ลั่วเจียมองหลินสวินอย่างสงสัย จนกระทั่งหลินสวินชี้ไปทางลั่วซิงที่สลบเหมือดอยู่ด้านข้าง นางถึงตอบสนองขึ้นมาทันที เมื่อครู่ในใจมัวแต่พะวงความปลอดภัยของเผ่า ถึงกับลืม ‘คนทรยศ’ นี่ไปเสียได้!
“เมื่อครู่ข้าลองตรวจสอบดูแล้ว พบว่าในจิตวิญญาณก็ถูกฝังหนอนเทพกักวิญญาณลงไปแล้วเหมือนกัน”
หลินสวินกล่าว “แต่ข้าพบวิธีแก้จากตัวอู่ฝ่าเทียนแล้ว”
ขณะพูดก็ยื่นม้วนหยกให้ลั่วเจีย
“พี่หลิน ขอบคุณยิ่งแล้ว” เนตรงามของลั่วเจียฉายแววขอบคุณจากใจ ถึงขั้นรู้สึกซาบซึ้ง
นางรู้ดียิ่ง ครั้งนี้หากไม่ได้หลินสวินช่วยไว้ จุดจบของตนจะอนาถแค่ไหน
“เจ้าน่ะ กังวลจนปั่นป่วน”
หลินสวินกล่าวเสียงอบอุ่น “นับแต่วันนี้ไปข้าจะปักหลักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ชั่วคราว หากเจ้ามีเรื่องอะไรต้องมาหาโดยเร็วที่สุด”
ลั่วเจียร้องอืมคราหนึ่ง ใจไหวรุนแรง รู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ความห่วงใยและพร้อมปกป้องจากมิตรสหายเช่นนี้ ทำให้นางในเวลานี้รู้สึกถึงความอบอุ่นเป็นพิเศษอย่างเห็นได้ชัด
หลินสวินตบไหล่ลั่วเจียเบาๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อย่ากลัวว่าจะรบกวนข้าเหมือนคราวก่อนอีกเด็ดขาด และอย่าลืมเสียล่ะ ระดับจักรพรรดิขั้นแปดยังเป็นศัตรูที่ถูกข้าฟันในกระบี่เดียว”
ลั่วเจียขบริมฝีปากชุ่มฉ่ำเบาๆ คล้ายรวบรวมความกล้าเต็มที่แล้ว จู่ๆ ก็อ้าแขนเรียวออกแล้วโอบกอดหลินสวินแน่น
จังหวะนั้นหลินสวินแข็งทื่อไปทั้งตัว รู้สึกถึงความนุ่มนวลของสัมผัสผิว เดิมทีเขาจะเบี่ยงหลบก็ได้ เหตุที่ไม่หลบ ก็เพราะคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ลั่วเจียจะมอบกอดตนเช่นนี้…
แต่ไม่นานลั่วเจียก็ผละออก ใบหน้าอรชรงดงามขาวเนียนดวงนั้นเริ่มแดงซ่าน นัยน์ตากระจ่างหลุบลง เห็นได้ชัดว่าน่ารักเป็นพิเศษ
นางแกล้งทำเป็นสงบแล้วกล่าวเย้าแหย่ “หากไม่เพราะรู้แต่แรกว่าในใจเจ้ามีแม่นางจิ่งเซวียน ข้าคงข่มใจไม่ไหวชอบเจ้าเข้าให้แล้ว”
“แน่นอน เจ้าอย่าคิดมากเชียว ข้าแค่อยากกอดเจ้าเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดเป็นอื่นกับเจ้าเด็ดขาด”
ขณะพูดตัวนางเองยังคล้ายจะค่อนข้างเคอะเขิน หิ้วลั่วซิงที่สลบอยู่แล้วหมุนตัวดุ่มๆ ออกไป
หลินสวินอึ้งไปเล็กน้อย ปลายจมูกยังคงอวลกลิ่นหอมคล้ายกล้วยไม้ป่าอยู่ไม่หาย เขายิ้มบางๆ กล่าวพึมพำกับตัวเอง “ตั้งแต่รู้ตัวว่าข้าเป็นพ่อคนแล้ว… ข้ายังจะกล้าคิดมากอีกได้ที่ไหนล่ะ…”
ในน้ำเสียงเจือแววทอดถอนใจ
สำหรับอันตรายที่เผ่าหงส์เซียนเผชิญหน้า คนนอกอย่างหลินสวินย่อมไม่สามารถยื่นมือเข้าแทรกแซงมั่วซั่ว
ทว่าหากเป็นไปได้ เขาก็อยากพบคนใหญ่คนโตจากตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งที่จะมาถึงในสามเดือนให้หลังคนนั้น
‘ช่างเถอะ แค่อยู่ในเมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิงแห่งนี้ต่ออีกสักระยะก็พอ’
สุดท้ายหลินสวินก็ตัดสินใจ
จากนั้นเขาลุกขึ้นแล้วเดินออกจากโรงเตี๊ยม
ตอนก่อนจะมาแดนหงส์เซียน อ๋าวซิงถังเคยบอกว่าเผ่าจักรพรรดิช่างเทพเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งใต้หล้าในมรรคหลอมอาวุธ บรรพชนยังถูกเรียกว่า ‘จักรพรรดิศาสตรา’
หลินสวินอยากดูสักหน่อย ว่าพอจะอาศัยโอกาสนี้หลอมศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ของตนได้หรือไม่
…
เมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิงกว้างใหญ่ไพศาลเป็นที่สุด ในฐานะเมืองอันดับหนึ่งแดนหงส์เซียน ย่อมเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งหาใดเปรียบ
เผ่าจักรพรรดิช่างเทพที่อยู่ใต้อาณัติของเผ่าหงส์เซียนก็คือผู้ปกครองเมืองนี้
ตามท้องถนนต่างๆ ของเมืองนี้แทบจะเห็นป้ายที่เขียนว่า ‘ร้านช่างเทพ’ แขวนอยู่ทั่วเมือง
ร้านช่างเทพนี้ ก็คือกิจการผูกขาดของเผ่าจักรพรรดิช่างเทพ
ไม่นานหลินสวินก็เดินเข้าร้านช่างเทพแห่งหนึ่งที่มีสัญลักษณ์ ‘ระดับสามหมายเลขเจ็ดสิบเก้า’ ตามสะดวก
ร้านค้าเจือกลิ่นอายโบราณ สง่างามแบบดั้งเดิมมีพื้นที่ใหญ่มาก บนโต๊ะแสดงที่เรียงรายจัดวางสมบัตินานาชนิด ดาษดื่นละลานตา ส่องประกายทั่วทั้งห้อง
ผู้ดูแลหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา นอบน้อมมีมารยาท กล่าวแนะนำให้หลินสวิน
ร้านช่างเทพทั้งจำหน่ายสมบัติทุกชนิด และรับทำสมบัติพิเศษเฉพาะตัวด้วย ถึงขั้นหากจ่ายหนักพอยังสามารถระบุตัวขอให้ปรมาจารย์หลอมอาวุธคนหนึ่งหลอมอาวุธให้ตนได้
“ผู้อาวุโส ตอนนี้รายการจองของร้านช่างเทพระดับสามหมายเลขเจ็ดสิบเก้าของพวกเรายาวกว่าเก้าร้อยลำดับแล้ว หากท่านต้องการสร้างสมบัติ ต้องรออีกระยะเจ้าค่ะ”
ผู้ดูแลหญิงกล่าว “แน่นอน ท่านสามารถจ่ายศิลาหงส์เซียนจำนวนหนึ่งเพื่อเชิญปรมาจารย์หลอมอาวุธผู้เชี่ยวชาญให้บริการแก่ท่านได้เจ้าค่ะ”
จากคำบอกกล่าวของผู้ดูแลหญิง ในเผ่าจักรพรรดิช่างเทพมีปรมาจารย์หลอมอาวุธสามคนเป็นกำลังหลักในร้านช่างเทพแห่งนี้ รายการจองทั่วไปพวกเขาคร้านจะรับ รับเพียงใบสั่งจองหลอมอาวุธที่ยินดีจ่ายเงินก้อนใหญ่เท่านั้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลินสวินก็กล่าวอย่างสนใจ “หากข้าต้องการหลอมศาสตราจักรพรรดิชิ้นหนึ่ง ต้องจ่ายเงินเท่าไหร่”
ผู้ดูแลหญิงอึ้งค้าง สายตาที่มองหลินสวินพลันเปลี่ยนไป กล่าวอย่างเคารพ “ผู้อาวุโส ท่านแน่ใจหรือว่าต้องการหลอมศาสตราจักรพรรดิ”
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ
ผู้ดูแลหญิงกล่าวอย่างใคร่ครวญ “บอกแบบไม่ปิดบัง ผู้ที่สามารถหลอมศาสตราจักรพรรดิ ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตระดับปฐมาจารย์ในเผ่าจักรพรรดิช่างเทพ หากผู้อาวุโสต้องการจริงๆ ไม่สู้ลองไปดูที่ร้านช่างเทพระดับหนึ่งสิบห้องแรก ขอเพียงจ่ายไหว เชื่อว่าด้วยฝีมือเหนือธรรมดาของเหล่าปฐมาจารย์ต้องไม่ทำให้ผู้อาวุโสผิดหวังแน่”
หลินสวินถึงเพิ่งรู้ ว่าที่แท้ร้านช่างเทพระดับสามหมายเลขเจ็ดสิบเก้านี้ ไม่มีความสามารถในการหลอมศาสตราจักรพรรดิเลยแม้แต่น้อย
ทว่าหลินสวินเองก็ไม่คิดจะให้ผู้อื่นมาช่วยตนหลอมศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์อยู่แล้ว ที่เขามาร้านช่างเทพครั้งนี้ ก็แค่อยากดูความเชี่ยวชาญในมรรคหลอมอาวุธของเผ่านี้สักหน่อยเท่านั้น
ความจริงพิสูจน์แล้วว่ารากฐานพลังของเผ่าจักรพรรดิช่างเทพแข็งแกร่งไม่ธรรมดาจริงๆ
ร้านช่างเทพระดับสามหมายเลขเจ็ดสิบเก้าร้านหนึ่ง ลำพังแค่ใบสั่งจองหลอมอาวุธก็ยาวเหยียดกว่าเก้าร้อยรายการ แค่คิดก็รู้ว่าหากนับรวมร้านช่างเทพทั้งหมดในเมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิง แต่ละวันต้องหลอมสมบัติออกมามากมายขนาดไหน!
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ หากคนในเผ่าจักรพรรดิช่างเทพหลอมอาวุธได้ตามสภาพการณ์เช่นนี้ ก็เท่ากับว่าทุกวันล้วนเคี่ยวกรำความชำนาญในการหลอมอาวุธ ไม่อยากแข็งแกร่งยังยาก
‘ดูท่า ร้านช่างเทพน่าจะมีรากฐานพอให้เรียนรู้ทำความเข้าใจได้สักหน่อยแล้ว’
หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนออกจากร้านช่างเทพแห่งนี้
จวบจนบัดนี้ในหัวเขามีแนวคิดที่ต่อศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์บ้างแล้ว เพียงแต่ต้องต่อยอดเพิ่มอีกก้าว
อย่างไรเสียศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ก็เป็นสมบัติที่เกี่ยวโยงกับมรรควิถีของตนอย่างแนบแน่น หากเกิดจุดบกพร่องอะไรในขณะหลอม ย่อมไม่สามารถปลดปล่อยพลังต่อสู้ของตนออกมาได้เต็มที่
และแต่ละวันร้านช่างเทพล้วนสามารถหลอมสมบัติออกมาได้จำนวนไม่หวาดไม่ไหว สมบัติเหล่านี้มีมากมายสารพัดทุกรูปแบบ บางทีอาจจุดประกายให้เขาได้ไม่น้อย
หนึ่งเค่อต่อมา
ร้านช่างเทพระดับหนึ่งหมายเลขสิบ
ไม่ว่าร้านช่างเทพที่มีสัญลักษณ์ระดับหนึ่งร้านไหน ล้วนเรียกได้ว่าเป็นแกนหลักของเผ่าจักรพรรดิช่างเทพ รับเฉพาะแขกที่สถานะพิเศษเท่านั้น คนทั่วไปไม่มีคุณสมบัติเดินเข้าไปด้วยซ้ำ
หลินสวินสถานะไม่พิเศษ แต่ปราณกลับพิเศษมาก หลังจากแผ่กลิ่นอายระดับจักรพรรดิออกมาเล็กน้อยก็เข้ามาในนี้ได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
และมีข้ารับใช้โดยเฉพาะมาคอยดูแลตัวต่อตัว
“ผู้อาวุโสต้องการหลอมอาวุธหรือ” ข้ารับใช้เป็นหญิงงามที่บุคลิกหน้าตาล้วนเรียกได้ว่าอยู่ในระดับสูง สวมชุดกระโปรงสีเลือดหมูตัดเย็ดเข้ารูป ผมดำม้วนเป็นมวย ริมฝีปากแดงเม้มบางๆ เรียวฟันขาวเผยให้เห็นเล็กน้อย ท่วงท่าอิริยาบถไร้ที่ติ
นางบอกว่าตัวเองชื่อเหยาเถา
หลินสวินกล่าว “ขอข้าดูก่อน”
เขาเดินชมตลอดทาง สมบัติที่เรียงรายบนโต๊ะจัดแสดงทั้งหมดแทบจะเป็นศาสตราจักรพรรดิ ล้วนถูกพลังผนึกคลุมเครือปิดครอบอยู่
ศาสตราจักรพรรดิแบ่งออกเป็นสามขั้น ได้แก่ ขั้นลึกลับ ขั้นวิญญาณ ขั้นศักดิ์สิทธิ์
แต่ละขั้นก็แบ่งออกเป็นสามชั้น บน กลาง และล่าง
นี่ก็คือ ‘สามขั้นเก้าชั้น’
ที่พบบ่อยที่สุดก็คือศาสตราจักรพรรดิขั้นลึกลับ
ศาสตราจักรพรรดิขั้นวิญญาณเกี่ยวโยงถึง ‘อาวุธวิญญาณ’ เห็นได้ชัดว่าล้ำค่าหาใดเปรียบ มักถูกขนานนามว่า ‘สมบัติล้ำค่าฟ้าดิน’
ส่วนศาสตราจักรพรรดิขั้นศักดิ์สิทธิ์ หรือถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘ยอดศาสตรามรรคจักรพรรดิ’ อานุภาพแข็งแกร่งน่าเหลือเชื่อ มีอานุภาพเหนือสุดสามารถถล่มเวิ้งฟ้าทลายทั้งโลกได้ ดุจดั่งในตำนาน
ศาสตราจักรพรรดิระดับนี้ก็หาได้ยากที่สุดเหมือนดั่งตำนานเช่นกัน
หลินสวินฝึกปราณจนบัดนี้เคยเห็นศาสตราจักรพรรดิแปลกมหัศจรรย์ไม่รู้เท่าไหร่ แต่ที่สามารถจัดเป็นศาสตราจักรพรรดิขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้จริงๆ กลับมีเพียงไม่กี่ชิ้น
“ศาสตราจักรพรรดิพวกนี้ ล้วนเป็นของที่ปฐมาจารย์หลอมอาวุธเผ่าจักรพรรดิช่างเทพของพวกเจ้าหลอมทั้งหมดหรือ” หลินสวินเดินชมไปตลอดทาง พบว่าศาสตราจักรพรรดิบนโต๊ะทั้งหมดล้วนอยู่ในกลุ่มขั้นลึกลับ ไม่ใช่สมบัติที่ทรงพลังยิ่งอะไร
แต่หลินสวินกลับพบว่าฝีมือหลอมศาสตราจักรพรรดิแต่ละชิ้นล้วนถือว่ามหัศจรรย์ เหนือธรรมดาสุดขีด ไม่ใช่ของทั่วไปจะเทียบชั้นได้ แนวคิดสร้างสรรค์บางอย่างทำให้เขาเองก็ได้เปิดโลกเช่นกัน
“ถูกต้อง” เหยาเถากล่าวเสียงนอบน้อม
“พอใช้ได้”
หลินสวินประเมินหนึ่งประโยค ขณะกำลังจะเดินชมต่อ เสียงแค่นหัวเราะสายหนึ่งก็ดังขึ้น
“ฟังจากคำติชมของท่าน หรือจะเข้าใจการหลอมอาวุธด้วย”
เสียงเจือความไม่สบอารมณ์อย่างคล้ายมีคล้ายไม่มีดังขึ้น ก็เห็นหญิงชุดดำคนหนึ่งไม่รู้เดินเข้ามาจากไกลๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมยาวสีแดงเพลิงประหนึ่งลุกโหมทั่วศีรษะ ผิวพรรณขาวผ่องยิ่งกว่าหิมะ เงาร่างอรชรอ้อนแอ้น ทั่วร่างมีประกายเพลิงดาราเป็นสายๆ หลั่งริน
เหยาเถารีบแนะนำเสียงนอบน้อมอยู่ด้านข้างทันที
ที่แท้หญิงชุดดำคนนี้ก็คือหนึ่งในสามปฐมาจารย์หลอมอาวุธในร้านช่างเทพ เจ้าของร้านช่างเทพระดับหนึ่งหมายเลขสิบ นามว่าเลี่ยนหงซิ่ว เจ้าตัวยังเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในเผ่าจักรพรรดิช่างเทพ ฐานะเหนือธรรมดา
“แค่หลุดปากเท่านั้น สหายยุทธ์ไม่ต้องคิดจริงจัง หากเผลอล่วงเกินโปรดอภัยด้วย” หลินสวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขากลับรู้ดีที่สุด ว่าโดยทั่วไปแล้วนิสัยของคนระดับปรมาจารย์ ปฐมาจารย์หลอมอาวุธหลอมยาพวกนี้ ล้วนถือดีและโอหังเป็นที่สุด
เลี่ยนหงซิ่วขมวดคิ้วกล่าว “ข้าแค่อยากรู้ว่า อะไรคือ ‘พอใช้ได้’ หรือว่าศาสตราจักรพรรดิบนโต๊ะจัดแสดงนี้แค่พอจะถูไถในสายตาสหายยุทธ์เท่านั้นหรือ”
เห็นได้ชัดว่าคำประเมินว่า ‘พอใช้ได้’ ของหลินสวิน ทำให้นางค่อนข้างไม่พอใจ
นางเป็นถึงปฐมาจารย์หลอมอาวุธในเผ่าจักรพรรดิช่างเทพ ชื่อเสียงโด่งดังทั่วทั้งแดนหงส์เซียน ถูกผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไหร่เคารพเลื่อมใส ขนาดคนใหญ่คนโตในเผ่าบางคนเห็นนางยังต้องสุภาพสามส่วน
นี่ก็คือฐานะของปฐมาจารย์หลอมอาวุธ
และเลี่ยนหงซิ่วไม่ใช่ปฐมาจารย์หลอมอาวุธทั่วไป ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ ศาสตราจักรพรรดิที่นางหลอมเองกับมือมีมากเกือบร้อยชิ้นแล้ว ความเชี่ยวชาญด้านหลอมอาวุธยอดเยี่ยม เป็นที่เลื่อมใสในหมู่ระดับจักรพรรดิไม่รู้เท่าไหร่นานแล้ว
ตอนที่ระดับจักรพรรดิมากมายมุ่งหน้ามาเผ่าจักรพรรดิช่างเทพ ถึงขั้นเชิญเลี่ยนหงซิ่วมาหลอมอาวุธโดยเฉพาะ หนำซ้ำยังยินดีรอคอยหลายปี!
“สหายยุทธ์อยากฟังความจริงหรือ” เดิมหลินสวินคิดจะปล่อยผ่านไป แต่เห็นเลี่ยนหงซิ่วเอาจริง เขาพลันตระหนักได้ว่าเรื่องนี้คงไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้แล้ว
“ว่ามา”
เลี่ยนหงซิ่วพูดห้วนๆ สายตาล้วนเจือแววเดือดดาล คล้ายคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะดันคล้ายอยากวัดฝีมือกับตนในด้านการหลอมอาวุธจริงๆ
หลินสวินกลับไม่โมโห ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “สหายยุทธ์น่าจะเจอปัญหาคอขวดที่ไม่สามารถทะลวงผ่านไปได้ในด้านการหลอมอาวุธ”
เลี่ยนหงซิ่วอึ้งงันในทันที