The king of War บทที่ 2016 ทำลายม่านพลัง
เจียงเผิงดิ้นรนลุกขึ้นมาจากพื้น ถึงแม้เขาจะใช้วิชาลับเชียนเสวียนของตระกูลเจียงไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหยางเฉินอยู่ดี
หยางเฉินมองเจียงเผิงด้วยใบหน้าที่เหยียดหยามพลางพูด: “นึกจริง ๆ หรือว่าตนแค่บําเพ็ญวิชาลับระดับต่ำวิชาหนึ่ง แล้วจะเป็นผู้ไร้เทียมทานใต้หล้านี้?”
ไป๋หลี่เย่และเจียงจ้านต่างเบิกตากว้างอ้าปากค้าง พูดได้เลยว่าในโลกบู๊โบราณล่าง วิชาลับเชียนเสวียนเป็นหนึ่งในวิชาลับชั้นสุดยอดเลย ทว่าบัดนี้หยางเฉินกลับบอกว่าวิชาลับเชียนเสวียนเป็นเพียงวิชาลับระดับต่ำ แล้ววิชาลับที่แท้จริงในสายตาหยางเฉินจะทรงพลังมากเท่าไหร่เชียว?
มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับอย่างพวกเขา ก็แค่เคยได้ยินเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับเทพมารเท่านั้น
วินาทีนี้จิตวิญญาณของหยางเฉินที่กำลังถูกกักขังอยู่ก็รู้สึกช็อกอย่างมากเช่นกัน เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าศักยภาพของเจียงเผิงที่ใช้วิชาลับเชียนเสวียนแล้วแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ แต่ทว่าบัดนี้จิตวิญญาณของเทพมารเพียงอาศัยร่างเขา ก็สามารถโค่นล้มเจียงเผิงไปได้ในชั่วพริบตาเดียวแล้วอย่างนั้นหรือ
หัวใจสำคัญคือจิตวิญญาณของเทพมาร ไม่ได้ระเบิดศักยภาพที่แข็งแกร่งมากนักออกมา แต่เป็นศักยภาพที่เหมือนดังครั้นเมื่อเขาควบคุมร่างตัวเองเมื่อก่อนหน้านี้
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเมื่ออยู่ภายใต้เงื่อนไขแบบเดียวกัน เทพมารสามารถสังหารเจียงเผิงได้ในวินาทีเดียว ส่วนหยางเฉินนั้นกลับมีเพียงจะถูกเจียงเผิงสังหารภายในวินาทีเดียว
เจียงเผิงเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก ดวงตาทั้งสองข้างจ้องเขม็งไปทางหยางเฉิน กัดฟันแน่นพลางพูด: “เทพมาร โลกบู๊โบราณทราบข่าวคราวการคงอยู่ของเจ้าแล้ว ใช้เวลาไม่นาน เจ้าก็จะดับสลายสูญสิ้นไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง!”
หยางเฉินหลุดหัวเราะออกมา: “เป็นเพียงมดตัวจ้อยกระจอก ๆ ในโลกบู๊โบราณ ข้ายังมิเคยนำพวกมันมาไว้ในสายตา!”
หลังจากพูดจบ เขาก็ยกเท้าขึ้นมากะทันหัน ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้เจียงเผิงทีละก้าว
แม้เจียงเผิงจะได้รับบาดเจ็บ ทว่าหลังจากเขาใช้วิชาลับเชียนเสวียนแล้ว ศักยภาพของเขาก็ยังคงแข็งแกร่งมาก ๆ จิตที่จะสู่พรั่งพรูออกมาจากร่างกาย มองดูหยางเฉินที่ค่อย ๆ เดินใกล้เข้ามา ใบหน้าของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความเคร่งขรึม เตรียมพร้อมที่จะลงมือโจมตีอยู่ตลอดเวลา
จู่ ๆ หยางเฉินก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า: “ส่งวิชาลับเชียนเสวียนออกมา แล้วข้าจะคงสภาพศพเจ้าให้อยู่อย่างสมบูรณ์!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเจียงเผิงเปลี่ยนไปในทันที
แม้วิชาลับเชียนเสวียนจะเป็นวิชาต้องห้ามของตระกูลเจียง ในขณะเดียวกันมันก็เป็นวิชาลับระดับสูงสุดของตระกูลเจียงเช่นกัน มาตรแม้นว่าอยู่ในตระกูลเจียง ก็มีเพียงผู้นำตระกูลและเชื้อสายตรงที่สร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ให้แก่ตระกูลเจียงถึงจะมีสิทธิ์บำเพ็ญวิชาลับนี้
แต่ไม่นึกเลยว่าบัดนี้หยางเฉินจะให้เขาส่งวิชาลับเชียนเสวียนออกมา
เจียงเผิงอดกลั้นความโกรธเคืองไว้พลางตอบกลับ: “เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกว่าวิชาลับเชียนเสวียนเป็นวิชาลับระดับต่ำมิใช่หรือ? เหตุใดบัดนี้ถึงอยากได้วิชาลับเชียนเสวียนไปจากมือข้าเล่า?”
หยางเฉินไม่ได้สนใจอะไร ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองไปทางเจียงเผิง
“เงียบ!”
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ หยางเฉินก็ตะคอกทีหนึ่ง
เสี้ยววินาทีที่เขาตะคอกออกมา แววตาของเจียงเผิงก็ดูเฉื่อยชาไปอย่างฉับพลัน
เห็นเพียงหยางเฉินและเจียงเผิงต่างยืนนิ่งอยู่กับที่ มองหน้ากันและกัน ต่างไม่พูดอะไรเลย บรรยากาศดูแปลกประหลาดอย่างมาก
“พวกเขากำลังทำอะไร?”
จู่ ๆ เจียงจ้านก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล ก่อนจะเอ่ยปากถาม
ใบหน้าของไป๋หลี่เย่เปี่ยมล้นไปด้วยรังสีแห่งความตึงเครียด ดวงตาทั้งสองข้างจ้องเขม็งไปทางเจียงเผิงที่สีหน้าท่าทางเฉื่อยชา ทันใดนั้นเขาก็พูดเสียงต่ำว่า: “เล่ากันว่าวิชานัยน์ตาของเทพมารน่ากลัวมาก ๆ มองเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าสู่แดนมายาของเขา”
“เมื่อครู่เขาบอกให้เจียงเผิงส่งวิชาลับเชียนเสวียนออกมา จู่ ๆ สีหน้าท่าทางของเจียงเผิงก็เฉื่อยชาไป บางทีเจียงเผิงอาจจะเข้าสู่แดนมายาของเทพมารไปแล้ว และเทพมารก็กำลังอ่านและฟื้นความทรงจำของเจียงเผิงอยู่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเจียงจ้านก็เปลี่ยนไปมาก: “หรือเขาจะเอาวิธีการบำเพ็ญวิชาลับเชียนเสวียนจากความทรงจำของเจียงเผิงด้วยตนเอง?”
ไป๋หลี่เย่ไม่ตอบกลับใด ๆ
และในเวลานี้ สีหน้าของเจียงเผิงก็ขาวซีดลงไปกะทันหัน เท้าสะดุดกับอะไรบางอย่างและเดินโซซัดโซเซถอยหลังกลับไปหลายก้าว
เขามองไปทางหยางเฉินด้วยใบหน้าที่โกรธแค้นพลางซักถามด้วยน้ำเสียงที่ตําหนิติเตียน: “เจ้าทำอะไรต่อข้า?”
หยางเฉินมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชารอบหนึ่ง จากนั้นเขาก็แหงนหน้ามองดูเหนือนภายอดเมฆา
ณ บัดนี้ รอยร้าวเหนือนภายอดเมฆากำลังค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่รอยร้าวเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ๆ ร้อยราว ณ วินาทีนี้ขยายใหญ่ขึ้นเกือบเท่าตัวแล้ว
ชี่ทิพย์ที่มากมายมหาศาลอย่างยิ่ง กำลังไหลเข้ามาในโลกมนุษย์ผ่านรอยร้าวดังกล่าว
ต้นไม้ใบหญ้าที่เหี่ยวเฉาไปแล้วบนยอดเมฆา วินาทีนี้พลังชีวิตของพวกมันกำลังฟื้นคืนสู่สภาพเดิมด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ไม่เพียงบนยอดเมฆาเท่านั้น จากยอดเมฆาเป็นศูนย์กลาง พลังชีวิตของต้นไม้ใบหญ้าทั่วทุกสารทิศรอบ ๆ ล้วนกำลังฟื้นคืนสู่สภาพเดิม
นี่มันเรื่องปาฏิหาริย์ในโลกชัด ๆ!
หยางเฉินแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า จู่ ๆ เขาก็เอ่ยปากพูดอย่างเย็นเยือกว่า: “ยังช้าเกินไป!”
พอสิ้นเสียง ทันใดนั้นในมือเขาก็มีมีดโลหิตปรากฏหนึ่งเล่ม บนมีดโลหิตมีลมปราณที่น่าสยดสยองอย่างมากผนึกรวมอยู่
“ไป!”
หยางเฉินปามีดโลหิตขึ้นไปบนฟ้าอย่างฉับพลัน
เมื่อเห็นการกระทำของเขา พวกเจียงเผิงต่างก็ตกตะลึงจนตาค้าง
“โครม!”
เสี้ยววินาทีที่มีดโลหิตถูกปาเข้าไปในรอยร้าวม่านพลัง ก็มีเสียงดังลั่นสนั่นไปทั่วทั้งแผ่นฟ้า ทันใดนั้นพลังออร่าที่บ้าคลั่งยิ่งกว่าก็ระเบิดออกมาจากรอยร้าวม่านพลัง
เห็นเพียงรอยร้าวกำลังขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที รอยร้าวม่านพลังก็ขยายใหญ่ขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว
จุดสำคัญคือระดับความเร็วที่ขยายออกของรอยร้าวม่านพลัง รวดเร็วมากกว่าเดิมแล้ว
“เทพมาร! เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ทันใดนั้นเจียงเผิงก็โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง ก่อนจะตะคอกเสียงดังลั่น
แต่ทว่าหยางเฉินไม่สนใจเขาเลยด้วยซ้ำ กวัดแกว่งมือออกไปอย่างสบาย ๆ มีดโลหิตพุ่งทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง
“โครมโครมโครม!”
เห็นเพียงมีดโลหิตบินเข้าไปในรอยร้าวม่านพลังอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่มีดโลหิตบินเข้าไปในรอยร้าวม่านพลัง รอยร้าวม่านพลังก็จะขยายใหญ่ขึ้น และความเร็วในการขยายก็จะเร็วกว่าเดิมด้วย
เจียงเผิงตะคอกเสียงดังลั่นไปทางไป๋หลี่เย่และเจียงจ้านอย่างโกรธเกรี้ยว: “มันกำลังจะฉีกทำลายม่านพลัง รีบยับยั้งมันเร็ว! มิเช่นนั้นพวกเจ้าจะไม่มีจุดยืนในโลกบู๊โบราณอีก”
ทั้งสองเหมือนถูกปลุกจากฝัน บัดนี้ถึงจะเข้าใจว่าเทพมารกำลังจะทำลายม่านพลังให้แตกสลายโดยสิ้นเชิง
ทันทีที่ม่านพลังถูกทำลายล้างไปโดยสิ้นเชิง โลกบู๊โบราณล่างและโลกมนุษย์ก็จะผสมรวมกันเป็นหนึ่งอย่างแท้จริงแล้ว ซึ่งนี่จะเป็นเหมือนหายนะสำหรับนักบูโดทุกคนในโลกบู๊โบราณล่าง
ประเด็นสำคัญคือหายนะดังกล่าวเกิดจากผู้คนในตระกูลเจียงและราชวงศ์ไป๋หลี่ มาตรแม้นว่านักบูโดในโลกบู๊โบราณล่างจะไม่ปล่อยหยางเฉินไป ในขณะเดียวกันคนเหล่านั้นก็จะไม่ปล่อยพวกเขาไปเช่นกัน
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ ไป๋หลี่เย่และเจียงจ้านถึงตระหนักได้ว่าพวกเขาไม่สามารถหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้แล้ว
หลังจากทั้งสองสบตากันครั้งหนึ่ง ไป๋หลี่เย่กัดฟันพลางพูด: “เจียงเผิงพูดถูก เราจำเป็นต้องหยุดยั้งเขา! มิเช่นนั้น ต่อให้เราสามารถมีชีวิตรอดกลับไปยังโลกบู๊โบราณล่างได้ นักบูโดในโลกบู๊โบราณล่างก็ไม่มีทางปล่อยพวกเราไปอย่างแน่นอน”
เจียงจ้านมองหน้าไป๋หลี่เย่พลางพูด: “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ลงมือพร้อมกันเถอะ!”
ไป๋หลี่เย่ไม่ได้พูดอะไรอีก เคลื่อนไหวเท้าแล้วพุ่งตรงเข้าไปทางหยางเฉินโดยตรง
เจียงจ้านก็พุ่งตามไปเช่นกัน
เมื่อเจียงเผิงเห็นเช่นนี้ เขาก็รีบพุ่งเข้าไปฆ่าหยางเฉินด้วย
“ฆ่า!”
ทั้งสามพุ่งตรงไปทางหยางเฉินในลักษณะมุมแหลม
พลังโจมตีที่ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิตของทั้งสาม แทบจะร่วงลงบนตัวหยางเฉินพร้อมกัน
“ไสหัวไป!”
เมื่อเห็นว่าการโจมตีของทั้งสามใกล้จะร่วงลงบนร่างหยางเฉินแล้ว ในเวลานี้เองหยางเฉินกลับตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยวคำหนึ่ง
ทันใดนั้น พลังอันบ้าคลั่งก็ซัดกระหน่ำออกไปทั่วทุกสารทิศโดยที่มีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง
“ปังปังปัง!”
เห็นเพียงผู้แข็งแกร่งทั้งสามคนที่มาจากโลกบู๊โบราณล่าง ถูกโจมตีจนบินลอยออกไปพร้อมกัน
สภาพหยางเฉินเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนยังไงอย่างนั้น ยังคงควบคุมมีดโลหิตโจมตีไปทางห้วงอากาศอันว่างเปล่าอย่างไม่หยุดหย่อนเช่นเคย ทุกจุดที่มีดโลหิตเคลื่อนผ่าน ม่านพลังก็จะแตกร้าวภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว
ลี่เฉินที่อยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปไม่ไกล มองดูการกระทำของหยางเฉินอย่างตะลึงงัน ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความทอดถอนใจ เขาทราบอยู่ว่าเทพมารที่กำลังยึดครองร่างหยางเฉินแข็งแกร่งมากเกินไป ไม่ได้นำพวกเจียงเผิงมาไว้ในสายตาด้วยซ้ำ
และจุดประสงค์ที่แท้จริงของเทพมารก็คือ ทำลายล้างม่านพลังระหว่างทั้งสองโลกโดยสิ้นเชิง!