“สหายน้อย พวกเราก็ควรจากไปเลยหรือไม่” จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงเอ่ยถาม เขากังวลว่าหากพลาดโอกาสจะไม่อาจออกไปจากแดนปรินิพพานนี้อีก
หลินสวินยิ้มกล่าว “พี่ใหญ่ท่านรออยู่ที่นี่อย่างสบายใจก็พอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หากท่านจากไปตอนนี้ ขุมอำนาจใหญ่ทั่วฟ้าดารานั่นมีหรือจะไม่มาคิดบัญชีกับท่าน”
จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงอึ้งไป เผยสีหน้าเศร้าซึมผิดหวัง “ข้าไม่กลัวตาย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเพื่อนร่วมสำนักพวกนั้นจะเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วย…”
เขานึกถึงภาพต่างๆ ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา ยามโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง เพื่อนร่วมสำนักพวกนั้นกลับเก็บมือเฝ้ามอง
จากนั้นจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงก็ยิ้มเยาะตนเอง “ถึงอย่างไรข้าก็ออกจากเรือนมรรคโลกาสวรรค์แล้ว อยู่ตัวคนเดียวก็ไม่เลว”
หลินสวินไม่ได้พูดปลอบใจมากนัก เพียงแต่กล่าวว่า “รออาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้ว พวกเราจะออกจากที่นี่”
ระดับจักรพรรดิขั้นสี่คนหนึ่ง ผ่านมรสุมทางโลกนานัปการมานานแล้ว สำหรับเรื่องนี้จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงย่อมเลือกทางที่เหมาะกับเขาที่สุดแน่นอน
จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงพยักหน้า
‘ก็ไม่รู้ว่าพวกแม่นางเสวียนเยวี่ยเป็นอย่างไร…’
หลินสวินแอบกล่าวในใจ เขาสงบจิตสัมผัสคลื่นระเบียบของแดนปรินิพพาน น่าเสียดาย พลังระเบียบที่เขาถือครองตอนนี้มีจำกัด ไม่อาจรับรู้เรื่องทุกอย่างบนโลกแห่งนี้ได้
แน่นอนว่าไม่อาจรู้ว่าพวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยได้ก้าวออกจากวัฏจักร ใกล้จะออกจากโลกแห่งนี้แล้วเช่นกัน
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม
“ไปเถอะ บานประตูน้ำวนนั้นใกล้หายไปแล้ว หากรอต่อไปก็เปล่าประโยชน์”
เสวียนจิ่วอิ้นมองจินเทียนเสวียนเยวี่ยเล็กน้อย “หากเจ้าอยากเจอหลินสวินอีกครั้งจริง กลับบ้านไปกับข้าก็พอแล้ว”
“กลับบ้านไปกับเจ้า?”
นัยน์ตาคู่งามของจินเทียนเสวียนเยวี่ยเบิกโพลง เจือเพลิงโทสะอยู่รางๆ
“อย่าเข้าใจผิด ต่อให้ข้าสวมใจเสือก็ไม่กล้าแย่งผู้หญิงกับคนป่าเถื่อนอย่างหลินสวินแน่” เสวียนจิ่วอิ้นรีบร้อนกล่าว เล่าเรื่องที่บิดาของเขาเชิญหลินสวินไปตระกูลเสวียนให้ฟัง ทั้งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าหลินสวินรับปากแล้ว
“เหอะ!”
ใบหน้างามพิสุทธิ์ดุจภาพวาดของจินเทียนเสวียนเยวี่ยแดงเรื่อพลางกล่าวดูถูก “ใครเป็นผู้หญิงของคุณชายกัน”
เสวียนจิ่วอิ้นกับหลิงเคอจื่อสบตากันวูบหนึ่ง ในใจต่างพึมพำขึ้นมา ผู้หญิงนี้หนา คิดว่าผู้ชายตาบอดจริงหรือ
“ไปเถอะ”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยเดินนำไปทางประตูน้ำวนนั้นก่อน อาภรณ์ขาวดุจหิมะ รูปโฉมราวกับเซียน โดดเด่นดุจกล้วยไม้กลางหุบเขา
“สมเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเขตแดนดาราจักรพรรดิขาว ความสง่างามเช่นนี้ ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ รูปโฉมเช่นนี้ ไม่ด้อยไปกว่าท่านย่าคนนั้นของข้าเท่าไหร่”
เสวียนจิ่วอิ้นลอบกล่าวชม “แต่น่าเสียดาย ดูเหมือนพี่หลินไม่เคยรับรู้จิตใจของสาวงาม ภายหน้าขออย่าได้พบฉากจบที่บุปผาร่วงโปรยด้วยมีใจ สายธารไหลผ่านไร้ไมตรีเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น… นั่นคงพาให้คนรู้สึกเสียดายเกินไปแล้ว…”
ไม่นานพวกเขาก็ออกจากแดนปรินิพพานไป
…
บนกำแพงเมืองหมื่นมรรค
หลินสวินนั่งขัดสมาธิ ไข่มุกที่ภายในแฝงกฎเกณฑ์ระเบียบต้นกำเนิดมากมายถูกเขาหลอมไปทีละอัน ซึมซาบเข้าไปในมรรควิถีทั้งตัว
ไข่มุกพวกนี้เป็นรางวัลที่ได้มาจากการสังหารสัตว์ประหลาดฟ้าดาราก่อนหน้านี้
ตูม!
พลันเห็นว่าบนตัวเขามีละอองแสงมงคลหลากสายลอยล่อง แสงเทพนับหมื่นโน้มลู่ลง วิวัฒน์ออกมาเป็นภาพอัศจรรย์และงามตระการนานัปการ
มองจากไกลๆ ทั้งตัวเขาประหนึ่งเทพไท้สูงสุด นั่งครองมหามรรค ร่างส่องประกายสว่างไสว กลิ่นอายที่ทั่วร่างแผ่ออกมาแฝงอานุภาพยิ่งใหญ่เด่นตระหง่านไร้เทียมทาน สูงส่งไร้จำกัด!
หลังจากก้าวสู่ระดับมกุฎจักรพรรดิ หลินสวินต่างไปจากแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิง ทุกการเคลื่อนไหวล้วนมีอานุภาพบีบกดแผ่นฟ้า ก้มมองภูผาธารา
ยามหายใจเข้าออกล้วนชักนำให้มหามรรคสั่นสะเทือน ฟ้าดินขานรับ!
ตามเวลาที่ล่วงเลย เงาร่างหลินสวินล้วนอาบไล้ด้วยละอองแสงเปล่งประกายไร้สิ้นสุด เหมือนนั่งอยู่ในแดนพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ แสงมรรคประสาน รัศมีเทพไหลวน
ภายในร่างเขาโลกที่เรืองรอง พร่างพราย เจิดจรัสไร้จำกัดแห่งหนึ่งก็กำลังโคจร นี่คือโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์
ส่วนสิ่งที่สร้างโลกนั้นก็คือมรรควิถีที่เขายึดกุม ส่องสะท้อนอยู่ในโลก กลายเป็นหลักการฟ้าดิน สุริยันจันทราภูผาธารา สี่ฤดูหมุนเปลี่ยน สรรพสิ่งผันแปร…
หากไม่ขาดกลิ่นอายของกาลเวลาและชีวิต ‘โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์’ แห่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับโลกที่แท้จริง!
ความจริงแล้วสิ่งที่ระดับจักรพรรดิเก้าขั้นเคี่ยวกรำก็คือโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์นี้ นี่เป็นรากฐานของระดับจักรพรรดิ โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ยิ่งกว้างขวางและมั่นคง อานุภาพที่สามารถปลดปล่อยออกมาก็ยิ่งแข็งแกร่ง
โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ของหลินสวินเผยลักษณ์สูงส่งที่ ‘เจิดจรัสเกรียงไกร งามตระการไร้ขอบเขต’ หากถูกระดับจักรพรรดิคนอื่นเห็นต้องตกใจจนกรามค้างแน่
สาเหตุอยู่ที่ระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่งทั่วไป ไม่มีทางครอบครองโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์เช่นนี้ได้
เมื่อเทียบกันแล้วก็เหมือนหิ่งห้อยสู้แสงเจิดจ้ากับตะวันจันทรา!
ต่อให้เป็นมกุฎมหาจักรพรรดิสมัยดึกดำบรรพ์ ก็ไม่มีทางมีลักษณ์ที่สูงส่งเช่นนี้แน่
นี่ก็คือมหามรรคที่หลินสวินเสาะหา
ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มรรคข้าเป็นหนึ่ง!
และนี่ก็คือสาเหตุที่หลินสวินข้ามระดับขั้น ไปกรำศึกกับเฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับจักรพรรดิขั้นหกได้
จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงก็กำลังฝึกตน
มีเพียงซย่าจื้อที่นอนหลับเหมือนก่อนหน้านี้ กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน เดิมทีมหามรรคของนางก็เปลี่ยนแปลงในความเงียบสงบ นิพพานในวัฏจักร
แตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง
ปัจจุบันในแดนปรินิพพานนี้ นอกจากผู้ฝึกปราณที่ยังไม่ ‘ตื่นรู้’ ในโลกวัฏจักรพวกนั้น ก็เหลือแค่พวกเขาสามคนแล้ว
…
โลกมืด
“สิ้นสุดแล้ว…”
เหนือยอดเขาสูงชันลิบลิ่ว ในแววตาจ้งชิวเจือความภาคภูมิใจ ทั้งมีแววเศร้าอาดูรและผิดหวังอย่างบอกไม่ถูกเสี้ยวหนึ่ง
การต่อสู้ที่เกิดขึ้นในส่วนลึกของฟ้าดารานั้น แม้ว่าเขาไม่อาจมองเห็น แต่กลับสัมผัสได้ว่าพลังเจตจำนงของอาจารย์ปรากฏตัวแล้ว
เฝ้ารอมาชั่วกาล ในที่สุดวันนี้ก็ได้ยินเสียง ‘บุปผาเบ่งบาน’!
“ถ้าเช่นนั้นหลินสวินก็เหยียบมรรคาที่มุ่งสู่ยอดอมตะแล้วหรือ” ซีที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถาม ชายเสื้อพลิ้วไหว เงาร่างประหนึ่งภาพมายา
“แน่นอน!”
จ้งชิวตอบอย่างหนักแน่นหาใดเปรียบ นัยน์ตาเจือความหยิ่งทะนง “ศิษย์น้องเล็ก… แข็งแกร่งกว่าเหล่าศิษย์พี่อย่างพวกเราอยู่บ้างจริงๆ ภายหน้าความสำเร็จของเขาต้องเหนือกว่าข้าและศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นแน่!”
ซีเหลือบมองเขาเล็กน้อยพลางกล่าว “ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับว่าเขาแข็งแกร่งกว่าเจ้าแล้ว”
จ้งชิวหัวเราะขึ้นมา “ข้าแค่บอกว่าเขาแข็งแกร่งกว่าข้าในปีนั้น ส่วนตอนนี้… หากเขาอยากตามข้าให้ทัน ระยะห่างย่อมมากเป็นธรรมดา”
พูดถึงตรงนี้เขาสูดหายใจลึก หันกลับไปถามซี “ภายหน้าเจ้ายังต้องเดินทางไปพร้อมกับเขาหรือ”
ซีคิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ข้าต้องฟื้นความทรงจำที่หายไปในห้องโถงมรรคาสวรรค์”
จ้งชิวกล่าวอืมออกมาคำหนึ่ง บรรยากาศพลันหนักอึ้งขึ้นมาเล็กน้อย
ซีก็ไม่พูดจา นางไม่ใช่คนช่างพูดอยู่แล้ว จุดนี้จึงมีความคล้ายกับจ้งชิว
เนิ่นนานจ้งชิวจึงกล่าว “ก็ดี มีเจ้าอยู่ อย่างน้อยศิษย์น้องก็ไม่ถูกคนรังแก”
ซีอดทอดถอนใจไม่ได้ “ภายหน้ากลัวว่าข้าคงยากจะช่วยอะไรเขาได้แล้ว… ไม่แน่ว่าข้าต่างหากที่ต้องให้เขาช่วย…”
ก่อนหน้านี้หลินสวินอาจถูกมองเป็น ‘คนรุ่นหลัง’ ที่ต้องปกป้อง แต่หลังจากเขาบรรลุมกุฎจักรพรรดิก็ต่างไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
กวาดสายตามองทั่วฟ้าดารา เขาก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าคนหนึ่ง เป็นตำนานบนหนทางแห่งมหาจักรพรรดิ!
บางทีเขาอาจยังหนุ่ม แต่ใครจะกล้ามองเขาเป็นเด็กรุ่นหลังอีก
ภายหน้าคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิ เกรงว่าคงต้องเรียกเขาด้วยความยกย่องว่า ‘ผู้อาวุโส’!
“ตำนานในอดีตสุดท้ายเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ต้องซีดจางและร่วงโรย มหามรรคในภายหน้าของเขาย่อมมีแต่เดินไกลออกไปเรื่อยๆ…”
จ้งชิวเอ่ยปากเนิบช้า
มีเพียงเขาที่รู้ดีว่ายอดหนทางสู่อมตะเป็นมหามรรคชั้นยอดระดับใด ต่อให้อยู่บนฟากฝั่งฟ้าดาราก็มีไม่กี่คนที่เป็นเลิศบนมรรคานี้!
ไม่อย่างนั้นการเคี่ยวกรำของแดนปรินิพพานนี้ คงไม่มีทางดึงดูดการโจมตีของพวกน่ากลัวในฟากฝั่งฟ้าดารามามากขนาดนั้นแน่!
ซีกล่าว “แดนปรินิพพานปิดฉาก เกรงว่าจักรพรรดิสวรรค์ดำรงคงจะกลับมาแล้ว”
“กลับมาก็สายไปแล้ว”
นัยน์ตาของจ้งชิวฉายแววเยียบเย็น “ใช้เวลาไม่นาน ข้าจะไปเจอเจ้าเฒ่านี่ด้วยตัวเอง!”
“นานแค่ไหน” ซีเอ่ยถาม
“รอแค่จุดเปลี่ยนเดียว”
แววตาจ้งชิวล้ำลึก เขาเฝ้ารอที่โลกมืดมาหลายปี พลาดการประชันหมากครั้งใหญ่ครั้งนั้นไป
แต่ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมพลาดอีก!
…
วันนี้แดนปรินิพพานที่ถูกขุมอำนาจใหญ่ของทางเดินโบราณฟ้าดาราจับจ้องปิดฉากแล้ว จากนั้นข่าวที่ชวนตะลึงหาใดเปรียบมากมายก็แพร่กระจายตามมา
“หลินสวินผู้สืบทอดแห่งคีรีดวงกมลแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิในขอบเขตมกุฎ กลายเป็นผู้เหยียบเส้นทางมกุฎจักรพรรดิคนแรกในรอบเกือบแสนปีมานี้!”
“กายมรรคเจตจำนงของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลปรากฏ ซัดร่างเจตจำนงน่ากลัวมากมายที่มาจากฟากฝั่งฟ้าดาราจนพินาศ ช่วยหลินสวินชิงศุภโชคแห่งยอดหนทางสู่อมตะไป!”
“หลินสวินบรรลุจักรพรรดิ ปะทะกับเหล่าจักรพรรดิ เปิดฉากศึกจักรพรรดินองเลือด สังหารระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่งไปยี่สิบหกคน ฆ่าระดับจักรพรรดิขั้นสองไปสิบห้าคน ปลิดชีพระดับจักรพรรดิขั้นสามไปแปดคน พิฆาตระดับจักรพรรดิขั้นสี่ไปห้าคน!”
“ระเบียบแดนปรินิพพานเกิดแรงสะเทือนประหลาด เทียบได้กับมหาเคราะห์แห่งยุค ทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิขั้นห้าและขั้นหกหายไปในนั้น! ภายใต้มหาเคราะห์หลินสวินเป็นตายไม่อาจรู้!”
…ข่าวมากมายแพร่สะพัดในโลกมืด ชักนำมาซึ่งความโกลาหลครั้งใหญ่
จากนั้นข่าวพวกนี้ก็แพร่ไปทั่วฟ้าดาราด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ชักนำความปั่นป่วนโกลาหลที่ไม่เคยมีมาก่อน
หลินสวิน!
คนที่ถูกจักรพรรดิสวรรค์ดำรงออกคำสั่งจับตาย นักโทษหนีคดีอันดับหนึ่งแห่งฟ้าดาราที่มีชื่อเสียงทั่วหล้า กลับบรรลุมกุฎจักรพรรดิในแดนปรินิพพานต่อหน้าระดับจักรพรรดิมากมาย ช่วงชิงศุภโชคยอดอมตะไป ทั้งสังหารเหล่าจักรพรรดิด้วยตัวคนเดียว!
ข่าวแต่ละอย่างล้วนเรียกได้ว่าฟ้าถล่มดินทลาย ยามแพร่ออกมาพร้อมกันก็เหมือนฟ้าผ่าครั้งแล้วครั้งเล่า ระเบิดลั่นในทุกโลกหล้าทั่วฟ้าดารา
ส่วนหลินสวินก็กระโจนขึ้นมาเป็นคนที่เจิดจรัสที่สุดของทั่วหล้า มกุฎมหาจักรพรรดิที่เหมือนตำนานคนหนึ่ง!
ช่วงที่ความปั่นป่วนและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังม้วนกลืนทั่วหล้าเหมือนเขาถล่มสมุทรคำราม คำสั่งที่มาจากเจ้าหอวิหคทองแดงก็แพร่กระจายไปยังสถานที่ซึ่งขุมอำนาจหอวิหคทองแดงปกครองทันที
“ตั้งแต่วันนี้ไปขุมอำนาจทั้งหมดของหอวิหคทองแดงต้องเก็บตัวจำศีล หากไม่มีคำสั่ง ห้ามออกไปท่องโลกด้วยฐานะของหอวิหคทองแดง!”
นับจากวันนี้ไป ขุมอำนาจทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การดูแลของหอวิหคทองแดงเริ่มทยอยถอนตัวจากไป…
เพียงแต่เปรียบเทียบกับความโกลาหลครั้งใหญ่ที่หลินสวินก่อแล้ว การหายไปและเก็บตัวเงียบของขุมอำนาจทั่วหล้าของหอวิหคทองแดงหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่แห่งโลกมืด กลับไม่ดึงดูดความสนใจมากนัก
ทั้งหมดล้วนดำเนินการไปอย่างเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง
……………………..