กู้ชิวอี๋ยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นฉันต้องขอเป็นตัวแทนของเด็กกำพร้าในเมืองจินหลิงขอบคุณคุณซูแล้ว”
ซูจือเฟยรีบโบกมือทันที “ไม่เป็นไร เป็นเรื่องที่สมควรต้องทำอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เงินที่ผมบริจาคเหล่านี้ ที่จริงก็เป็นการยืมดอกไม้ถวายพระ ที่จริงเงินพวกนี้เดิมทีเตรียมไว้เพื่อจะใช้เป็นเงินสนับสนุนคอนเสิร์ตของคุณ ฉะนั้นถ้าเด็กกำพร้าในเมืองจินหลิงจะขอบคุณ ก็ต้องขอบคุณคุณกู้ ไม่ใช่ผม”
กู้ชิวอี๋ไม่รู้จะตอบอย่างไรก็ได้แต่ยิ้ม จากนั้นก็พูดว่า“คุณซู ในเมื่อได้กำหนดเรื่องความร่วมมือกันแล้ว ถ้าอย่างนั้นหลังปีใหม่ก็เริ่มลงมือทำกันเลย ตอนนี้ฉันยังมีธุระอีกนิดหน่อย ต้องขอตัวก่อน”
ซูจือหยูได้ยินคำพูดนี้ ก็รีบลุกขึ้นมา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ชิวอี๋ พี่มีธุระก็รีบไปทำเถอะ พวกเราไม่รบกวนแล้ว”
กู้ชิวอี๋พยักหน้าเบาๆ พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้คนไปส่งทั้งสองคนนะคะ”
พูดจบ ก็เรียกคนใช้ในบ้านเข้ามา สั่งงานว่า “ป้าเฉิน รบกวนช่วยฉันส่งแขกหน่อยนะ”
สาวใช้วัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาทันที พูดอย่างนอบน้อมว่า “เชิญแขกทั้งสองท่านทางนี้”
ในใจของซูจือเฟยรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็ยืนขึ้นมา พูดกับกู้ชิวอี๋และกู้เย้นจง หลินหว่านชิวว่า “คุณกู้ ลุงกู้ น้าหลิน พวกเราขอตัวกลับก่อน”
กู้เย้นจงพยักหน้า พูดอย่างเรียบเฉยคำหนึ่งว่า “กลับบ้านดีๆ”
หลินหว่านชิวนั้นใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พูดอย่างสุภาพว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่ส่งทั้งสองคนแล้ว เดินทางปลอดภัยนะ”
ซูจือหยูรีบพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะน้าหลิน มีเวลาว่างก็แวะมานั่งเล่นที่บ้านได้นะคะ”
หลินหว่านชิงพูดไปตามมารยาทว่า “ได้ ถ้ามีเวลาจะไปเยี่ยมที่บ้านนะ”
ร่ำลากันง่ายๆไม่กี่คำ คนใช้ในบ้านก็ส่งสองพี่น้องตระกูลซูออกไป
หลังจากที่ทั้งสองคนจากไปแล้ว กู้เย้นจงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา พูดพึมพำว่า “ทำไมถึงรู้สึกว่าคนรุ่นหลังสองคนนี้ของตระกูลซูดูแปลกพิลึก ”
หลินหว่านชิวพยักหน้าพูดว่า “ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน เหมือนไม่ค่อยจะเป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่”
พูดแล้ว หลินหว่านชิวก็พูดต่อไปอีกว่า “คิดว่าคงเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขาเจอมาก่อนหน้านี้ที่ญี่ปุ่นละมั้ง เพราะว่าเรื่องในครั้งนั้นก็ใหญ่น่าดู ว่ากันว่าถ้าไม่ได้คนช่วยเหลือลึกลับคนนั้นยื่นมือเข้าช่วยเอาไว้ พวกเขาสองคนคงต้องตายอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว”
กู้เย้นจงพยักหน้า เอ่ยอย่างสะท้อนใจ “เห้อ ได้ยินว่าตอนนั้นซูโสว่เต้าเองก็ไปญี่ปุ่น ทำไมเขาไม่ตายที่ญี่ปุ่นนะ”
หลินหว่านชิงตำหนิอย่างจริงจังว่า “คุณล่ะก็ อย่าพูดเหลวไหล ไม่ว่ายังไงซูโสว่เต้าก็เป็นผู้นำตระกูลของตระกูลซู พวกเราจะหาเรื่องเขาไม่ได้ คุณพูดจาเหลวไหลอย่างนี้ ถ้าถูกพูดต่อออกไปจะไม่เท่ากับเป็นการหาเรื่องให้ตัวเองเหรอ”
กู้เย้นจงกัดฟันพูดว่า “ไอ้เฒ่าเลวทรามอย่างซูโสว่เต้า ทั้งเย่นจิงนับว่ามันน่ารังเกียจที่สุดแล้ว ตอนนั้นพี่ฉางอิงมีโอกาสตั้งหลายครั้งที่จะเอามันให้ตายได้ แต่สุดท้ายก็ใจอ่อนปล่อยมันไป สุดท้ายคุณดูมันสิเป็นคางคกขึ้นวอ กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา น่ารังเกียจที่สุดเลยพับผ่าสิ”
หลินหว่านชิวตบไปที่หลังของเขา พูดปลอบว่า “เอาล่ะเอาล่ะ ไม่ต้องไปอีนุงตุงนังกับเรื่องนี้อีกแล้ว แม้ว่าตอนนี้ร่างกายของคุณตอนนี้จะหายดีแล้ว แต่ถ้าวัดกันที่กำลังละก็พวกเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลซู ความแค้นระหว่างซูโส่วเต้า รอให้เฉินเอ๋อกลับมาที่เย่จิงแล้ว พวกคุณสองพ่อลูกค่อยร่วมมือกันไปแก้แค้น”
กู้เย้นจงพยักหน้าติดติดกัน พูดจริงจังว่า“คุณพูดได้ถูกต้อง สักวันหนึ่งที่เฉินเอ๋อกลับมาเย่นจิง และแต่งงานกับหนานหนานแล้ว จากนั้นก็สืบทอดตระกูลเย่ต่อไป ถึงเวลานั้น ฉันจะดูสิว่าตระกูลซูจะได้ใจอะไรอีก”
กู้ชิวอี๋ที่อยู่ข้างๆรู้สึกกระดากอายขึ้นมาอยู่บางเล็กน้อย พูดเสียงต่ำว่า “โธ่พ่อ เรื่องแต่งงานของหนูกับพี่เยาเฉินยังไม่มีทีท่าว่าจะเกิดขึ้นเลย อย่าลืมสิว่าตอนนี้เขาเป็นคนที่มีภรรยาแล้ว”
กู้เย้นจงโบกมือ พูดอย่างมั่นใจว่า “หยวนหยวน ลูกวางใจได้ ภายในสามปี เฉินเอ๋อต้องแต่งงานกับลูกแน่”
กู้ชิวอี๋รู้สึกอายอยู่บ้าง แล้วก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจ “พ่อคะ พ่อ พ่อมั่นใจได้ยังไง”
กู้เย้นจ้งมองกู้ชิวอี๋ พูดอย่างเคร่งขรึมจริงจังที่สุด “นิสัยส่วนตัวของเฉินเอ๋อ และนิสัยในการทำงานของเขา เหมือนกับลุงเย่ไม่มีผิด แค่อาศัยข้อนี้ พ่อก็กล้าฟันธง เฉินเอ๋อไม่ช้าก็เร็ว ต้องทำตามคำสั่งที่พ่อแม่ได้กำหนดไว้ แต่งงานกับลูกตามสัญญา”