จอกแหนจะลอยไปตามคลื่นกรรโชก และถึงกับถูกกลบมิดได้

แต่หลินสวินไม่ใช่จอกแหน

เขามุ่งตรงไปข้างหน้า คลื่นคนถาโถมรอบทิศ พลังแห่งสรรพชีวิตเหมือนคลื่นพิโรธจู่โจมบ้าคลั่ง แต่กระทั่งเสื้อผ้าของเขายังไม่มีแตะต้องได้

นี่อย่างไรก็เป็นโลกมายาที่สร้างจากพลังแห่งสรรพชีวิตอยู่ดี

แต่จอมจักรพรรดิกษิติครรภ์ที่ควบคุมโลกนี้ซึ่งอยู่ไกลออกไปก็ยังไม่ได้สร้างกายทองกุศลอย่างแท้จริงอยู่ดี ย่อมไม่อาจฟื้นคืนชีพจากดับสูญ

หาไม่แล้วจะต้องใช้โลกมายาเช่นนี้มาต่อกรหลินสวินด้วยหรือ

ก็แค่พวกตัวตลกเท่านั้น

ในโลกหล้านี้จอมจักรพรรดิกษิติครรภ์ผู้สูงตระหง่านเหมือนรับรู้ได้แล้วว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล เขาส่งเสียงถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง ยื่นแขนออกไปตบใส่หลินสวิน

ตูม!

แขนนั้นก็เหมือนกับเสาค้ำฟ้าที่ตัดผ่านห้วงอากาศ มือใหญ่ข้างหนึ่งตบมา สุริยันจันทราดาราดูเล็กจ้อยหาใดเทียบ

มองจากไกลๆ ประหนึ่งหัตถ์สวรรค์มาเยือนโลก

หลินสวินไม่ได้หยุดก้าวเดิน แสงดาบขาวโพลนสายหนึ่งควบรวมกลางอากาศ ก่อนจะขยายยาวไปหมื่นจั้ง ฟาดฟันเย้ยฟ้าอย่างรวดเร็ว

จิตข้าดุจดาบ ฟาดฟันได้ทั้งสุริยันจันทราเทพผี!

เพียงพริบตาเดียวมือใหญ่นั้นก็ถูกแสงดาบฟันร่วง แปรสภาพเป็นละอองแสงมายาสลายไปสิ้น

“เจ้าสังหารข้า สรรพชีวิตมากมายเหล่านี้จะต้องตายเพราะเจ้า!” เสียงยิ่งใหญ่นั้นตะคอกลั่น ทั่วหล้าสั่นสะท้าน ดังสนั่นจนหูแทบหนวก

แต่กลับเห็นว่าหลินสวินเงยหน้า แววเย้ยหยันบนใบหน้ายิ่งชัดเจน “ปลอมแสร้งเป็นจริง จริงย่อมเป็นปลอม ยังไม่ได้ฟื้นคืนชีพ เจ้าเอาอะไรมาสู้กับข้าคนแซ่หลิน”

วิ้ง!

เมื่อความคิดขับขยับไหว เงาร่างเขาก็พุ่งทะลุเมฆา

นี่เป็นโลกมายาที่สร้างขึ้นจากแรงปรารถนาสรรพชีวิต ย่อมต้องใช้แรงปรารถนามหามรรคของตนเข้าต่อต้าน

และแรงปรารถนามหามรรคที่หลินสวินมี ในปีนั้นถึงกับกระตุ้นมหาพิบัติเคราะห์น่ากลัวอันลึกลับหาใดเทียบ!

ก็พบว่า…

ในโลกมืดมิดแห่งนี้ส่องแสงเจิดจ้าอย่างรวดเร็ว เงาร่างหลินสวินก็เปลี่ยนแปลงอย่างน่าเหลือเชื่อท่ามกลางแสงสว่างนี้

ยามมรรคข้าแจ้งประจักษ์

นิจนิรันดร์คือมงกุฎ สวมเหนือเศียรข้า

อมตะคือภูษา ปกคลุมกายข้า

ศุภโชคคือบาทุกา สวมรองบาทข้า

ใจข้าคือใจฟ้า

มรรคข้าคือมหามรรค

……

ปณิธานอันยิ่งใหญ่ราวกับหลอมเข้าไปในประทับของชีวิต บัดนี้แปลงเป็นพลังประหนึ่งจับต้องได้ ปรากฏขึ้นบนตัวหลินสวิน

ฟ้าดินส่องสว่างไปทั่ว ความมืดราวกับถูกขับไล่กระเจิดกระเจิง ส่วนเงาร่างของหลินสวินก็แปลงเป็นแสงสะดุดตาสายหนึ่ง

ยืนตระหง่านโลกหล้า เงาร่างสูงใหญ่ สุริยันจันทราดารารายรอบ หมื่นมรรคโปรยปราย แสงเทพอมตะมากมายโอบล้อม!

สรรพชีวิตทั่วหล้าต่างสั่นสะท้านเพราะสิ่งนี้ หยุดทำสิ่งที่ทำอยู่

และในที่ไกลลิบจอมจักรพรรดิกษิติครรภ์ผู้สั่งการทั่วหล้าอย่างเกรียงไกรเหมือนเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ ร้องเสียงหลงดังลั่นว่า “นี่เป็นแรงปรารถนาเช่นไรกัน เหตุใด… เหตุใดถึง…”

กลับพบว่าหลินสวินไม่สนใจเขาสักนิด อหังการเหนือสรรพชีวิต เอ่ยว่า “สิ่งมีชีวิตรุ่นข้า เบื้องบนไม่คุกเข่าให้ฟ้า เบื้องล่างไม่ยอมจำนนต่อดิน ไม่หวั่นกลัวมารปีศาจ ไม่ครั่นคร้ามพระเทพ หัวขาดไปก็แค่ตาย แต่หากเข่าแตกสลายชีวิตนี้ก็ลุกขึ้นมาไม่ได้แล้ว”

แต่ละคำดั่งเสียงสัทครรลองมหามรรคดังก้องทั่วหล้า ทำให้สรรพชีวิตเหล่านั้นต่างตัวสั่นงันงก โดยเฉพาะผู้ฝึกปราณเหล่านั้น สายตาปรากฏแววดิ้นรน

จอมจักรพรรดิกษิติครรภ์เห็นท่าไม่ดี ตวาดลั่นว่า “ข้าปกป้องพวกเจ้ามาถึงตอนนี้ เจตจำนงข้าก็คือเจตจำนงฟ้า ถ้ากล้าขบถจะถูกใต้หล้าทอดทิ้ง จ่อมจมชั่วนิรันดร์!”

เสียงสะเทือนทั่วหล้าทำให้สรรพชีวิตมากมายนั้นตัวสั่นระริก

หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบว่า “ในหมู่พวกเขาส่วนมากเป็นพึ่งพากษิติครรภ์ แต่ใจไม่ได้ยินยอม ขอเพียงพวกเขาเกิดการต่อต้าน แรงปรารถนาสรรพชีวิตนี้… ต่อให้ไม่จู่โจมก็สลายไปเอง และเจ้าจอมจักรพรรดิกษิติครรภ์ยังจะเอาอะไรมาควบคุมสรรพชีวิต จะมาพูดถึงเรื่องฟื้นคืนชีวิตจากการดับสูญอะไรได้”

ขณะที่พูดหลินสวินยืดตัวขึ้น ชั่วขณะที่เงื้อมือแสงมหามรรคพุ่งทะลวงทั่วหล้า ปกคลุมลงบนร่างของสรรพชีวิตเหล่านั้น

“มีข้าหลินเต้ายวนอยู่ ให้โอกาสพวกเจ้าได้ตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง ถ้าไม่ได้สมัครใจพึ่งพิงแดนกษิติครรภ์ ก็เข้าขวดนี้มาตอนนี้เลย!”

แรงปรารถนามหามรรคส่งเสียงอึงอล รวมตัวเป็นรูปขวดไร้ขอบเขตลอยอยู่กลางฟ้าดิน

“ใครกล้า!”

จอมจักรพรรดิกษิติครรภ์บันดาลโทสะโดยสมบูรณ์

แต่สรรพชีวิตทั้งมวลนั้นกลับมีเงาร่างผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนเคลื่อนตัวออกมา พุ่งเข้าไปในขวดไร้ขอบเขตนั้นอย่างไม่ลังเล

มีคนนำหน้า คนอื่นจึงตามไปอย่างต่อเนื่อง ชั่วขณะเดียวก็พบว่าสรรพชีวิตมากมายกรูกันเข้าไปในขวดไร้ขอบเขตเหมือนสายธารมหานที

“ข้าจะฆ่าพวกเจ้า!”

จอมจักรพรรดิกษิติครรภ์คำราม สามเศียรหกกรโบกไหว บ้างทำมุทรา บ้างปล่อยหมัด บ้างตบตี เข้าโจมตีสรรพชีวิตทั้งหมดนั้นอย่างรุนแรง “หลินเต้ายวน นี่เป็นเจ้าบีบข้าทั้งนั้น พวกมันล้วนตายเพราะเจ้า!”

ก็เห็นว่าหลินสวินยื่นมือขึ้นโบก

ตูม!

แสงมรรคไร้สิ้นสุดผุดขึ้น แปลงเป็นรูปเตากระบี่ จากนั้นฟันแขนทั้งหกของจอมจักรพรรดิกษิติครรภ์ขาดสะบั้น

ที่ตามมาติดๆ คือเงาร่างของจอมจักรพรรดิกษิติครรภ์มีท่าทีเหมือนจะแตกสลาย ราวกับดินถล่มลงมาเป็นเสี่ยงๆ

หลินสวินมองดูเงียบๆ

เป็นอย่างที่ซีว่าไว้ แรงปรารถนาสรรพชีวิตก็คือทางสายมารทางหนึ่ง ไม่ว่าสำเร็จหรือล้มเหลวล้วนถูกพลังนี้พันธนาการไว้

เมื่อแรงปรารถนาสรรพชีวิตที่ถูกจอมจักรพรรดิกษิติครรภ์นั้นควบคุมหายไปอย่างไม่ขาดสาย ผุดเข้าไปในขวดไร้ขอบเขต จอมจักรพรรดิกษิติครรภ์ก็ต้องตายลงโดยสมบูรณ์เพราะเหตุนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการฟื้นคืนชีวิตจากการดับสลาย

“หลิน! เต้า! ยวน!”

เงาร่างสูงใหญ่ค้ำฟ้าของจอมจักรพรรดิกษิติครรภ์สลายกลายเป็นหมอกเมฆในที่สุด ระหว่างที่หายไปเรื่อยๆ ได้แต่ส่งเสียงคำรามลั่น เผยให้เห็นความชิงชังและไม่ยินยอมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

เปรียบดั่งคำสาปแช่งจาหมื่นกาล แต่ละคำต่างเผยให้เห็นความแค้นคับฟ้า

ตั้งแต่เริ่มจนจบหลินสวินจิตใจไม่หวั่นไหว

ตูม!

โลกมืดตรงหน้านี้ก็พังพินาศย่อยยับลง

เมื่อภาพเบื้องหน้าสายตาของหลินสวินเปลี่ยนไป จิตวิญญาณกับการรับรู้กลับสู่ร่าง ในครรลองสายตายังเป็นแดนกษิติครรภ์เหมือนเคย

แต่บัดนี้ซุ้มธรรมสีดำสูงเทียมเมฆนั้นแตกพังถล่มลง รูปปั้นพุทธรูปไร้หน้าที่ถูกบูชาอยู่ในซุ้มธรรมสีดำก็มีรอยแตกเหมือนใยแมงมุม ก่อนจะค่อยๆ ถล่มลงพื้นพร้อมกับเสียงดังสนั่นเป็นระลอก

ฝุ่นควันตลบอบอวล แรงปรารถาสรรพชีวิตดั่งกระแสธารถาโถมกลางฟ้าดิน ยิ่งใหญ่เกินไป นั่นคือศรัทธาของสรรพชีวิตมากมายที่ถูกแดนกษิติครรภ์รวบรวมมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุด

เพียงแต่หลังจากที่รูปปั้นเทพของจอมจักรพรรดิกษิติครรภ์พังทลายไป แรงปรารถนาสรรพชีวิตอันยิ่งใหญ่หาใดเทียบนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีเจ้าของ

ฮูม!

หลินสวินเรียกเตากระบี่ออกมา ทันใดนั้นแรงปรารถนาสรรพชีวิตเต็มฟ้าก็ผุดเข้าไปในนั้นเหมือนกระแสธาร

“รอข้าคนแซ่หลินทำลายแดนกษิติครรภ์แห่งนี้แล้ว จะปล่อยพวกเจ้าให้หลุดพ้น…” หลินสวินแววตากระจ่างใส

สำหรับผู้ฝึกปราณใต้หล้าคนใดก็ตาม พลังแห่งสรรพชีวิตเช่นนี้ย่อมเป็นสมบัติที่เฝ้าฝัน ทำให้ระดับจักรพรรดิหมายปองได้

แต่ตั้งแต่หลินสวินฝึกปราณมาจนตอนนี้ ก็ไม่คิดจะอาศัยพลังแห่งสรรพชีวิตอยู่แล้ว ย่อมไม่สนใจมากมายนัก

พอหลินสวินเก็บเตากระบี่ จู่ๆ เสียงดังลั่นน่าหวาดหวั่นหาใดเทียบระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น

เขาหันตัวอย่างรวดเร็ว

ก็พบว่าห่างไปไกลลิบ สัตว์ร้ายเก้าไม่เหมือนถูกซีใช้ทวนศึกทะลวงร่างอันใหญ่โตนั้นให้ระเบิดออกดังลั่น

ส่วนร่างของซีก็ถูกซัดกระเด็นถอยหลังออกมา เงาร่างโซเซ ไหวโคลงอย่างแรงอยู่กลางอากาศ ถึงกับมีเค้าว่าจะล้มลง

หลินสวินใจหดรัด พุ่งทะยานไปหาในทันที ยื่นมือมาคว้าเอวเพรียวบางนั้นของซีแล้วกอดไว้ในอ้อมอก

ร่างของซีพลันเกร็งตัว โบกมือจะตบไปตามสัญชาตญาณ แต่พอเห็นชัดว่าเป็นหลินสวิน มือเปล่งปลั่งขาวสะอาดก็หยุดอยู่ห่างจากหน้าหลินสวินเพียงหนึ่งชุ่น

“ปล่อย!” ซีขุ่นเคืองผสมเขินอายอย่างเห็นได้ยาก

นางในอดีตเย็นชาอย่างกับหิมะ สง่างามเลื่อนลอยราวกับนางเซียนบนสวรรค์ ละอองแสงดุจภาพฝันที่ตัดสลับทั่วร่างทำให้คนอื่นเห็นใบหน้าของนางได้ไม่ชัดเจนสักนิด

ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังงามจนทำให้ใครก็ไม่คิดจาบจ้วง

แต่ตอนนี้นางกลับเผยความรู้สึกขุ่นเคืองอับอายที่เห็นได้น้อยนัก ตั้งแต่หลินสวินยังเยาว์จวบจนตอนนี้ก็ยังได้เห็นเป็นครั้งแรก จึงอึ้งไปอย่างอดไม่ได้

แต่เขาไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสอย่าขยับ คราวนี้ท่านบาดเจ็บรุนแรงไปหน่อยแล้ว”

สาบเสื้อตรงหน้าอกซีย้อมเลือด ที่ไหล่มีรอยกรงเล็บเลือดไหลรินรอยหนึ่ง ลึกจนเห็นกระดูก ที่ประหลาดก็คือ ใกล้กับรอยแผลนั้นมีพลังต้องห้ามคล้ายระเบียบเป็นริ้วๆ อุบัติขึ้น กำลังกัดกร่อนร่างขาวโพลนบอบบางดุจหยกงามมันแพะนั้นของซีไม่ว่างเว้น

นี่เป็นเพียงแผลภายนอก

หลินสวินสังเกตได้ว่ากลิ่นอายของซียังมีเค้ายุ่งเหยิง เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรงยิ่งนัก

นี่ทำให้นัยน์ตาเขาหดรัดลงเล็กน้อย เพิ่งตระหนักได้ว่าพลังสัตว์ร้ายเก้าไม่เหมือนน่ากลัวกว่าที่ตนคาดคิดเอาไว้มาก!

พอถูกสายตาของหลินสวินสำรวจดูบาดแผลบนร่างตนอย่างจดจ่อ ทำเอาซีอึดอัดเหมือนมีมดไต่ไปทั้งร่างครู่หนึ่ง

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางถูกชายคนหนึ่งกอดอยู่ในอ้อมอกเช่นนี้ ต่อให้เป็นห่วงอาการบาดเจ็บของตน แต่ความรู้สึกประหลาดเช่นนี้ทำให้ซีปรับตัวไม่ได้ไปชั่วขณะ

นางกำลังจะดิ้นรน หลินสวินก็โอบนางทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว เอ่ยสีหน้าจริงจังว่า “ผู้อาวุโส ข้าช่วยท่านจัดการกับบาดแผลก่อน”

“ข้า…”

ซีกำลังจะปฏิเสธก็ได้ยินเสียงฉึก หลินสวินฉีกเสื้อที่อยู่บนไหล่นางไปแล้ว ไหล่งามขาวเปล่งปลั่งอิ่มเอิบราวกับหยกงามโผล่ออกมา กระดูกไหปลาร้าอ่อนช้อยงดงาม ขับให้รอยกรงเล็บเลือดหลั่งรินบนไหล่ยิ่งสะดุดตา

ในใจซีอับอาย ถ้าไม่ใช่ว่าบาดเจ็บรุนแรงนัก พลังอ่อนแรง นางอยากจะสอยเจ้าคนที่ถูกตนเฝ้ามองการเติบโตตั้งแต่ยังเยาว์ผู้นี้มาอัดสักรอบ

แต่พอเห็นว่าหลินสวินสีหน้าจริงจังถึงขั้นกระวนกระวายเช่นนั้น ซีกลับทำใจแข็งไม่ได้ไปทันที ในใจลอบเอ่ยว่าเขาเพียงเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของตน ไม่ได้มีใจคิดล่วงเกิน อภัยกันได้…

และในระหว่างที่ซีจิตใจเหม่อลอย หลินสวินก็เริ่มทำแผลให้นาง การเคลื่อนไหวนุ่มนวลเบามือ ระมัดระวังนัก

“ผู้อาวุโส บาดแผลเปื้อนพลังระเบียบต้องห้ามนี้มีแต่ตัวท่านเองที่จะสลายได้” ขณะที่พูดหลินสวินก็พันแผลที่จัดการเสร็จแล้ว

ซีร้องอืมคลุมเครือ

แต่ครู่ต่อมาเนตรดาราของนางพลันเบิกกว้าง ตวาดว่า “หยุดนะ!”

กลับพบว่าหลินสวินกำลังจะจัดการตรงสาบเสื้อเปื้อนเลือดที่หน้าอกนาง ทำเอาซีร่างกายตึงเครียดขึ้นมาเหมือนโมโห

หลินสวินชะงักไป ชักมือกลับอย่างขวยเขิน รีบร้อนอธิบายว่า “ข้าเกือบลืมไปว่าผู้อาวุโส…”

ไม่ทันรอให้พูดจบซีก็กัดฟันกรอด พ่นออกมาว่า “ไสหัวไป!”

หลินสวินยิ้มเจื่อนไปครู่หนึ่ง เมื่อกี้เขาจดจ่อมากเกินไป ไม่ได้สนใจความแตกต่างระหว่างชายหญิงสักนิดจึงทำเช่นนี้

ไม่มีเจตนาจะเอารัดเอาเปรียบอะไรเลย

แต่เห็นได้ชัดว่าซีเข้าใจผิดไปแล้ว มิหนำซ้ำยังเหมือนโกรธมาก

หลินสวินหมุนตัวอย่างชาญฉลาด เดินออกไปไกล “เช่นนั้นผู้อาวุโสท่านรักษาแผลเองไปก่อน ข้าไปตรวจสอบสนามรบ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นแดนกษิติครรภ์ เกิดมีอะไรขึ้นมา…”

พูดพลางเดินห่างไปช้าๆ

พอเห็นหลินสวินหายลับไปจากครรลองสายตา ซีถึงส่งเสียงเย็นชา ชักสายตากลับมา เจ้าหนูนี่… หรือจะไม่ได้ใส่ใจกับคำเตือนของตนเมื่อไม่นานมานี้

——