคลที่ ‘ไม่เสื่อมไม่ดับ สูงส่งไร้คู่ต่อกร’ ปรากฏตัวเด็ดขาด!
นี่ก็หมายความว่า ในแดนปรินิพพานนี้คนที่ยิ่งสะดุดตา ก็ยิ่งมีโอกาสได้รับอันตรายครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!
ฮู่ว…
หลินสวินผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
ตั้งแต่ก้าวออกมาจากวัฏจักรเขาก็ได้รู้จากร่างระเบียบนั่นแล้ว ว่ากำแพงเมืองหมื่นมรรคนี้คือหนทางบรรลุจักรพรรดิสู่นิพพานของตน
ระดับจักรพรรดิทั้งหมดที่เข้ามาในแดนปรินิพพานเมื่อเจ็ดปีก่อนพวกนั้น ปัจจุบันล้วนประจำอยู่บนกำแพงเมืองหมื่นมรรคนี้
ส่วนตนก็เป็นคนแรกที่ก้าวออกมาจากวัฏจักร และเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เหยียบย่างระดับจักรพรรดิ แต่เข้ามาในกำแพงเมืองหมื่นมรรคนี้
หืม?
ทันใดนั้นหลินสวินสังเกตเห็นว่ามีพลังเจตจำนงที่เป็นของระดับจักรพรรดิแผ่ออกมาจ้องมองตน
เขาอดเลิกคิ้วไม่ได้
ยามนี้ในห้วงนิมิตของเขา มีเจตจำนงที่เป็นของระดับจักรพรรดิโดยเฉพาะอยู่เช่นกัน ควบคุมดูแลอยู่ในรูปลักษณ์ของเตาหลอม
นี่ทำให้เขาสังเกตเห็นอีกฝ่ายได้ในพริบตา เป็นชายชุดเหลืองคนหนึ่งที่อยู่ในป้อมปราการข้างๆ
“เรือนมรรคโลกาสวรรค์ เฟิงหลิงจื่อ ยินดีที่ได้พบสหายน้อย”
จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงเอ่ยปาก
เรือนมรรคโลกาสวรรค์!
ความระแวดระวังในใจหลินสวินลดลงไปเล็กน้อย ในหกเรือนมรรคใหญ่ มีเพียงเรือนมรรคโลกาสวรรค์ที่เป็นขุมอำนาจซึ่งวางตัวเป็นกลางมาตลอด
เหมือนในการประชันหมากครั้งใหญ่เมื่อปีนั้น เรือนมรรคโลกาสวรรค์ก็ไม่เข้ามายุ่ง
แต่หลินสวินก็ได้ยินว่า ตั้งแต่จักรพรรดิสวรรค์ดำรงมาถึงทางเดินโบราณฟ้าดารา ขุมอำนาจแรกที่กำราบก็คือเรือนมรรคโลกาสวรรค์ที่วางตัวเป็นกลางมาตลอด
ตั้งแต่นั้นมา ท่าทีเป็นกลางที่โดดเด่นเหนือใครของเรือนมรรคโลกาสวรรค์ก็เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ ไม่อาจไม่ก้มหัวยอมสวามิภักดิ์ต่อจักรพรรดิสวรรค์ดำรง!
“หลินสวินแห่งคีรีดวงกมล ยินดีที่ได้พบสหายยุทธ์” หลินสวินเอ่ยปาก ใช้พลังเจตจำนงตอบกลับไปเช่นกัน
ถูกเรียกว่า ‘สหายยุทธ์’ ทำให้จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงอึ้งไปเล็กน้อย ค่อนข้างไม่ชอบใจอยู่บ้าง คนรุ่นหลังคนหนึ่ง ยามนี้ก็กล้าทำตัวเสมอกับเขาแล้วหรือ
แต่ไม่นานเขาก็ปล่อยวาง บางทีพลังปราณของหลินสวินอาจไม่สูง แต่ศิษย์พี่พวกนั้นของเขา แต่ละคนล้วนแข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการ
หากจะพูดถึงลำดับความอาวุโสจริงๆ ก็ไม่อาจพูดได้ว่าใครเป็นผู้อาวุโส ใครเป็นผู้น้อย
แต่ในโลกของการฝึกปราณ ศักยภาพนับว่าสูงสุด แม้ในใจของจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงจะชิงชังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีทางวู่วามด้วยเหตุนี้
เขากล่าวด้วยเสียงอบอุ่น รักษาท่าทีของผู้อาวุโส “สหายน้อย ที่นี่คือกำแพงเมืองหมื่นมรรค เจ้า… มาได้อย่างไร”
“บางทีนี่อาจเป็นความคิดของพลังระเบียบแห่งแดนปรินิพพานนี้ เชื่อว่าข้าหลินสวินมีพลังต่อสู้ที่ไม่ด้อยไปกว่าระดับจักรพรรดิแล้วกระมัง” วาจาหลินสวินราบเรียบ เปิดเผยไม่สะทกสะท้าน
ท่าทางเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่มกุฎกึ่งจักรพรรดิทั่วไปเทียบได้ อย่างน้อยยามมกุฎกึ่งจักรพรรดิในโลกนี้เผชิญหน้ากับเขาจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิง ใครบ้างจะไม่เคารพนับถือ
“หึๆ” จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงหัวเราะ “ก็ถูก แม้ว่าสหายน้อยจะไม่ได้ก้าวสู่ระดับจักรพรรดิ แต่ไพ่ตายบางอย่างในมือก็ข่มขวัญและสังหารระดับจักรพรรดิได้”
เห็นชัดว่าเขาไม่ยอมรับพลังต่อสู้ของหลินสวิน แต่กลับไม่อาจไม่ยอมรับว่าในมือหลินสวินมีไพ่ตายบางอย่างที่พอจะสังหารจักรพรรดิได้
ถึงอย่างไรหลายปีนี้ ระดับจักรพรรดิที่ตายในมือหลินสวินก็ไม่ได้มีแค่สองสามคน
หลินสวินก็ยิ้มแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าตั้งแต่อยู่ในนรกอำพราง มรรควิถีทั้งตัวเขาก็มีพลังที่กำราบจักรพรรดิผีค้างคาวเงินได้แล้ว
และจักรพรรดิผีค้างคาวเงิน เป็นระดับจักรพรรดิขั้นสามคนหนึ่ง!
เห็นว่าหลินสวินไม่สนใจจะคุยต่อ จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงก็คร้านจะพูดต่อไป “สหายน้อย กำแพงเมืองหมื่นมรรคนี้อันตรายหาใดเปรียบ เจ้าต้องระวังหน่อย”
พูดจบก็เก็บพลังเจตจำนงจิตวิญญาณนั้นกลับไป
หลินสวินไม่ใส่ใจ เดินเข้าไปในป้อมปราการคนเดียว นั่งบนเบาะรองนั่งเพียงหนึ่งเดียวนั้นแล้วเริ่มทำสมาธิ
วู้ม!
แสงมรรครอบตัวเขาดังกึกก้อง ประกายศักดิ์สิทธิ์อบอวล
มรรควิถีทั้งหมดที่ฝึกใหม่ในวัฏจักร ตอนนี้ล้วนกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขา ทำให้เวลานี้ยามหลินสวินฝึกปราณ จึงสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่แปลกไปเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
กำลังภายใน จิตผสานวิญญาณ มหาสมุทรวิญญาณ หยั่งสัจจะ กระบวนแปรจุติ มรรคาอมตะ ระดับอริยะ ระดับกึ่งจักรพรรดิ… แต่ละระดับก็เหมือนฐานหินมหามรรคที่สมบูรณ์แบบถึงขีดสุดก้อนหนึ่ง ร่วมกันสร้างเป็นมรรควิถีทั้งตัวเขา
ไร้ตำหนิและไร้จุดบกพร่องอีก เผยท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์สูงสุดเป็นประวัติการณ์
นอกจากนี้สภาวะจิต เจตจำนง วิชายุทธ์ การบำเพ็ญมหามรรคของเขา… ก็หลอมรวมกับมรรควิถีทั้งตัวอย่างสมบูรณ์แบบ
เวลานี้หลินสวินมีความรู้สึกว่าตนเหมือนเตาหลอมมหามรรคเตาหนึ่ง สามารถรองรับหมื่นมรรคา วิวัฒน์สรรพสิ่ง กำราบกาลเวลา!
ความรู้สึกอัศจรรย์ที่พลุ่งพล่านผุดขึ้นในใจหลินสวิน ร่างกายและจิตวิญญาณของเขาล้วนเกิดท่วงทำนองประหลาดอย่างหนึ่ง
หลินสวินตระหนักได้ว่า ระยะห่างที่ตนจะทะลวงปราณขึ้นไปเพื่อก้าวสู่ธรณีประตูระดับจักรพรรดิ เหลือเพียงหนึ่งห้วงคิด
เขาสูดหายใจลึกทันที สะกดกลั้นสัญญาณที่พลุ่งพล่านนี้ไว้ นัยน์ตาดำล้ำลึกดูเด็ดเดี่ยว
ไร้ขอบเขตมกุฎ ไม่บรรลุจักรพรรดิ!
………………………