แสงธรรมสีดำเหมือนม่านแห่งราตรีนิรันดร์ปกคลุมท้องฟ้า

บนยอดเขา พวกจักรพรรดิธรรมซวีเฟิงยืนสูงอย่างเคร่งขรึมและสงบนิ่ง ปราศจากความตื่นตระหนก แตกตื่น หรือแม้แต่อารมณ์แปรปรวน

ไกลออกไปหลินสวินและซีหยุดเท้าลง ยามมองเห็นภาพนี้ต่างสบตากัน ในใจครัดเคร่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

บรรยากาศแบบนี้ทำให้คนรู้สึกแปลกมาก ราวกับกำลังรอความตาย

“แค่พวกเจ้าหรือ ถ้าข้าคนแซ่หลินจำไม่ผิด น่าจะมีพวกระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่ยังไม่ตายกระมัง”

หลินสวินเปิดปาก น้ำเสียงเฉยเมยกึกก้องทั่วฟ้า

เสื้อคลุมของเขาพลิ้วไหว ผมยาวแผ่สยาย เผยแววอหังการอย่างหนึ่ง

“พวกนี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว”

จักรพรรดิธรรมซวีเฟิงมองไปยังหลินสวิน “หลินเต้ายวน เจ้าไม่สงสัยเลยหรือว่าเหตุใดตั้งแต่สมัยก่อนเจ้าก็ถูกแดนกษิติครรภ์ของข้ามองเป็นคนนอกรีต”

ดวงตาหลินสวินวาบประกาย “เพราะ ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’ ที่อริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬสร้างขึ้นกระมัง”

จักรพรรดิธรรมซวีเฟิงส่ายหัว “อาจารย์อาตู้จี้มากสามารถอย่างน่าประหลาด ทุ่มเทพยายามหมดใจ ในที่สุดก็สร้างคัมภีร์มรรคที่ไม่เคยมีมาก่อนได้สำเร็จ แม้ว่าเขาจะทรยศแดนกษิติครรภ์ แต่ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าที่ถูกมองว่าเป็นคนนอกรีต”

“เช่นนั้นเพราะเหตุใด” หลินสวินเลิกคิ้ว

จักรพรรดิธรรมซวีเฟิงยิ้ม แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้ม แต่กลับเจือความเฉยเมยอย่างหนึ่ง “เพราะเจ้าคือหายนะที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใดในมรรคา ล้วนชักนำให้เกิดหายนะท่วมฟ้า”

“ถ้าไม่กำจัดเจ้า ในอนาคตทางเดินโบราณฟ้าดารานี้จะต้องถูกเจ้านำพาความพินาศที่ยากจะคาดถึงมาให้แน่นอน”

หลินสวินหยุดขำ “เจ้าตัดสินจากอะไร”

ในดวงตาของจักรพรรดิธรรมซวีเฟิงวาบแววประหลาด “ไม่ว่าจะเป็นศึกมรรคสิบทิศในสมัยดึกดำบรรพ์ หรือศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิในสมัยบรรพกาลล้วนแยกจากเจ้าไม่ได้ ยังมีพลังระเบียบต้องห้ามที่ปกคลุมฟ้าดาราทั่วนั่น เหตุใดถึงปรากฏขึ้น เจ้า… คงไม่ใช่ไม่รู้กระมัง”

หลินสวินขมวดคิ้ว เอ่ยเยาะหยัน “ข้าคนแซ่หลินจนถึงตอนนี้อายุไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น เรื่องในสมัยบรรกาล ดึกดำบรรพ์ เจ้าดันเอาทั้งหมดผูกไว้บนหัวข้า ไม่รู้สึกว่าน่าอายบ้างหรือ”

จักรพรรดิธรรมซวีเฟิงด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “คนที่ปลุกพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินได้ ไม่ได้มีเจ้าคนเดียว แต่กลับมีเจ้าคนเดียวที่รับช่วงต่อห้องโถงมรรคาสวรรค์ที่เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์เหลือทิ้งไว้ นี่ก็คือรากเหง้าของภัยพิบัติ”

“แม่ของเจ้าลั่วชิงสวิน ลุงของเจ้าลั่วชิงเหอ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นทายาทของเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ และล้วนปลุกพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินสำเร็จ แต่พวกเขาไม่ได้รับการยอมรับจากห้องโถงมรรคาสวรรค์”

“ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เจ้าคิดว่าตระกูลลั่วซึ่งเป็นถึงเผ่าอมตะ จะสิ้นเปลืองเวลามาเนิ่นนานเพื่อปิดผนึกทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้หรือ”

จักรพรรดิธรรมซวีเฟิงกล่าวเช่นนี้ และจับจ้องไปที่หลินสวิน “ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่ เป็นเพราะการมีอยู่ของเจ้า ถึงทำให้ทั่วหล้าฟ้าดาราเกิดเภทภัยต่างๆ นานา!”

แววตาหลินสวินราบเรียบ สภาวะจิตไร้คลื่นลม กล่าวว่า “คนต่างพูดกันว่าพวกผู้บำเพ็ญธรรมล้วนมีฝีปากดี โต้เถียงไร้คนเทียบ วันนี้ข้าคนแซ่หลินนับว่าได้ประสบแล้ว”

มีใจอยากเพิ่มโทษ ไม่ว่าความผิดใดล้วนลากเข้ามาได้

จักรพรรดิธรรมซวีเฟิงถึงกับยกเอาเภทภัยสารพัดตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์มาโยนใส่หัวเขา นี่มันไร้ซึ่งเหตุผล ใส่น้ายป้ายสีชัดๆ

“ข้าเพียงแค่อธิบายข้อเท็จจริงเท่านั้น”

จักรพรรดิธรรมซวีเฟิงยังคงสงบมากดังเดิม “ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสเก้าของตระกูลลั่วที่ถูกขนามนามว่าจอมจักรพรรดิไร้นาม หรือผู้อาวุโสหกของตระกูลลั่วที่ถูกเรียกว่าจักรพรรดิสวรรค์ดำรง พวกเขาล้วนมาที่นี่เพื่อจับภัยพิบัติเช่นเจ้า”

หลินสวินรู้สึกเพียงว่าลาหัวโล้นเฒ่าผู้นี้มีความสามารถนัก ไม่ว่าเหตุผลมั่วซั่วอะไรล้วนสามารถลากมาใส่หัวตนได้ทั้งหมด

“ทำไมเจ้าไม่พูด ว่าตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งต่างหากที่เป็นผู้ชักนำภัยพิบัติรุนแรงที่สุดมากมายมาให้ทั่วหล้าฟ้าดารา” หลินสวินกล่าวอย่างเย็นชา

ในใจเขามไอสังหารพวยพุ่ง เหตุผลที่แดนกษิติครรภ์มองว่าตนเป็นพวกนอกรีตช่างไร้สาระและประหลาดถึงเพียงนี้ ใครที่ได้รู้ล้วนต้องโกรธทั้งนั้น

จักรพรรดิธรรมซวีเฟิงเอ่ยด้วยท่าทางสมเหตุสมผล “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า คนจากตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งก็ไม่ต้องมายังฟ้าดารานี้”

“ได้ ข้านับว่าเข้าใจแล้ว หลายปีมานี้พวกเจ้าคงคุ้นเคยกับการเป็นสุนัขของตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งมาตลอด ทมุกคำพูดล้วนต้องเลียแข้งขาเจ้านาย นี่ก็เข้าใจได้”

หลินสวินคร้านจะฟังอีกต่อไป

ซีซึ่งอยู่ด้านข้างกล่าวเสียงใสเย็น “เจ้าเฒ่าพวกนี้กำลังถ่วงเวลา รีบรบรีบจบ ฆ่าพวกเขาก่อนค่อยไปหาบรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยจิ้น”

บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยจิ้นก็คือระดับบรรพจารย์จักรพรรดิเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในแดนกษิติครรภ์ แต่เขาไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ข้างกายจักรพรรดิธรรมซวีเฟิงในยามนี้

นี่ก็ผิดปกติมาก

“ได้”

หลินสวินพยักหน้า

“มารนอกรีต หรือเจ้าจะ…” จักรพรรดิธรรมซวีเฟิงเอ่ยปากยังหมายพูดอะไรบางอย่าง

ฟุบ!

ก็เห็นว่าซีลงมือแล้ว ในฝ่ามือพลันมีประกายแสงระเบียบกลุ่มหนึ่งอุบัติขึ้น แปลงเป็นทวนศึกเล่มหนึ่งแล้วชูมือขึ้นโบก

ประกายคมไร้ใดเทีบสายหนึ่งแหวกอากาศ เข้าฟันโจมตี

“ลงมือ!”

นัยน์ตาของจักรพรรดิธรรมซวีเฟิงหดรัด เรียกประคำสีดำเส้นหนึ่งออกมา เสียงวู้มดังขึ้น ชัดนำพลังระเบียบต้องห้ามทั่วฟ้าเข้ามา

เห็นได้ชัดว่าประคำสีดำนี้เหมือนกับ ‘บรรทัดหยกนำมรรค’ ที่อยู่ในมือของบรรพจารย์จักรพรรดิอวี่ฉงแห่งสำนักโบราณจรัสเทพ สามารถยืมพลังของระเบียบต้องห้ามที่ปกคลุมทั่วหล้าฟ้าดารานั้นมาใช้ได้

น่าเสียดาย ตอนนั้นบรรพจารย์จักรพรรดิอวี่ฉงที่ยืมใช้พลังนี้ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดิธรรมซวีเฟิงซึ่งมีพลังเพียงระดับจักรพรรดิขั้นแปดปลายยอดเท่านั้น

ทันใดนั้นเสียงระเบิดดังขึ้นกลางฟ้าดิน ท่ามกลางการปะทะของแสงระเบียบ ร่างของจักรพรรดิธรรมซวีเฟิงก็กระแทกออกไปอย่างแรง เลือดออกเจ็ดทวาร

ภูเขาเทพที่ตั้งตระหง่านมั่นคงลูกนั้นยังผ่าขาดท่อน พังทลายโดยพลัน นี่ยังเป็นเพราะมีพลังผนึกปกป้อง ไม่เช่นนั้นภูเขาลูกนี้คงราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว!

“ขวางพวกเขาไว้!”

ทันทีที่ยืนมั่น จักรพรรดิธรรมซวีเฟิงหมุนตัวเคลื่อนย้าย พุ่งห่างออกไปทันที

“มีแผนการไว้ดังคาด ข้าจะฆ่าเจ้านี่ พวกที่เหลือเจ้ามาจัดการ” เนตรดาราของซีเย็นชา นางกระชับทวนศึกพุ่งออกไป

ตูม!

พวกระดับจักรพรรดิที่พุ่งออกมาเหล่านั้นล้วนเหมือนไม่กลัวความตาย พุ่งโจมตีขวางซีอย่างบ้าคลั่ง บ้างเรียกศาสตราจักรพรรดิ บางโคจรยอดวิชา

พวกเขามีทั้งหมดสิบหกคน พลังปราณมีตั้งแต่ระดับจักรพรรดิขั้นสามไปจนถึงระดับจักรพรรดิขั้นแปด เมื่อโจมตีพร้อมกันอานุภาพจึงน่ากลัวยิ่งยวด

แต่ล้วนถูกกำหนดให้เปลืองแรงเปล่า ทันทีที่ซีขยับทวนศึก

พรูดๆๆ!

ระดับจักรพรรดิสามคนที่ขวางอยู่ข้างหน้าก็ประหนึ่งกระดาษเปื่อย ถูกฟันตายคาที่ ร่างกายและจิตวิญญาณล้วนระเบิดกลายเป็ฯเถ้าธุลี

หนึ่งการโจมตีกำจัดศัตรู และจากไปอย่างเสรี

แต่สิ่งนี้กลับไม่ได้ส่งผลต่อคนอื่นๆ ของแดนกษิติครรภ์ พวกเขาเหมือนกับไม่กลัวความเป็นตายจริงๆ ยังคงไล่โจมตี

ทว่าหลินสวินจะปล่อยให้พวกเขาสมปรารถนาได้อย่างไร

วู้ม!

เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งส่งเสียงก้องกังวาน แสงมรรคมากมายไหลหลั่งทะยานออกมา บดขยี้ห้วงอากาศให้พังทลาย อานุภาพไร้ขอบเขต

พริบตาก็บดขยี้ระดับจักรพรรดิคนหนึ่งกลายเป็นกองเลือด สิ้นชีพกลางห้วงอากาศ

“ฆ่า!”

หลินสวินเสื้อผ้าสะบัดโบก อานุภาพอหังการ กระบี่มรรคไร้ก้นบึ้งโฉบออกมาดังชิ้ง ลากรุ้งยาวสายหนึ่งกลางห้วงอากาศแล้วฟันสังหารลงไป

ตัวคนเดียว กำราบเหล่าจักรพรรดิ!

ระดับจักรพรรดิแห่งแดนกษิติครรภ์เหล่านั้นกลับไม่มีความกลัวใดๆ ราวกับว่าพวกเขาไม่มีคลื่นอารมณ์ ต่างกระตุ้นสมบัติล้อมหลินสวินไว้ประหนึ่งไม่กลัวความตาย

ตูม!

พื้นที่แถบนี้ปั่นป่วนโกลาหล ภูผาธาราพังทลาย สรรพสิ่งพังพินาศ

หลินสวินตัวคนเดียวอาละวาดทั่วสนามรบ อานุภาพดุจหุบเหวใหญ่พาดขวาง ทุกครั้งที่เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทะยานออกไป ต้องบดขยี้การโจมตีดุจคลื่นคลั่งโหมซัดเหล่านั้นกระจุย แข็งแกร่งไร้ช่องโหว่ ป้องกันแข็งขันไม่อาจทะลวง หมื่นวิชาไม่อาจรุกล้ำ

และด้วยการโจมตีของกระบี่มรรคไร้ก้นบึ้ง กลับมีระดับจักรพรรดิไม่น้อยร่วงหล่น ฝนเลือดแดงสดไหลหลั่งเหมือนกระแสน้ำที่พวยพุ่ง กลบฟ้าดินที่พังทลายแห่งนี้จนมิด

ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม

ระดับจักรพรรดิทั้งหมดในสนามรบไม่มีใครไม่ถูกฆ่าตายคาที่!

ภาพนี้หากถูกคนอื่นเห็นเข้า ต้องหวาดหวั่นสะท้านกลัวแน่ ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นระดับจักรพรรดิทั้งหมด

แต่ตอนนี้กลับถูกหลินสวินคนเดียวสังหาร!

กับเรื่องนี้หลินสวินคุ้นเคยมานานแล้ว หลายปีที่ผ่านมา ระดับจักรพรรดิที่สิ้นชีพในมือเขามีไม่รู้กี่มากน้อยแล้ว!

เขาตัวสะอาดไร้คราบ ไม่ได้รับบาดเจ็บใด เงาร่างแปลงเป็นแสงไหวเคลื่อนสายหนึ่งทะยานห้วงอากาศจากไป โดยไม่เหลือบแลสภาพนองเลือดทั่วพื้นที่นั้นสักนิด

การถอนตัวกะทันหันของจักรพรรดิธรรมซวีเฟิงไม่เพียงทำให้ซีรู้สึกผิดปกติ แต่ยังทำให้ในใจหลินสวินเคร่งเครียด เขาจึงไม่กล้าล่าช้า

ไม่นานซุ้มธรรมสีดำหลังหนึ่งปรากฏขึ้นในจิตรับรู้ของหลินสวิน

ซุ้มธรรมสีดำนี้สูงใหญ่หาใดเปรียบ มีความสูงหมื่นจั้งเต็ม ตระหง่านเข้าไปอยู่ในส่วนลึกชั้นเมฆ สีดำตลอดซุ้ม ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นจากวัสดุเทพใด

รอบๆ ซุ้มธรรมมีแรงปรารถนาสรรพชีวิตไหลหลั่งซัดสาด ประหนึ่งคลื่นมหาสมุทรไหลเข้าสู่ภายในซุ้มธรรม

สิ่งที่ซุ้มธรรมตั้งบูชาคือรูปปั้นเทพองค์หนึ่ง สูงพันจั้ง นั่งขัดสมาธิบนแท่นดอกบัว มีสามเศียรหกกร ไม่มีเครื่องหน้า มีเพียงดวงตาที่ปิดอยู่ดวงหนึ่งกลางหน้าผาก

ตัวรูปปั้นเทพนี้ปกคลุมด้วยความมืดที่ดุจดั่งพยับหมอก เหมือนดั่งเทพแห่งความมืด แผ่อานุภาพประหนึ่งเหยียดหยันทั่วหล้า

แรงปรารถนาสรรพชีวิตที่ไหลเข้าไปไม่หยุดดุจคลื่นสมุทรนั้น ก็ถูกดูดกลืนโดยรูปปั้นไร้หน้านั่น!

ภาพนี้ดูแปลกอย่างที่สุด

แต่หลินสวินเพียงแค่เหลือบมองก็ผละสายตาออก ในใจเคร่งเครียด

ไม่ไกลจากซุ้มธรรมสีดำนี้ ซีกำลังต่อสู้กับสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่ดุร้ายยิ่งตัวหนึ่ง สถานการณ์การต่อสู้รุนแรงไร้ใดเปรียบ ปั่นป่วนฟ้าดินแถบนั้น

หากมองให้ดี หัวของสัตว์ร้ายเหมือนสิงห์พยัคฆ์ ปากเหมือนจระเข้ ตาเหมือนงู หูเหมือนวัวม้า เกล็ดเหมือนปลาและงู เท้าเหมือนนกหลวน เขาเหมือนวัวกวาง หนวดเหมือนมังกร หางและหลังเหมือนสุนัข

มันคือ ‘เก้าไม่เหมือน’ ที่หลินสวินเคยเห็นในอารามเทพกษิติครรภ์ก่อนหน้านี้!

เพียงแต่นี่ไม่ใช่รูปปั้น แต่เป็นเก้าไม่เหมือนที่มีชีวิตจริงๆ ตัวหนึ่ง!

ร่างของมันใหญ่โตยิ่ง เสียงที่คำรามออกมาดุจเสียงอสนีมหามรรค กึกก้องเก้าฟ้า ทั่วร่างมีแสงธรรมสีดำแผ่ออกดุจระเบียบ โจมตีรุนแรง ราวกับจะทำให้พลิกห้วงฟ้า เหยียบย่ำใต้ฝ่าเท้า

อานุภาพเช่นนั้นทำเอาหลินสวินอดแปลกใจไม่ได้ พลังต่อสู้ของซี สังหารบรรพจารย์จักรพรรดิก็ไม่มีปัญหา อีกทั้งยามนี้ครอบครองพลังระเบียบ พลังต่อสู้ย่อมต่างจากอดีตไปนานแล้ว

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ สัตว์ร้ายเก้าไม่เหมือนนั่นกลับสกัดการโจมตีทั้งหมดของซีได้!

“หลินเต้ายวน เจ้ามาช้าแล้ว”

ทันใดนั้นเสียงของจักรพรรดิธรรมซวีเฟิงดังขึ้น ก็เห็นเขายืนอยู่หน้าซุ้มธรรมสีดำที่สูงใหญ่ตระหง่านง้ำนั่น แววตาเฉยชา

“เห็นหรือไม่ นั่นก็คือเจ้าเคยเห็นมันไหม นั่นก็คือ ‘ฉางเจ๋อ’ สัตว์เทพที่ควบรวมจากแรงปรารถนาสรรพชีวิต!”

“บรรพจารย์จักรพรรดิเนี่ยจิ้น ผู้อาวุโสชั้นสูงของแดนกษิติครรภ์ของข้าได้ใช้ชีวิตเป็นเครื่องสังเวยถึงปลุกฉางเจ๋อขึ้นมาได้ แต่ขอเพียงวันนี้สามารถกำจัดมารนอกรีตอย่างพวกเจ้าสองคนได้ ทั้งหมดที่เสียไป… ก็คุ้มค่า!”

………………………….