ลับจิตดั่งคม
คำสี่คำ แต่ละคำดุจกระบี่ บรรจุประกายคมไว้ภายใน เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองสุดขีด ไม่ได้โอ้อวด แต่เป็นความอหังการที่ซ่อนคมไว้สุดขีดอย่างหนึ่ง
เมื่อมองโดยละเอียดหลินสวินก็อดหรี่ตาลงเบาๆ ไม่ได้ ถึงกับมีความรู้สึกเหมือนถูกรอยอักษรนั้นทิ่มแทง
แต่เมื่อใช้สภาวะจิตสัมผัส อักษรสี่คำนี้กลับเหมือนดวงดาวซ่อนลึกใต้บาดาล ดั่งไข่มุกปิดผนึกในหีบ เผยให้เห็นความลึกล้ำห่างไกลที่ไม่อาจจับต้องสัมผัสได้
หลินสวินอดเผยสีหน้าแปลกไปไม่ได้
เพียงสี่คำสั้นๆ สิ่งที่เห็นตรงหน้า สิ่งที่ใจสัมผัส กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง นี่ทำให้เขาเหมือนมองเห็นจักรพรรดิกระบี่แห่งยุคท่ามกลางความคลุมเครือ อหังการกร้าวแกร่ง ดุดันมาดมั่น
แต่สภาวะจิตของเขากลับเบาสบายดั่งเมฆ ล่องลอยอิสระ ให้ความรู้สึกกว้างขวางไร้อุปสรรคไร้พันธนาการ
“นี่คือหินลับกระบี่ชิ้นหนึ่ง”
ซีกล่าวขึ้นจากข้างๆ “แค่มองอักษรบนนั้น ก็รู้ว่าเจ้าของของสิ่งนี้จะต้องมีความสำเร็จยิ่งใหญ่ไม่เป็นรองใครในด้านมรรคกระบี่อย่างแน่นอน และสภาวะจิตของเขาก็กว้างใหญ่อิสระ ล่องลอยไกลโพ้นไม่ถูกพันธนาการ เป็นดั่งเซียนกระบี่คนหนึ่ง”
ในน้ำเสียงเจือความตกตะลึงไว้ด้วยเล็กน้อย
หลินสวินเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ลับจิตดั่งคม ก็คือการลับสภาวะจิตเหมือนกับลับคมกระบี่ของตน
หินลับกระบี่ที่สืบทอดต่อมาไม่รู้กี่กาลเวลาชิ้นหนึ่ง ยังคงคละคลุ้งด้วยท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์สะท้านยุคเช่นนี้ แค่คิดก็รู้ว่าเจ้าของเหนือธรรมดาปานใด
แต่ว่ากันถึงแก่น อย่างไรนี่ก็เป็นหินลับกระบี่ชิ้นหนึ่ง นอกจากตัววัสดุที่พิเศษและยากพบเห็นยิ่ง ก็ไม่มีจุดพิเศษอื่นใดอีก
หลินสวินครุ่นคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังเก็บของชิ้นนี้เอาไว้ ลับจิตดั่งคม สี่คำนี้ทำให้เขามีความรู้สึกร่วมอยู่ลึกๆ ราวกับได้พบเพื่อนรู้ใจบนมหามรรคผ่านช่วงเวลาหมื่นกาล
ยินดียิ่งยวด
ซีคัดเลือกสมบัติบางส่วนขึ้นมาอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่สนใจทรัพย์สมบัติที่เรียกได้ว่าละลานตานี้อีก
แม้สมบัติจะมีมากมาย แต่ก็ต้องเข้าตาด้วย
หลินสวินก็คัดสรรอย่างถี่ถ้วนเนิ่นนานเช่นกัน และเก็บเจตวัตถุ ลูกกลอนโอสถ ตำราโบราณที่เป็นประโยชน์ต่อการฝึกปราณของตนเอาไว้ส่วนหนึ่ง
จากนั้นรวบรวมสมบัติจักรพรรดิส่วนหนึ่งไว้เป็นอาหารให้กับพวกอู้เชวีย เย่จื่อ
เสี่ยวอู่ ต้าหวงต่างก็คัดเลือกสมบัติของตัวเอง ล้วนได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยเช่นกัน
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นทรัพย์สมบัติที่สำนักโบราณจรัสเทพสั่งสมมานานปี อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณทั่วไปเลย แม้แต่ระดับจักรพรรดิเห็นเข้าก็ต้องบ้าคลั่งเพราะมันเป็นแน่
สุดท้ายหลินสวินก็เก็บทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไว้ทั้งหมด ตั้งใจจะมอบให้ชิงอิง ให้นางเป็นคนนำไปให้ผู้สืบทอดของหอวิหคทองแดง
หลังจากหยุดพักในประตูภูเขาสำนักโบราณจรัสเทพอีกหนึ่งวัน หลินสวินก็ตัดสินใจให้ต้าหวงอยู่จัดการปัญหาที่นี่ต่อ ส่วนเขาและซีล่วงหน้าไปสืบสถานการณ์ที่แดนกษิติครรภ์ด้วยกันก่อน
ในสำนักโบราณจรัสเทพมีผู้สืบทอดที่ถูกกำราบอยู่มาก พวกตัวเล็กตัวน้อยเหล่านี้พวกหลินสวินคร้านจะไปสังหาร ตั้งใจจะมอบให้หอวิหคทองแดงจัดการ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องผลพวงที่ตามมามากมาย ล้วนต้องให้หอวิหคทองแดงมาช่วยจัดการ
ถึงอย่างไรเมื่อยักษ์ใหญ่อย่างสำนักโบราณจรัสเทพล่มสลาย ขุมอำนาจ สมบัติ อาณาเขตที่เหลืออยู่… แต่ละเรื่องล้วนนับไม่หวาดไม่ไหว ยิบย่อยเป็นที่สุด
หลินสวินไม่มีแก่ใจจัดการเรื่องพวกนี้อีก
ที่ให้ต้าหวงอยู่ต่อก็เพราะจะให้มันและผู้แข็งแกร่งหอวิหคทองแดงรับช่วง จัดแจงกำลังคนไปกลืนกินและย่อยสลาย ‘มรดก’ ที่สำนักโบราณจรัสเทพเหลือทิ้งไว้
…
สองวันให้หลัง
แคว้นผลาญเมฆา
ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว แคว้นผลาญเมฆาคืออาณาเขตที่ควบคุมโดยแดนกษิติครรภ์ ที่นี่เป็นเหมือนแคว้นบำเพ็ญธรรมแห่งหนึ่ง ทุกแห่งหนล้วนมีแต่นักบวชโกนผม ผู้ฝึกปราณสวมจีวรสีดำ
ทว่าหลายวันมานี้ เมื่อข่าวสำนักโบราณจรัสเทพล่มสลายแพร่ออกมา แคว้นผลาญเมฆาก็ตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่เช่นกัน ผู้ฝึกปราณที่อยู่ใต้อาณัติแดนกษิติครรภ์นับไม่ถ้วนล้วนเผ่นหนี เป็นผลให้อาณาเขตกว้างใหญ่แห่งนี้กลายสภาพเป็นหมองมัว ทุกแห่งหนล้วนวังเวงเย็นเยือก
“ดูท่าแดนกษิติครรภ์ต้องตระหนักถึงความร้ายแรง หดหัวเข้ากระดองเหมือนที่โลกภายนอกลือกันแล้วเป็นแน่”
เงาร่างของหลินสวินและซีปรากฏบนแคว้นผลาญเมฆา ตลอดทางนอกจากเห็นพวกตัวเล็กๆ หลบหนีกันแล้ว แม้แต่ผู้สืบทอดแดนกษิติครรภ์ที่พอเข้าตาก็ยังไม่เห็นสักคน
“ด้วยพลังของเจ้าและข้า หากบุกเข้าแดนกษิติครรภ์ ขอเพียงไม่เกิดอันตรายที่ไม่อาจคาดเดา การโค่นล้มขุมอำนาจนี้ก็น่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
ซีกล่าวสบายๆ
ลองนับนิ้วคำนวณดู ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่ร่วงหล่นในตอนนี้ของแดนกษิติครรภ์มีมากถึงสี่คนแล้ว ระดับจักรพรรดิคนอื่นๆ ที่ถูกสังหารก็เกิดแปดคนแล้วเช่นกัน
และจากข้อมูลที่นางและหลินสวินมีอยู่ ในแดนกษิติครรภ์ตอนนี้น่าจะเหลือระดับบรรพจารย์จักรพรรดิแค่คนเดียว
ส่วนจักรพรรดิธรรมซวีเฟิงเจ้าสำนักแดนกษิติครรภ์ ก็แค่ระดับจักรพรรดิขั้นแปดปลายยอดเหมือนกับอวี้คุนจื่อแห่งสำนักโบราณจรัสเทพ
นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก กล่าวราบเรียบ “ลองหยั่งเชิงสถานการณ์ดูก่อน แค้นนี้ก็ต้องยุติเช่นกัน”
เขาไม่มีวันลืม ว่าก่อนหน้านี้ยามอยู่ดินแดนรกร้างโบราณก็เคยถูกแดนกษิติครรภ์มองเป็น ‘มารนอกรีต’ จับจ้องเล่นงานและกดหัวบ่อยครั้ง
ความแค้นระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่อาจสลายได้แต่ต้น และถึงคราวต้องยุติลงแล้ว!
เขาศักดิ์สิทธิ์ดารา
ทางเข้าที่เชื่อมสู่แดนกษิติครรภ์ และถูกมองเป็น ‘เขาศักดิ์สิทธิ์’ ของแดนกษิติครรภ์ ในกาลเวลาที่ผ่านมา ประดุจแดนพิสุทธิ์สูงสุดที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธานับไม่ถ้วนมุ่งหน้ามาสักการะ
เวลาหนึ่งถ้วยชาให้หลัง
เงาร่างของหลินสวินและซีปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขาศักดิ์สิทธิ์ดารา เงยมองไปไกลๆ ก็เห็นเขาลูกนี้รูปร่างคล้ายดอกบัวใหญ่เบ่งบาน ค้ำยันเวิ้งฟ้า สูงตระหง่านมโหฬาร ตระการตาสุดขีด
และภายใต้การสอดส่องของจิตรับรู้ของหลินสวินและซี ก็เห็นเขาลูกนี้ทั้งบนล่างปกคลุมด้วยพลังผนึกนับไม่ถ้วน ดุจดั่งเคราะห์สังหารเป็นชั้นๆ เผยกลิ่นอายที่ชวนให้คนใจผวา
หลินสวินเลิกคิ้ว “ทางเข้าที่เชื่อมสู่แดนกษิติครรภ์ของเขาลูกนี้ถูกปิดตายจากข้างในโดยสมบูรณ์ คิดอยากแฝงตัวเข้าไปไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บรรพจารย์จักรพรรดิทั่วไป… เกรงว่ายังยากจะบุกเข้าไปได้”
กล่าวถึงตอนท้ายเขาก็ยิ้มน้อยๆ “แน่นอน การทลายกระบวนผนึกสำหรับข้าแล้ว ก็แค่ต้องเสียเวลาเล็กน้อยเท่านั้น”
ซีเหลือบตามองเขาปราดหนึ่ง “แล้วไยเจ้าต้องพูดพล่าม”
หลินสวินลูบจมูกป้อยๆ ยิ้มขื่น “อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ แค่พูดคุยเท่านั้น”
ขณะพูดเขาเดินตรงไปข้างหน้า ยืนกลางอากาศ มองสำรวจเขาศักดิ์สิทธิ์ดาราที่ถูกพลังผนึกนับไม่นับปกคลุมทั่วทั้งบนล่างลูกนี้
เนิ่นนานเขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง
ตูม!
แสงมรรคท่วมฟ้าปรากฏ กลายเป็นสัญลักษณ์ลายมรรคเป็นสายๆ ที่แปลกพิสดารและคลุมเครือ พุ่งเข้าไปในตำแหน่งต่างๆ ของเขาศักดิ์สิทธิ์ดาราอย่างฉับพลัน
ภูเขาใหญ่ทั้งลูกสั่นสะเทือนรุนแรง ประกายเทพพลิกม้วน ปรากฏระลอกคลื่นต้องห้ามนับหมื่นพัน เปลวเพลิงพุ่งทะยานเก้าฟ้าสิบแผ่นดิน อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาน่าสะพรึงไม่รู้จบ
นัยน์ตาดำของหลินสวินทอประกายวาววับ กวาดสำรวจไม่หยุด ขณะเดียวกันในมือก็ทำมุทรา ควบรวมกระบวนค่ายกลลายมรรคที่วิเศษอัศจรรย์ทุกชนิดพุ่งเข้าเขาศักดิ์สิทธิ์ดารา
ตูม โครมๆ!
ก็เห็นเขาศักดิ์สิทธิ์ดาราลูกนั้นสั่นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ภูผาธาราในละแวกหมื่นลี้สะเทือนเลื่อนลั่น
และในครรลองสายตาของซี พลังผนึกที่ปกคลุมเขาศักดิ์สิทธิ์ดาราทั้งบนล่างนั่นก็เหมือนโซ่ตรวนเป็นชั้นๆ กำลังถูกหลินสวินทลายลงทีละอัน
สำหรับเรื่องนี้ซีเองก็ไม่อาจไม่ยอมรับ หากพูดถึงความสามารถด้านการสลักลายมรรค หลินสวินในตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งเดียวทั่วหล้า ไร้ทัดเทียมได้อย่างสมบูรณ์
เวลาเคลื่อนคล้อย ผันผ่านไปทีละนิด
กระทั่งหนึ่งก้านธูปให้หลัง เมื่อสองมือของหลินสวินพลิกสะและตบลงไปอย่างแรงคราหนึ่ง
ตูม!
ทั่วทั้งเขาศักดิ์สิทธิ์ดาราดั่งถูกมือใหญ่ของเทพสวรรค์กดทับ ทันใดนั้นผนึกเป็นชั้นๆ ที่ปกคลุมบนนั้นก็แตกสลายพังครืน ละอองแสงนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็นหลั่งริน
พลุที่พร่างพราวที่สุดในโลก เกรงว่ายังไม่ตระการถึงหนึ่งในหมื่นส่วนของภาพนี้ด้วยซ้ำ
หลินสวินหรี่ตามองครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “กระบวนผนึกที่ปิดครอบเขาลูกนี้ไม่ถือว่าแข็งแกร่งเกินไปนัก จะยุ่งยากก็ตรงกระบวนผนึกที่กระจายอยู่มากเกินไป ตอนทลายลงทีละชั้นจึงจุกจิกอยู่บ้าง”
“ไปเถอะ”
เขาเดินนำทาง โฉมหน้าเดิมของเขาศักดิ์สิทธิ์ดาราเปิดเผยออกมาหมดเปลือกแล้ว ตรงบริเวณไหล่เขามีแท่นบูชาเก่าแก่แห่งหนึ่ง
บนนั้นมีพุทธรูปสีดำองค์หนึ่งตั้งอยู่ สามเศียรหกกร ใต้ฝ่าเท้ามีดอกบัวใหญ่ รูปลักษณ์กลับว่างเปล่าและไม่มีใบหน้า
ดุจดั่งพุทธรูปไร้หน้าองค์หนึ่ง
มีเพียงบริเวณหว่างคิ้วเท่านั้นที่มีดวงตาเปิดลืมข้างหนึ่ง ดวงตาไร้ม่านตา แปลกประหลาดสุดขีด ทำให้คนมองแล้วขนลุกขนพอง
หลินสวินอึ้งไป จากข้อมูลที่เขารับรู้มา รูปปั้นแกะสลักที่ตั้งบนแท่นบูชาเขาศักดิ์สิทธิ์ดาราแห่งนี้ ก็คือ ‘จอมจักรพรรดิกษิติครรภ์’ บรรพจารย์ผู้บุกเบิกแดนกษิติครรภ์
แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับขัดแย้งกับความรู้ความเข้าใจของหลินสวิน
เพราะเขารู้ดีว่าในอาณาเขตกว้างใหญ่ที่ควบคุมโดยแดนกษิติครรภ์ แต่ละเมืองล้วนมีการสร้าง ‘อารามเทพกษิติครรภ์’ ภายในนั้นประดิษฐานรูปปั้นสัตว์เทพ
ลือกันว่าสัตว์เทพนั่นก็คือโฉมหน้าเดิมของจอมจักรพรรดิกษิติครรภ์ บรรพจารย์ผู้บุกเบิกแดนกษิติครรภ์
ช่วงที่เพิ่งเข้าสู่โลกมืด หลินสวินก็เคยเข้าไปในอารามเทพกษิติครรภ์แห่งหนึ่ง และเคยเห็นลักษณะของจอมจักรพรรดิกษิติครรภ์
นั่นเป็นซุ้มธรรมสูงใหญ่ร้อยจั้งเต็มแห่งหนึ่ง
สองฝั่งของซุ้มธรรมมีรูปปั้นสัตว์มากมาย อาทิ สิงห์พยัคฆ์ ช้างยักษ์ กิเลน เซี่ยจื้อ นกโลหิตนั่งขนาบข้าง รวมกันแล้วมีมากถึงสามพันชิ้น
รูปปั้นแต่ละชิ้นล้วนสมจริงราวกับมีชีวิต แผ่อานุภาพและท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์แตกต่างกัน เสมือนพร้อมจะตื่นจากภวังค์หลับใหลได้ตลอดเวลา
ในซุ้มธรรมประดิษฐานเทวรูปองค์หนึ่ง เป็นรูปสัตว์ร้ายเช่นกัน ทว่าลักษณะกลับแปลกประหลาดหาใดเปรียบ
หัวของมันคล้ายสิงห์พยัคฆ์ ปากเหมือนจระเข้ใหญ่ ตาคล้ายงูเหลือม หูเหมือนวัวม้า เกล็ดเหมือนงูปลา เท้าเหมือนนกหลวน เขาคล้ายวัวกวาง หนวดเคราดั่งมังกร หลังหางเหมือนสุนัข
เรียกว่า ‘เก้าไม่เหมือน’ ได้ชัดๆ!
มันตั้งอยู่ในซุ้มธรรม หลับตาสนิท ลำตัวดั่งภูเขาตระหง่าน ทั่วร่างปกคลุมอยู่ภายใต้ความมืดมิดที่คลุมเครือดั่งพยับหมอก ประหนึ่งเทพจากความมืด แผ่อานุภาพเหยียดหยันทั่วหล้าออกมา
ช่างแปลกพิลึกและทำให้คนใจสะท้าน ไม่ว่าใครเห็นสภาวะจิตล้วนต้องถูกซัดสะเทือน!
แม้แต่หลินสวิน ตอนแรกที่เห็นรูปปั้นสัตว์เทพนี้ในใจก็หนาวสะท้านแปลกๆ เช่นกัน ไม่คิดสักนิดว่านี่จะเป็นลักษณะของบรรพจารย์ผู้บุกเบิกแดนกษิติครรภ์!
และตอนนี้รูปปั้นเทพที่ตั้งบนแท่นบูชาบนเขาศักดิ์สิทธิ์ดารานี่ก็มีลักษณะสามเศียรหกกร ตาเดียวกลางหน้าผาก ไร้หน้า แปลกประหลาดและสยดสยองหาใดเปรียบเช่นกัน
รูปปั้นเทพเก้าไม่เหมือนองค์หนึ่ง พุทธรูปไร้หน้าองค์หนึ่ง อย่างไหนกันแน่จึงจะเป็นโฉมหน้าเดิมของจอมจักรพรรดิกษิติครรภ์
หลินสวินจมสู่ภวังค์ความคิดไปชั่วขณะ รู้สึกอยู่รางๆ ว่าเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ แต่กลับบอกไม่ถูกว่าผิดปกติตรงไหน
“เป็นอะไรไรไปหรือ” ซีเอ่ยถามอยู่ด้านข้าง
“จู่ๆ ข้าก็นึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมา”
ขณะพูดหลินสวินก็บอกสิ่งที่พบเห็นตอนเข้าอารามเทพกษิติครรภ์ในปีนั้นให้ซีฟัง
ฟังจบซีครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “คนระดับจอมจักรพรรดิกษิติครรภ์ แปลงร่างพันหมื่น ลักษณะมากมายนับไม่ถ้วนก็เป็นเรื่องปกติมาก”
“เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ ว่าในอารามเทพกษิติครรภ์ซึ่งอยู่ภายใต้อาณาเขตที่แดนกษิติครรภ์ครอบครอง มีรูปปั้นสัตว์เทพเก้าไม่เหมือนตั้งอยู่เพื่อจุดประสงค์อะไร”
นัยน์ตาดำหลินสวินลุ่มลึก เอ่ยเสียงเบา
………………………