ตอนที่เย่เฉินและเซียวฉางควนรีบมาถึงที่โรงพยาบาล เซียวชูหรันก็มาถึงแล้ว
เมื่อสองพ่อตาลูกเขยมาถึงที่ห้องผู้ป่วย ก็เห็นหม่าหลันกำลังจับมือของเซียวชูหรันไว้ และการร้องไห้นั้นเรียกได้ว่าตรมใจ
เซียวชูหรันก็เช็ดน้ำตาด้วยความทุกข์ใจอยู่ตลอด
แม้ว่าเย่เฉินจะได้ยินว่าวันนี้แม่ยายของตัวเองโดนทำร้ายอย่างน่าสังเวชใจมาก แต่ตอนนั้นเขาอยู่ข้างนอกตลอด และไม่ได้เข้าไป ดังนั้นจึงไม่เห็นว่าสถานการณ์ข้างในเป็นยังไงกันแน่
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่หม่าหลันถูกลูกน้องของหงห้าพาออกมา ก็ส่งตัวไปที่โรงพยาบาลในทันที เย่เฉินก็ไม่ได้เจอหน้าเธอเช่นกัน
ตอนนี้เห็นหน้าบวมช้ำบนและผมบนหน้าผากก็ยังขาดไปจุกหนึ่ง ในใจก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ: “โธ่เอ๊ย แม่ยายคนนี้ของฉันช่างน่าเวทนาเสียจริง ครั้งนี้เธอถูกทำร้ายจนกลายเป็นแบบนี้ ประสบภัยที่ไม่มีเค้ามาก่อนจริงๆ ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆเย่ฉางหมิ่นจะวิ่งมาหาเธอล่ะ?”
เมื่อเห็นเย่เฉินแล้ว ในที่สุดความน้อยใจทั้งหมดของหม่าหลันก็มีเป้าหมายที่ระบายอารมณ์แล้ว ร้องไห้พูดว่า: “ลูกเขยที่ดี แม่อนาถมากจริงๆ…”
พูดแล้ว ก็ร้องไห้อย่างกระหืดกระหอบ
เย่เฉินรีบก้าวขึ้นไปข้างหน้า และแกล้งทำเป็นถามอย่างกังวลว่า: “แม่ แม่นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
หม่าหลันโบกมือ และเช็ดน้ำตาล: “เฮ้อ พูดไม่ได้น่ะพูดไม่ได้ พูดแล้วก็เนืองนองด้วยน้ำตา…”
เมื่อเซียวฉางควนเห็นสภาพนี้ของเธอ อยากจะหัวเราะก็ไม่กล้าหัวเราะ ก็ยืนนิ่งอยู่ที่นั่นคนเดียว และก็ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อหม่าหลันมองเขาแวบหนึ่ง ก็พูดอย่างโกรธเคือง: “เซียวฉางควน แกมาทำอะไรที่นี่!”
เซียวฉางควนรีบพูดว่า: “คุณว่าผมมาทำอะไรที่นี่ แน่นอนว่าผมก็ต้องมาเยี่ยมคุณนะสิ”
“เยี่ยมฉันเหรอ?”หม่าหลันพูดอย่างโกรธเคืองว่า: “ฉันว่าแกมาดูเรื่องตลกของฉันมากกว่านะ”
เซียวฉางควนคร่ำครวญในใจว่า: “โธ่เอ๊ย คุณพูดถูกจริงๆ แต่ว่าฉันไม่สามารถยอมรับได้…”
ดังนั้น ทำได้เพียงพูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า: “คุณพูดอะไรของคุณน่ะ ต่อให้พวกเราจะทะเลาะจนแยกกันอยู่หรือจะหย่าร้างกัน ท้ายที่สุดก็อยู่ด้วยกันไปครึ่งค่อนชีวิตแล้ว คุณถูกรังแกกลายเป็นแบบนี้ ในใจของฉันก็ต้องเป็นทุกข์อย่างแน่นอน!”
หม่าหลันเขม็งตาใส่เขา: “แกทุกข์กะผีนะสิ! ฉันจะไม่รู้ได้ยังไงว่าในใจสุนัขแก่อย่างแกคิดอะไรอยู่ แกแมร่งแทบอยากจะให้ฉันเป็นง่อยไปตลอดชีวิต!”
เซียวฉางควนคาดไม่ถึงว่าหม่าหลันจะคาดเดาได้แม่นขนาดนี้ แต่ก็ไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรทั้งนั้น
โชคดีที่ในเวลานี้เซียวชูหรันที่อยู่ข้างๆพูดไกล่เกลี่ยว่า: “แม่ค่ะ แม่อย่าทะเลาะกับพ่อเลยนะ เขาก็มาเยี่ยมแม่ด้วยความเป็นห่วง”
หม่าหลันพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า: “ฉันไม่ต้องการความห่วงใยจากเขา”
หลังจากที่พูดจบ ก็มองไปทางเย่เฉิน และพูดอย่างขมขื่นว่า: “ลูกเขยที่ดี ครั้งนี้ที่ทำร้ายแม่ซ้ำไปซ้ำมา ก็ยังเป็นกลุ่มคนเหล่านั้นที่ทำแชร์ลูกโซ่ครั้งก่อน แม่โชคร้ายจริงๆ คราวนี้ก็เข้าเฝือกอีกหลายเดือน ไม่เพียงแต่ทำอาหารให้ลูกไม่ได้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นจากนี้ไปก็อยู่แต่บ้านไม่ไหนก็ไม่ได้แล้ว ชีวิตหลังจากนี้ก็ต้องกลัดกลุ้มใจอย่างที่สุดแล้ว…”
เย่เฉินก็เข้าใจความหมายของหม่าหลันในทันที
ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างใจกว้างมาก: “แม่ ในเมื่อเป็นแบบนี้ จากนี้ไปเดี๋ยวผมจะเป็นคนทำอาหารเอง อีกอย่างเดี๋ยวจะโอนเงินค่าใช้จ่ายให้แม่อีกหนึ่งแสน ระยะเวลาช่วงนี้ถ้าแม่เบื่อจริงๆ สามารถที่จะซื้อของอะไรเล่นๆในออนไลน์ได้ตามใจชอบ ก็ถือเสียว่าฆ่าเวลา”
เมื่อหม่าหลันได้ยินคำพูดนี้ ก็ซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากในทันที!
อันที่จริง เธอไม่ได้คาดหวังว่าเย่เฉินจะให้เงินตัวเองเลยด้วยซ้ำ
เธอเพียงแค่รู้สึกว่า ก่อนหน้านี้เย่เฉินให้คำมั่นสัญญากับตัวเองว่า จะให้ค่าอาหารเดือนละสามหมื่นหยวน ให้ค่าเหนื่อยทำอาหารตัวเองอีกหนึ่งหมื่นหยวน ตัวเองไม่กล้าอมเงินค่าอาหาร แต่ว่าค่าเหนื่อยที่ตัวเองได้รับก็สมควรที่จะได้รับ
แต่ตอนนี้ตัวเองตาบวมแล้วก็ง่อยด้วย ไม่สามารถที่จะซื้อผักทำอาหารได้ งานนี้ไม่มีใครทำไม่ว่า เกรงว่าเงินหนึ่งหมื่นนี้ก็ไม่สามารถที่จะขอจากเย่เฉินได้แล้ว