ชายชราชื่อว่ากู่เหลียงถิง มาจากตระกูลกู่เหลียงหนึ่งในเจ็ดเผ่าจักรพรรดิบรรพกาลแห่งโลกใหญ่แดนธรรม ระดับกึ่งจักรพรรดิขั้นสามคนหนึ่ง
ในสถานการณ์ที่ระดับจักรพรรดิไม่เผยตัว พลังต่อสู้ของกู่เหลียงถิงเรียกได้ว่าอยู่เหนือสุดปลายยอด มีความน่าเกรงขามยิ่งใหญ่ในสายตาของคนทั่วไป
แต่ทันทีที่ขึ้นมาบนยานขนส่งอวกาศ ในใจกู่เหลียงถิงพลันสั่นสะท้าน สูดหายใจเย็นเยียบไม่หยุด
“ท่านปู่ สุนัขตัวนี้กินอย่างเอร็ดอร่อยเชียว”
เด็กสาวที่อยู่ด้านข้างชี้ต้าหวงที่กำลังสวาปามอยู่ไกลๆ เสียงกระจ่างใสเจือกลิ่นอายไร้เดียงสา
กู่เหลียงถิงตำหนิ “ลั่วลั่ว อย่าเสียมารยาท!”
ภายใต้การจับจ้องของเด็กสาวที่เบิกตากว้าง กู่เหลียงถิงพูดพลางโค้งคำนับสุนัขตัวนั้นด้วยความเคารพนับถือถึงที่สุด “ผู้น้อยกู่เหลียงถิง คารวะผู้อาวุโส”
ต้าหวงถุยกระดูกในปากออกมา เหล่มองกู่เหลียงถิงเล็กน้อยแล้วกินอย่างตะกละตะกลามต่อ
เจ้าตัวเล็กเช่นนี้ เห็นชัดว่าไม่เข้าตาต้าหวง
กู่เหลียงถิงกลับไม่โกรธแม้แต่น้อย สีหน้ายังคงยำเกรง เมื่อสายตาเขาเหลือบเห็นซย่าจื้อที่นั่งอยู่ตรงข้ามต้าหวงโดยไม่ตั้งใจก็สั่นไปทั้งตัวทันที ร่างที่เดิมก้มโค้งกดต่ำลงยิ่งกว่าเดิม…
เมื่อเด็กสาวลั่วลั่วเห็นภาพต่างๆ นี้ก็อึ้งไปทันใด แม่นางที่เดิมร่าเริงไร้เดียงสาเปลี่ยนเป็นเหนียมอายทันที แทบจะกลั้นหายใจ
ในใจของนางท่านปู่เป็นผู้ยิ่งใหญ่มากอำนาจคนหนึ่ง เดินไปที่ไหนล้วนถูกคนห้อมล้อมเหมือนดาวล้อมเดือน
แต่ตอนนี้ทั้งหมดกลับพลิกผัน!
เด็กสาวลั่วลั่วตระหนักได้ทันที หนึ่งชายหนึ่งหญิงหนึ่งสุนัขบนยานลำนี้ เกรงว่าคงเป็น ‘ผู้สูงศักดิ์’ ชั้นยอดทั้งสิ้น
“สหายยุทธ์ไม่จำเป็นต้องมากพิธี เชิญนั่งลงก่อน”
หลินสวินเดินเข้ามาในห้องโดยสาร พูดพลางหยิบผลล้ำค่าอัศจรรย์บางส่วนออกมาให้เด็กสาวที่เปลี่ยนเป็นระแวงระวังหาใดเปรียบคนนั้นแล้วยิ้มกล่าว “แม่นางน้อย ลองชิมผลไม้พวกนี้สิ รสชาติไม่เลวทีเดียว”
สายตาลั่วลั่วมองไปยังกู่เหลียงถิง กู่เหลียงถิงรีบร้อนกล่าว “ลั่วลั่ว ผู้ใหญ่มอบของให้ย่อมไม่อาจปฏิเสธ รีบคำนับขอบคุณผู้อาวุโสเร็ว”
เด็กสาวลั่วลั่วรับผลไม้พวกนั้นมาด้วยสองมือ จากนั้นก็ก้มหัวคำนับอย่างน่าเอ็นดู “ขอบคุณ… พี่ชายผู้อาวุโส”
ต้าหวงหลุดหัวเราะออกมา “ยัยหนูนี่น่าสนใจทีเดียว”
กู่เหลียงถิงกลับถลึงตามองลั่วลั่วคราหนึ่ง “ผู้อาวุโสก็คือผู้อาวุโส พี่ชายอะไร…”
หลินสวินยิ้มพลางตัดบท “แค่คำเรียกเท่านั้น อย่าทำให้เด็กคนนี้ขวัญหนีดีฝ่อ”
กู่เหลียงถิงจึงลอบโล่งอก จากรายละเอียดพวกนี้ทำให้เขารู้ว่าชายหนุ่มที่พลังลึกล้ำยากหยั่งถึงตรงหน้านี้ ไม่ใช่คนที่ไร้มนุษยสัมพันธ์
หลังจากนั้นหลินสวินก็ถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ‘งานบูชาวิทยราช’ อย่างไม่ปิดบัง
แม้ว่ากู่เหลียงถิงจะรู้สึกแปลกใจ แต่ยังพูดทุกสิ่งที่รู้
เผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งถูกเรียกอีกชื่อว่า ‘เผ่าวิทยราช’ เล่าลือว่าก่อนที่จักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนบรรพชนของพวกเขาจะแจ้งมรรค เคยมีความเกี่ยวข้องกับสำนักพุทธอย่างมาก ถูกยกย่องว่าเป็น ‘นกยูงวิทยราช’
ทุกพันปีเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งจะจัด ‘งานบูชาวิทยราช’ ครั้งหนึ่ง อย่างแรกเพื่อเซ่นไหว้บรรพชน สองคือฉวยโอกาสนี้เลือก ‘บุตรจักรพรรดิ’ จากตระกูลมาคนหนึ่ง
กู่เหลียงถิงกล่าว “บุตรจักรพรรดิคนก่อนคือข่งเจา กราบเป็นศิษย์ในเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ พรสวรรค์โดดเด่น รากฐานพลังไม่เป็นสองรองใคร ถูกมองเป็นต้นกล้าพันธุ์ดีที่มีหวังจะบรรลุจักรพรรดิที่สุด ใครจะคิดว่าในเขตต้องห้ามเซียนโบราณเมื่อหลายปีก่อน เขากลับถูกหลินสวินผู้สืบทอดคีรีดวงกมลสังหาร”
น้ำเสียงเจือความทอดถอนใจเสี้ยวหนึ่ง
เด็กสาวลั่วลั่วกินผลวิญญาณพลางกล่าวด้วยเสียงกังวาน “เป็นจักรพรรดิเต้ายวน! มกุฎมหาจักรพรรดิคนแรกบนทางเดินโบราณฟ้าดาราในรอบเกือบแสนปีมานี้”
น้ำเสียงเจือความเทิดทูน ดวงตาโตคู่งามสุกสกาวเปล่งประกาย
กู่เหลียงถิงเก้กังไปชั่วขณะ ตวาดด่าเป็นพัลวัน “ยามผู้ใหญ่คุยกันมีส่วนไหนให้เจ้าสอดปากเข้ามาจุ้น!” จากนั้นจึงกล่าวกับหลินสวิน “สหายยุทธ์อย่าเข้าใจผิด หลานสาวคนนี้ของข้าอายุน้อยไม่รู้ความ ปากไม่มีหูรูด”
บนทางเดินโบราณฟ้าดาราตอนนี้ จักรพรรดิเต้ายวนก็คือตัวตนที่พาให้คนหวาดกลัวคนหนึ่ง แม้จะชักนำความปั่นป่วนทั่วหล้า แต่ใครก็ไม่กล้าพูดถึงคนผู้นี้ต่อหน้าคนแปลกหน้า ด้วยเกรงจะถูกขุมอำนาจที่อยู่ใต้อาณัติของจักรพรรดิสวรรค์ดำรงได้ยินจนก่อให้เกิดความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็น
“ไม่เป็นไร” หลินสวินยิ้มรับ “พูดถึงจักรพรรดิเต้ายวน ตอนนี้คำวิจารณ์ที่มีต่อเขาในใต้หล้า… เหมือนว่าไม่ค่อยดีกระมัง”
กู่เหลียงถิงลังเลเล็กน้อย แต่ยังกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ว่ากันถึงที่สุดแล้ว จักรพรรดิเต้ายวนคนนี้ก่อกรรมสังหารมากเกินไป ทำให้สำนักโบราณมากมายทั่วฟ้าดาราแค้นจนกัดฟันกรอด มองเขาเหมือนพิบัติใหญ่หลวง”
เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “แต่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธว่าจักรพรรดิเต้ายวนเป็นยอดตำนานคนหนึ่งจริงๆ เรื่องที่เกี่ยวกับเขาแพร่กระจายไปทั่วหล้านานแล้ว ทุกวันนี้ในใจผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์มากมาย เลื่อมใสศรัทธาจักรพรรดิเต้ายวนเป็นอย่างยิ่ง”
“เหมือนกับข้า”
เด็กสาวลั่วลั่วสอดปากกล่าว “ในใจข้าจักรพรรดิเต้ายวนก็คือผู้กล้าอันดับหนึ่งในใต้หล้า ไม่อาจโต้แย้ง ไม่มีใครเทียบได้ ในใต้หล้านี้ไม่มีใครเจิดจรัสสู้เขาได้เช่นกัน”
หลินสวินอึ้งไป อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
ถูกคนอื่นพูดถึงตน… ความรู้สึกนี้น่าสนใจทีเดียว
กู่เหลียงถิงกลับถลึงตามองเด็กสาวลั่วลั่วอย่างเหี้ยมเกรียม คล้ายกำลังกล่าวโทษว่านางปากมาก
ความเร็วของยานขนส่งอวกาศว่องไวนัก เวลาสั้นๆ แค่ครึ่งวันก็เข้าสู่อาณาเขตที่ ‘เขาประกายฟ้า’ ครอบคลุมแล้ว
เขาประกายฟ้าคือภูเขาเทพอันดับหนึ่งของโลกใหญ่แดนธรรม ถูกผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนมองเป็นสถานที่ซึ่งราวกับ ‘ปาฏิหาริย์’
ที่นี่ก็คืออาณาเขตของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง
ยังไม่ถึงก็เห็นได้แต่ไกล แสงเคลื่อนไหวที่เจิดจรัสมากมายโผทะยานไปทางเขาประกายฟ้าจากทั่วสารทิศ
บ้างมาโดยควบคุมสมบัติวิเศษ บ้างขี่นกวิญญาณสัตว์บินได้ และบ้างก็นั่งยานสำเภามาเหมือนหลินสวิน… แน่นขนัดตระการตายิ่งนัก
จากคำพูดของกู่เหลียงถิง งานบูชาวิทยราชที่เผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งจัดขึ้นครั้งนี้ ไม่ได้มีแค่ขุมอำนาจใหญ่ในโลกใหญ่แดนธรรมที่นำของกำนัลล้ำค่ามา แม้แต่สำนักโบราณบางแห่งในโลกใหญ่หงเหมิงรวมถึงฟ้าดาราอื่นก็มาร่วมงานมากมาย
เท่านี้ก็รู้แล้วว่าอานุภาพของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งยิ่งใหญ่ระดับใด
“พวกเราแยกกันตรงนี้แล้วกัน”
นอกเขาประกายฟ้า หลินสวินเก็บยานขนส่งอวกาศลงไป บอกลากู่เหลียงถิงกับเด็กสาวลั่วลั่ว
“สหายยุทธ์ บนตัวเจ้าไม่มีเทียบเชิญ ไม่อาจเข้างานบูชาวิทยราชได้ พวกเจ้าเข้าไปกับข้าดีไหม” กู่เหลียงถิงอดถามไม่ได้
“ช่างเถอะ แค่เจอกันโดยบังเอิญก็พอ หากไปกับพวกเจ้าจริงกลับจะหาเรื่องมาให้พวกเจ้าแทน” หลินสวินยิ้มพลางปฏิเสธ ไม่ทันไรก็หายไปพร้อมกับซย่าจื้อและต้าหวง
“หาเรื่อง?”
เด็กสาวลั่วลั่วอึ้งไป สงสัยเป็นอย่างยิ่ง
กู่เหลียงถิงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่เข้าที คนพวกนี้มาหาเรื่องเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งหรือ
หากเป็นเช่นนั้นจริงจะไม่กล้าเกินไปหน่อยหรือ!
“ไป พวกเรารีบไปดูกัน”
กู่เหลียงถิงลากตัวเด็กสาวลั่วลั่ว มุ่งหน้าไปยังเขาประกายฟ้าที่ห่างไกลอย่างรีบเร่ง
…
เขาประกายฟ้าทรงพลังยิ่งใหญ่ งดงามอัศจรรย์เกินธรรมดา มียอดเขามากมายกระจายเรียงรายเป็นระเบียบ ล้วนอาบไล้ด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ฝนมงคล
งานบูชาวิทยราชที่ดึงดูดแขกเหรื่อทั่วสารทิศมาชมดูกำลังจะจัดขึ้นในยามเที่ยงของวันนี้ สถานที่คือหน้าประตูทางเข้าเขาประกายฟ้า
เวลานี้แท่นบูชาเก่าแก่หนึ่งที่มีรัศมีประมาณพันจั้งตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น ในบริเวณใกล้เคียงเต็มไปด้วยผู้คนอยู่ก่อนแล้ว คนใหญ่คนโตที่มาจากขุมอำนาจใหญ่มากมายยืนอยู่ ณ ที่นั้น
คนทั่วไปไม่อาจเข้าใกล้ได้แต่แรก
ต่อให้เป็นบุคคลร้ายกาจที่ชื่อเสียงระบือลั่น หากไม่มีเทียบเชิญของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งก็อย่าได้คิดเข้าใกล้พื้นที่นี้เพียงก้าว
“ดูสิ นั่นก็คือ ‘จักรพรรดิสงครามเซวี่ยสิง’ ผู้อาวุโสชั้นสูงแห่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์!”
“จักรพรรดิกระบี่ฉีหลงแห่งเขาเมฆาม่วงก็มาด้วย…”
“ดูทางนั้นสิ ตระกูลคุนและตระกูลซวีที่เป็นเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์เหมือนกันก็ส่งระดับจักรพรรดิมาร่วมพิธีด้วย!”
…ทุกหนแห่งในที่นั้นคือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ สีหน้าของคนมากมายเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ความมีหน้ามีตาของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งยิ่งใหญ่เกินไปแล้วจริงๆ!
งานเซ่นไหว้บรรพชนและเลือกบุตรจักรพรรดิครั้งหนึ่ง กลับยิ่งใหญ่อลังการเช่นนี้ ทั้งมีระดับจักรพรรดิมากมายมาเยือนด้วยตัวเอง นี่ก็คืองานเซ่นไหว้บูชาที่ต่อให้กวาดสายตามองทั่วหล้าก็เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ชั้นยอด
บนแท่นบูชารัศมีพันจั้งนั้น มีสมบัติอัศจรรย์นานัปการกองพะเนินอยู่ก่อนแล้ว งดงามละลานตา แสงสมบัติไหลวน ของพวกนั้นล้วนเป็นของกำนัลล้ำค่าที่ผู้เข้าร่วมพิธีนำมามอบให้ มูลค่าของแต่ละชิ้นล้วนน่าอัศจรรย์ กองพะเนินจนกลายเป็นภูเขาลูกย่อมๆ
หน้าแท่นบูชามีคนใหญ่คนโตของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งมากมายยืนอยู่ รวมถึงชายหนุ่มที่ราศีจับเปล่งประกาย ดูองอาจห้าวหาญคนหนึ่ง คิ้วกระบี่เนตรดารา ท่าทางโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง
เห็นภาพอานุภาพยิ่งใหญ่หาใดเปรียบทั้งหมดแล้ว มุมปากชายหนุ่มอดเผยแววหยิ่งทะนงไม่ได้
เขาชื่อข่งเสียน ถูกกำหนดให้เป็น ‘บุตรจักรพรรดิ’ คนใหม่อยู่ก่อนแล้ว
ส่วนข้างกายข่งเสียน มีชายผมดำชุดม่วงคนหนึ่งยืนอยู่ ท่าทางน่าเกรงขาม แผ่อานุภาพสูงส่งออกมา เป็น ‘จักรพรรดิกระบี่หรันเสวี่ย’ ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งนั่นเอง
งานบูชาวิทยราชครั้งนี้มีเขาเป็นหัวหอก
เวลานี้แม้ว่าสีหน้าเขาจะสงวนท่าที แต่ความหยิ่งทะนงในแววตากลับเก็บงำซ่อนเร้นไม่อยู่
“ข่งเสียน เห็นหรือยัง นี่ก็คืออิทธิพลของพวกเราเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง ทั่วหล้านี้ขอเพียงเป็นขุมอำนาจที่ผูกมิตรกับพวกเราเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง ย่อมต้องส่งคนมาร่วมพิธีทั้งสิ้น!”
จักรพรรดิกระบี่หรันเสวี่ยเอ่ยปากเนิบช้า
ในใจข่งเสียนก็ตื่นเต้นหาใดเปรียบ เขาเพิ่งเคยเข้าร่วมงานยิ่งใหญ่เช่นนี้เป็นครั้งแรก ย่อมรู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจเป็นพิเศษ
“แต่เจ้าต้องจำไว้ ว่าข่งเจาบุตรจักรพรรดิคนก่อนตายอย่างไร!” เสียงของจักรพรรดิกระบี่หรันเสวี่ยพลันเปลี่ยนเป็นต่ำลึกและเยียบเย็น “หากหลินเต้ายวนนั่นไม่ตาย ย่อมเป็นมหันตภัยของพวกเราเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง ความแค้นนี้ไม่อาจลืม!”
นัยน์ตาข่งเสียนหดรัด ความปิติยินดีทั่วท้องถูกแรงกดดันหนักหน่วงเข้าแทนที่ หลินเต้ายวน จักรพรรดิเต้ายวนที่มีชื่อเสียงทั่วหล้า!
เขาข่งเสียนจะไม่รู้จักได้อย่างไร
ทันใดนั้นพลันมีคนเอ่ยถาม “พี่หรันเสวี่ย พูดถึงหลินเต้ายวนนี่แล้ว เจ้าหมอนี่มีความแค้นลึกล้ำกับเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งของพวกท่าน ทุกวันนี้คนทั่วไปล้วนไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นหรือตาย พี่หรันเสวี่ยคิดว่าหากเขายังมีชีวิตอยู่จะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องหรือไม่”
ประโยคเดียวดึงดูดความสนใจของผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นที่อยู่ใกล้ พากันทอดสายตามองไปยังจักรพรรดิกระบี่หรันเสวี่ย
บนทางเดินโบราณฟ้าดาราทุกวันนี้ จักรพรรดิเต้ายวนหลินสวินก็คือบุคคลที่เป็นประเด็นสนทนาซึ่งแพร่หลายที่สุด ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนล้วนได้ยินหัวข้อที่เกี่ยวกับเขา
จักรพรรดิกระบี่หรันเสวี่ยขมวดคิ้ว จากนั้นก็กล่าวอย่างจองหอง “หากเศษเดนคีรีดวงกมลนี้ยังมีชีวิตอยู่จริง เผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งของข้าก็ไม่ปล่อยเขาไว้แน่!”
เขาเว้นช่วงไปก่อนไพล่หลัง กวาดมองไปทั่วลาน น้ำเสียงราบเรียบยิ่งกว่าเดิม “ข้ากลับหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะกล้าปรากฏตัวที่นี่ แต่สิ่งสำคัญคือ เขา… กล้าหรือ”
น้ำเสียงเจือความมาดมั่นหาใดเปรียบ
ที่นี่คือโลกใหญ่แดนธรรม เป็นอาณาเขตของเขาเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง! บนโลกนี้ระดับจักรพรรดิคนไหนกล้าวิ่งมาลำพองบ้าง
เบื่อจะมีชีวิตแล้วกระมัง!
………………….