ชายนามว่าเต้ายวนที่อยู่ตรงหน้า แม้บุคลิกดูเหมือนคนในความทรงจำของนางเล็กน้อย แต่เทียบกันอย่างละเอียดกลับมีความแตกต่างที่เห็นได้ชัด
คนในตอนนั้นเย่อหยิ่งอวดดี ดุร้ายเผด็จการ แม้อายุยังน้อยกลับเหมือนสุริยันดวงโตหนึ่งเดียวที่ส่องสว่างโลก มีอานุภาพสังหารที่พลิกฟ้า กวาดล้างเหล่าผู้กล้า!
ต่อให้บุตรเทพทั้งกลุ่มล้อมโจมตีก็ยังห้าวหาญยิ่ง เหมือนไม่เห็นใครในสายตา ทั้งตัวประหนึ่งดาบเทพชั้นเลิศ สามารถกรีดฟันท้องฟ้า สาดประกายส่องเก้าสวรรค์
ตอนนั้นในแดนลับอสูรมารอริยะยิ่งไม่มีใครสามารถเทียบได้ สังหารจนเหล่าผู้กล้าหวาดกลัวถึงขีดสุด!
แต่เต้ายวนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้มีความอหังการเช่นนั้น เขาราบเรียบนิ่งสงบ เหมือนเมฆลอยที่สามารถเห็นได้บนท้องฟ้าตลอดเวลา ไร้ซึ่งคมประกาย
เมิ่งเหลียนชิงเองก็อธิบายความผิดหวังในใจไม่ออก อารมณ์เช่นนั้นละเอียดอ่อนและซับซ้อนนัก
ว่ากันตามเหตุผล นางควรมองเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นศัตรูและต่อต้าน แต่ผ่านไปหลายปี เมื่อเวลาล่วงเลยไป ยามนางบรรลุถึงระดับกึ่งจักรพรรดิ จู่ๆ กลับพบว่าการต่อสู้และเข่นฆ่าในตอนนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยไปนานแล้ว
มีเพียงในใจที่… ราวกับมีความเสียดายและไม่จำยอมก็เท่านั้น
“ขอโทษที่รบกวนแล้ว”
เมิ่งเหลียนชิงเรียกสติแล้วเก็บสายตา ก่อนจะหมุนตัวจากไป เสื้อผ้าพลิ้วไหว ท่าทางสง่างาม
ชายหนุ่มเหล่านั้นรีบตามไปติดๆ หากไม่ใช่เพราะเมิ่งเหลียนชิง พวกเขาก็คร้านจะสนใจคนแปลกหน้าอย่างหลินสวินแม้แต่แวบเดียว
กับเรื่องนี้ในใจหลินสวินไร้ซึ่งความรู้สึกใด
คิดถึงว่าในหลายปีมานี้เขาสังหารจนมหาจักรพรรดิมากมายทั่วฟ้าดาราขวัญหนีดีฝ่อ สังหารจนขุมอำนาจโบราณที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของโลกดับสลาย อานุภาพทั้งร่างกดข่มฟ้าดาราไปนานแล้ว ทำให้คนได้ยินแล้วอกสั่นขวัญหนี
ยามนี้เผชิญหน้ากับพวกที่มีพลังปราณสูงสุดเพียงแค่ระดับกึ่งจักรพรรดิ ไม่ว่าสภาวะจิตหรือการรับรู้ ล้วนมีท่าทีที่เหนือกว่า
หลินสวินส่ายหน้าเล็กน้อย ตัดสินใจจะไปยังแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่จู่ๆ เงาร่างหนึ่งพุ่งมาทักทายหลินสวินจากไกลๆ ยิ้มพูดพร้อมรอยยิ้ม “พี่เต้ายวนก็จะไปฟังท่านจอมมรรคบรรยายนัยเร้นลับมหามรรคที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือ”
ว่าพลางก็แจ้งที่มาของตน “ข้าคือเหยียนจวิ้นแห่งเผ่าใบไม้วิญญาณ”
เผ่าใบไม้วิญญาณ ในหมู่หมื่นเผ่าดึกดำบรรพ์นับได้ว่าเป็นเผ่าชั้นรองเท่านั้น และเหยียนจวิ้นแม้จะเป็นบุตรเทพในหมู่คนรุ่นเยาว์ของเผ่านี้ แต่พลังปราณก็เพียงแค่มหาอริยะเท่านั้น
“ไม่ผิด” หลินสวินสังเกตเหยียนจวิ้นแวบหนึ่งแล้วเก็บสายตาไป
“พี่เต้ายวนรู้จักเทพธิดาเมิ่งเหลียนชิงหรือ” สายตาของเหยียนจวิ้นแฝงความอิจฉา ถึงขั้นตื่นเต้นเล็กน้อย “นั่นเป็นถึงหนึ่งในหญิงงามแห่งยุคที่สะดุดตาที่สุด หัวหน้าเผ่าทั่วๆ ไปอยากเห็นเทพธิดาเมิ่งสักแวบหนึ่งยังยากมาก”
“นางจำคนผิดแล้ว”
หลินสวินส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเมิ่งเหลียนชิง เจ้าหมอนี่จึงเป็นฝ่ายมาคุยกับตนก่อน
“จำคนผิดหรือ เหตุใดจึงไม่จำข้าผิด”
เหยียนจวิ้นสีหน้าไม่เชื่อเต็มประดา “ยิ่งไปกว่านั้นเทพธิดาเมิ่งเป็นถึงกึ่งจักรพรรดิ สายตาเฉียบคม ถ้าจำคนผิดก็ต้องมีเหตุผลอื่นแน่ จากที่ข้าดู สหาย เจ้าอาจจะโชคดีแล้ว!”
“โชคดีหรือ” หลินสวินอึ้ง
เหยียนจวิ้นพูด “สหายเจ้าแกล้งโง่หรือโง่จริง นั่นเป็นถึงเทพธิดาเมิ่งเชียวนะ เพียงแค่ได้รับความโปรดปรานของนาง แค่จุดประกายนิดๆ หน่อยๆ ก็สามารถทำให้เจ้าบุญพาวาสนาส่ง ทะยานเข้าสู่ประตูมังกรได้แล้ว!”
ในสายตาและคำพูดของเขาเปี่ยมไปด้วยความอิจฉา
หลินสวินอดขำไม่ได้ ดูออกว่าในใจของเจ้าหมอนี่ เมิ่งเหลียนชิงก็คือเทพธิดาผู้สูงส่ง รักใคร่และชื่นชอบเต็มอก
เขาไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น ทะยานห่างออกไป
“สหาย รอก่อน”
เหยียนจวิ้นไล่ตามมา เห็นได้ชัดว่าเขาทำตัวกันเองมาก “อย่างไรก็ไปแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน พวกเราเคลื่อนไหวด้วยกันจะได้มีเพื่อนด้วย”
หลินสวินก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขามีข้อสงสัยมากมายจะถามพอดี
“สหายยุทธ์เล่าเรื่องของ… ท่านจอมมรรคท่านนั้นให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่” เขาถาม
แม้เหยียนจวิ้นจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็เล่าเรื่องที่ตนรู้ทั้งหมดอย่างเบิกบาน
เมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ ทางเข้าแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ปรากฏเหนือทะเลมรกต ทำให้เกิดความฮือฮาครั้งใหญ่ในทันที ผู้ฝึกปราณมากมายเข้าไปภายใน ไม่เพียงไม่ประสบอันตรายใดๆ กลับยังได้ฟังเสียงบรรยายแก่นอัศจรรย์มหามรรคของผู้แข็งแกร่งลึกลับคนหนึ่ง หน้าเศษซากคีรีดวงกมลในแดนลับอสูรมารอริยะ
ผู้แข็งแกร่งลึกลับคนนั้นเรียกตัวเองว่า ‘จอมมรรค’ อ้างว่ารู้นัยเร้นลับแห่งหมื่นมรรคทั่วหล้า ที่บรรยายนัยเร้นลับมหามรรค ก็เพราะอีกไม่นานเขาจะแจ้งมรรคจากไป ด้วยไม่อยากให้มรรควิถีทั้งชีวิตจมหายไปเช่นนี้ จึงตัดสินใจหาผู้สืบทอดสักคน
สรรพชีวิตที่ไปฟังการถ่ายทอดมรรคของเขาล้วนมีโอกาสถูกเลือกเป็นผู้สืบทอด ได้รับมรดกตกทอด
ตอนแรกผู้คนกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย แต่เมื่อได้ฟังท่านจอมมรรคคนนี้บรรยายนัยเร้นลับมหามรรค ไม่ว่าใครล้วนได้รับผลเก็บเกี่ยวมากมาย!
ถึงขั้นที่มีผู้แข็งแกร่งบางส่วนทะลวงระดับระหว่างฟังมหามรรค!
ดังนั้นจึงพูดกันปากต่อปาก ไม่ถึงหนึ่งเดือนขุมอำนาจหมื่นเผ่าดึกดำบรรพ์ที่อาศัยอยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณล้วนได้รู้เรื่องนี้ และเกิดความฮือฮาครั้งใหญ่
ช่วงที่ผ่านมาผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไหร่มาเยือน ทำให้บริเวณที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่คึกคักอย่างมาก
และเมื่อเวลาล่วงเลยไป ข่าวลือเกี่ยวกับ ‘ท่านจอมมรรค’ คนนี้ก็มากขึ้นเรื่อยๆ
มีข่าวลือบอกว่าเขาคือมหาจักรพรรดิในยุคโบราณคนหนึ่ง มีอานุภาพปกคลุมฟ้าดิน ความลึกล้ำของมรรควิถีสามารถสะเทือนหมื่นกาล
และมีข่าวลือว่าท่านจอมมรรคก็คือเจ้าแห่งซากคีรีดวงกมล เป็นบุคคลที่กร้าวแกร่งยิ่งยวด อานุภาพสะเทือนทั่วหล้าในอดีตกาลก่อนหน้านี้
…
เมื่อเล่าจนถึงช่วงท้ายๆ สีหน้าของเหยียนจวิ้นเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้และเลื่อมใส เอ่ยว่า “ข้ามาคราวนี้ไม่หวังจะได้เป็นศิษย์สืบทอดสายตรงของท่านจอมมรรค แต่ขอเพียงได้ฟังคำชี้แนะของเขาก็เพียงพอแล้ว”
เขาไม่ได้สังเกต ว่าสีหน้าของหลินสวินในตอนนี้เผยความเย็นเยียบที่ยากจะเห็นแล้ว
ท่านจอมมรรคอะไรกัน หลินสวินมีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าเจ้าหมอนี่คงจะเป็นหลิงเสวียนจื่อศิษย์พี่สี่ของตน!
สำหรับเรื่องเลือกผู้สืบทอดอะไรนั่น ไร้สาระสิ้นดี ควรรู้ว่าตอนนี้หลิงเสวียนจื่อยังถูกกำราบอยู่ใต้ซากคีรีดวงกมลนั่น จะมีกะจิตกะใจเลือกศิษย์ได้อย่างไร
‘ทำให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ขนาดนี้ ดึงดูดสรรพชีวิตมาฟังคำสอน หากท่านจอมมรรคนี่คือศิษย์พี่สี่จริงๆ เขาทำเช่นนี้เพื่ออะไรกันแน่’
ดวงตาดำของหลินสวินวูบไหว ‘ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้จะต้องกำจัดตัวหายนะที่หักหลังสำนักให้ได้!’
ขณะสนทนา เสียงน้ำไหลดังมาจากไกลเป็นระลอกๆ กึกก้องปั่นป่วน สะเทือนฟ้าดิน ก็เห็นทะเลมรกตที่อยู่ห่างออกไปปรากฏหุบเหวใหญ่แห่งหนึ่ง!
หุบเหวกลางทะเล!
ทอดสายตามองไป น้ำทะเลรอบๆ เหมือนหมื่นกระแสคืนสู่ถิ่น ถาโถมเข้าไปในส่วนลึกของหุบเหวใหญ่ เกิดเสียงกึกก้องน่ากลัว
ภาพเช่นนั้นดูโอ่อ่าผิดปกติ หุบเหวใหญ่หนึ่งแห่งปรากฏในทะเล กลืนกินน้ำทะเลสิบทิศ ลึกจนไม่อาจคาดเดา ราวกับทางเข้าโลกลับแห่งหนึ่ง พาให้คนสะท้านสะเทือน
เมื่อเทียบกับหุบเหวใหญ่นี้ สุริยันจันทราดูเล็กจ้อยถนัดตา เรือสมบัติเข้ามาใกล้ก็เหมือนทรายเม็ดหนึ่ง ยิ่งดูไม่สะดุดตา
นี่คือ ‘แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’!
ในตำนานแม่น้ำทุกสายในหมื่นโลกทั่วหล้า รวมถึงน้ำแห่งธารดาราในส่วนลึกของจักรวาล ล้วนรวมอยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกลับและเก่าแก่นี้
ว่ากันว่าช่วงแรกสุด รอบๆ แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์มีภูเขาเทพห้าลูกพิทักษ์อยู่ แบ่งเป็นอิ๋งโจว เผิงไหล ฟางหู ไต้อวี่ หยวนเจี้ยว
ภูเขาเทพทุกลูกทั้งบนล่างรัศมีสามพันลี้ ระหว่างภูเขาห่างกันเจ็ดพันจั้ง ด้านบนเชื่อมทะเลดารา ด้านล่างเชื่อมต่อเก้าบาดาล!
“ถึงแล้ว” เหยียนจวิ้นพูดอย่างตื่นเต้น
สายตาหลินสวินก็แฝงความสะท้อนใจเสี้ยวหนึ่ง ครั้งแรกที่มาแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เขายังเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ยามนี้มาอีกครั้ง ก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ภาพทิวทัศน์ยังคงเดิม แต่คนเปลี่ยนไปแล้ว
ในน่านน้ำบริเวณแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์มีเงาร่างมากมายโฉบพุ่งเข้ามา จำนวนนับร้อยพัน ล้วนมาพร้อมสีหน้าคาดหวังและตื่นเต้น รุ้งศักดิ์สิทธิ์งดงามพุ่งทะยานเข้าไปราวกับฝูงปลา
หลินสวินเห็นผู้แข็งแกร่งเผ่าที่คุ้นเคย อย่างเผ่าวาฬมังกร เผ่าเต่าทมิฬ เผ่าโห่วเมฆา เผ่ากาฬพฤกษ์ เผ่าสิงห์โลหิต
ทว่าล้วนเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยแทบจะทั้งหมด
หลินสวินไม่ชักช้า เคลื่อนไหวทันที เหยียนจวิ้นเองก็ตามมาติดๆ คุยกันมาตลอดทาง ทำให้เขารู้สึกว่าสหายที่นามว่า ‘เต้ายวน’ คนนี้ไม่เลวเลย ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน ทำให้คนรู้สึกราวกับอาบสายลมในฤดูใบไม้ผลิ รู้สึกเหมือนเป็นสหายรู้ใจ
เขาไม่รู้หรอกว่าหากมหาจักรพรรดิทั่วหล้าฟ้าดารารู้คำวิจารณ์นี้ จะต้องตะลึงอย่างแน่นอน จักรพรรดิเต้ายวนที่สองมือเปื้อนเลือดมหาจักรพรรดิมากมายอ่อนโยนมากหรือ อบอุ่นมากหรือ
ล้อเล่นอะไรกัน!
แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นหนึ่งในจตุโบราณสถาน ลือกันว่าในนั้นมีแดนลับและเขตต้องห้ามลึกลับมากมาย และเหมือนกับแหล่งสถานคุนหลุน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่มีใครรู้ว่าแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ใหญ่แค่ไหนกันแน่
แดนลับอสูรมารอริยะ ก็แค่หนึ่งในนั้น
แน่นอนว่าแดนลับอสูรมารอริยะเป็นเพียงชื่อเรียกของโลกภายนอก ตอนนี้หลินสวินรู้แล้วว่า แดนลับอสูรมารอริยะควรจะเรียกว่า ‘แดนลับดวงกมล’ ถึงจะถูก
เพราะเมื่อนานมาแล้ว ประตูและรากฐานของสำนักคีรีดวงกมลก็อยู่ที่นั่น
วู้ม!
เข้าสู่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ หลังจากการเคลื่อนย้ายมิติกาลเวลาครั้งหนึ่ง หลินสวินก็เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะเป็นครั้งที่สอง
พลังระบียบมหามรรคที่กำราบอยู่บนร่างก็หายไปด้วย ทำให้พลังปราณทั้งหมดคืนสู่ระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นสี่ทันที!
ทว่าเพื่อไม่ให้คนอื่นตกใจ ชักนำความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น หลินสวินยังคงซ่อนกลิ่นอายรอบตัวให้อยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิ
เหยียนจวิ้นที่ติดตามหลินสวินมาตลอดทางไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้สักนิด
“นี่ก็คือแดนลับอสูรมารอริยะของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือ”
เหยียนจวิ้นส่งเสียงอุทาน มองเห็นเทือกเขาเป็นคลื่น ฟ้าดินกว้างใหญ่ แผ่กลิ่นอายเก่าแก่ดั้งเดิม
กลางฟ้าดินคละคลุ้งด้วยไอวิญญาณแรกกำเนิดหนาแน่น ต้นไม้ใบหญ้าพืชพรรณสดใสเป็นประกาย แสงสมบัติไหลพล่าน ราวกับแดนพิสุทธิ์ที่อริยเทพอาศัยอยู่
เห็นได้ชัดว่าเหยียนจวิ้นมาเป็นครั้งแรก
หลินสวินสังเกตคร่าวๆ ประสบการณ์ต่างๆ ในอดีตหลั่งไหลเข้ามาในใจ หลังจากแยกแยะทิศทางแล้วเขาก็พุ่งตรงไปข้างหน้า
“สหาย เจ้าจะไปไหน” เหยียนจวิ้นรีบตามไป
“แน่นอนว่าไปฟังคำสอนของท่านจอมมรรคท่านนั้น” หลินสวินพูดสบายๆ เห็นเหยียนจวิ้นไล่ตามมา เขาคิดๆ แล้วสุดท้ายก็ผ่อนความเร็วลง
ไม่มาหลายปี ไม่จำเป็นเร่งรีบ เดินดูระหว่างทางสักหน่อยก็ดี
“เจ้ารู้ทางหรือ” เหยียนจวิ้นตกใจ
หลินสวินขานรับว่าอืม ไม่ได้อธิบายอะไร
และตอนนี้เองเขาคล้ายสังเกตอะไรบางอย่าง สายตามองไปทิศที่ห่างออกไป
เหยียนจวิ้นเองก็อดมองตามไม่ได้ และเห็นเงาร่างที่งดงามสง่างามสายหนึ่ง เป็นพวกเมิ่งเหลียนชิงนั่นเอง
เหยียนจวิ้นสีหน้ากระจ่างแจ้งทันที “ก็ถูก ขอเพียงไล่ตามฝีเท้าของเทพธิดาเมิ่งย่อมไม่ผิดแน่ เมื่อหลายปีก่อนเทพธิดาเมิ่งก็เคยเข้าสู่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ว่ากันว่าได้รับศุภโชคมากมาย…”
หลินสวินอดขำไม่ได้ เจ้าหมอนี่คิดเชื่อมโยงเก่งมาก ถึงกับคิดว่าตนจะเคลื่อนไหวพร้อมกับเมิ่งเหลียนชิง…
………………………..