“นายน้อย… เป็นท่านจริงๆ รึ”
บรรยากาศเงียบสงัดถูกเสียงสั่นเทาตื่นเต้นทำลายลง
ผู้ที่เอ่ยปากคือหลินจง ครั้งแรกที่หลินสวินเข้าสู่ภูเขาชำระจิตในนครต้องห้ามตอนเด็กๆ ก็ได้รับการดูแลอย่างไม่ขาดตกบกพร่องจากหลินจง
เพียงแต่ผ่านมาหลายปี หลินสวินไม่ใช่เด็กน้อยอย่างเมื่อตอนนั้นอีกแล้ว
และจอนผมทั้งสองของหลินจงก็เป็นสีดอกเลาจนหมด สีหน้าแต่งแต้มลมฝน ทั่วร่างของเขาสั่นเทิ้ม พุ่งไปข้างหน้าสองก้าวแล้วพลันลังเลอยู่เล็กน้อย คล้ายกลัวจะจาบจ้วง
หลินสวินเป็นฝ่ายเดินเข้าหา โอบไหล่ของหลินจงกล่าวว่า “ลุงจง ข้ากลับมาแล้ว!”
หลินจงตื่นเต้นจนพยักหน้าหงึกๆ “กลับมาก็ดี กลับมาก็ดีแล้ว…”
คราวนี้บรรดาคนในโถงใหญ่ต่างตื่นเต้นดีใจ
จ้าวไท่ไหล่ จ้าวซิงเย่ หลินไหวหย่วนและคนอื่นๆ ไม่มีใครที่ไม่ใช่ผู้อาวุโสที่มองดูหลินสวินผงาดขึ้นเมื่อปีนั้น หลายปีผ่านไปได้พบหลินสวินอีกครั้ง ทำให้พวกเขาเองก็รู้สึกซาบซึ้งใจเต้นจนยากจะคุมตัวเองได้
“จิ๊บๆ!”
เสียงร้องอย่างมีชีวิตชีวาดังขึ้น ก็เห็นลูกไฟกลมๆ ก้อนหนึ่งปรี่เข้าหาหลินสวิน เจ้าตัวเล็กกลมเกลี้ยงราวกับลูกหนัง ในตอนนี้กลับแสดงพลังตัวอ่อนน่าอัศจรรย์ออกมา พุ่งเข้าไประหว่างหลินสวินกับหลินจงเอาทื่อๆ แถมยังถูไถหน้าอกของหลินสวิน
เจ้าตัวจ้อยนี่ย่อมเป็นเจ้าจิ๊บจิ๊บ
และเป็นคู่หูตัวน้อยตัวแรกที่หลินสวินเก็บได้ระหว่างทางออกจากหมู่บ้านเฟยอวิ๋น มุ่งหน้าสู่จักรวรรดิจื่อเย่าในปีนั้น
ไม่ได้เจอกันหลายปี เจ้าจิ๊บจิ๊บยิ่งอ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นไปอีก บีบนิดๆ ก็พ่นเปลวไฟสีทองสว่างไสวออกมาระลอกหนึ่ง
“ท่านปู่ เขา… เขาก็คือผู้นำตระกูลที่มีอำนาจทั่วนครหลวงคนนั้นของตระกูลหลินเราหรือ”
เด็กหนุ่มน่าเอ็นดูคนหนึ่งกล่าวอย่างอยากรู้อยากเห็น
เขายืนอยู่ข้างๆ หลินเสวี่ยเฟิง และตามลำดับอาวุโส หลินเสวี่ยเฟิงก็คือลูกพี่ลูกน้องของหลินสวิน
เพี๊ยะ!
หลินเสวี่ยเฟิงตบหัวเด็กหนุ่มเข้าฉาดหนึ่ง เอ็ดว่า “นี่คือท่านปู่น้อยของเจ้า!
หลินสวินอึ้งไป เมื่อมองไปยังเด็กหนุ่มสาวตระกูลหลินจำนวนมากที่อยู่ในที่นั้นอีกครั้ง แต่ละคนสีหน้าล้วนฉาบด้วยความอยากรู้อยากเห็นพลางมองมาที่ตน ในใจเขาก็พลันเลื่อนลอยไปครู่หนึ่ง
อันที่จริงไม่ใช่แค่เย่เสี่ยวชี่ที่เป็นปู่แล้ว ในช่วงหลายปีมานี้ที่ตนจากไป คนในตระกูลหลินเองก็มีทายาทมากมาย ให้กำเนิดคนรุ่นหลังออกมารุ่นแล้วรุ่นเล่า
“การเปลี่ยนแปลงนี้ ช่างใหญ่โตจริงๆ…” หลินสวินทอดถอนใจ
“นายน้อย ท่านยังคงเหมือนเดิม”
หลินจงกล่าวด้วยหน้าตายิ้มแย้ม “มาเถิด ข้าจะแนะนำเด็กในตระกูลหลินของพวกเราให้”
ขณะกล่าวก็เริ่มแนะนำทีละคน
ในบรรดาเด็กหนุ่มสาวเหล่านั้น บ้างก็เรียกท่านลุงหลินสวิน บ้างก็เรียกท่านปู่น้อยหลินสวิน เป็นการบ่งชี้อยู่กลายๆ ว่าเขาในตอนนี้กลายเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งไปแล้ว
พอหลินจงแนะนำเสร็จ จ้าวไท่ไหล่ก็เดินมาข้างหน้ากล่าวว่า “เจ้าคือลูกเขยที่พี่ชายข้าเลือกเองกับมือ จะไม่ทำความรู้จักญาติตระกูลจ้าวของพวกเราสักหน่อยได้อย่างไร มาๆ ข้าจะแนะนำให้เจ้าเอง ”
พอแนะนำแต่ละคนเสร็จ หลินสวินก็เข้าใจสถานการณ์ในที่นี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง
ช่วงหลายปีนี้ที่ตนจากไป ตระกูลหลินทวีความเจริญรุ่งเรืองและเฟื่องฟู แถมยังไม่พบอุปสรรคอะไร แม้กระทั่งตอนที่ไอวิญญาณฟื้นคืน ก็ยังพาคนในตระกูลและสมาชิกราชวงศ์แห่งจักรวรรดิเหล่านั้นหลบเข้าไปในแดนลับบัวเขียวทันที ทั้งยังไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ด้วย
นี่ทำให้หลินสวินโล่งอกเป็นที่สุด
ทว่าทันใดนั้นเขาก็สังเกตได้อย่างฉับไวว่ายามผู้คนปฏิบัติต่อตน แม้จะกระตือรือร้น ใบหน้าแต้มยิ้ม เผยความคุ้นเคย แต่ไม่ว่าจะเป็นใครต่างมีความยำเกรงไม่มากก็น้อยทั้งสิ้น
หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
แม้ตอนนี้เขาจะเก็บกลิ่นอายในร่างไว้ถึงที่สุดตั้งแต่แรก ทว่าจากการท่องไปทั่วหล้ามาหลายปี กลิ่นอายไร้รูปที่เคี่ยวกรำจากการต่อสู้เข่นฆ่าจึงยังคงอยู่
ราวกับเสือตัวหนึ่งที่แม้จะนอนฟุบอย่างเกียจคร้าน แต่ก็ยังทำให้หมื่นสัตว์ครั่นคร้าม
เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินจะเปลี่ยนแปลงได้
วันนี้หลินสวินจัดงานเลี้ยงที่ภูเขาชำระจิต รวมตัวคนตระกูลหลิน สมาชิกราชวงศ์ สำนักศึกษามฤคมรกต ภาคีนักสลักวิญญาณ โถงทองคำ และเหล่าเพื่อนสนิท ต่างรวมกันอยู่ในโถงใหญ่ ร่ำสุราพลางสรวลเสเฮฮา ต่างรินเหล้าให้กัน ดูคึกคักเป็นที่สุด
และหลายวันหลังจากนั้นหลินสวินก็ยังคงอยู่ด้วยกันกับเหล่าญาติมิตรบนภูเขาชำระจิต สุขสมกลมเกลียว ไม่ได้สนใจเหตุการ์ของโลกภายนอกแม้แต่น้อย
สำหรับหลินสวินแล้ว ในช่วงเวลาหลังจากนี้ วันที่จะได้มาพบกันรวมตัวกันเช่นนี้อีกนับวันก็ยิ่งน้อยลงทุกที ฉะนั้นจึงยิ่งล้ำค่ามากขึ้น
จนกระทั่งสิบวันถัดมา
หลินสวินตัดสินใจเปิดสำนัก ตั้งชื่อว่า ‘สำนักยุทธ์ก่อเกิด’
ตั้งจากความหมายที่ว่า ‘เริ่มศักราชใหม่ สรรพสิ่งกำเนิดใหม่’
โดยมีคนรุ่นอาวุโสอย่างหลินจง พญาแร้ง หลินไหวหย่วน สืออวี่ จ้าวชิงเย่ จ้าวไท่ไหล่รับตำแหน่งผู้อาวุโส ดูแลส่วนงานของตน
ส่วนศิษย์รุ่นแรกก็เลือกจากคนในตระกูลหลิน สมาชิกราชวงศ์ สำนักศึกษามฤคมรกต ภาคีนักสลักวิญญาณ และในโถงทองคำ
ทั้งยังสร้างลานประลองยุทธ์ ห้องลงทัณฑ์ โรงหลอมยา โรงหลอมอาวุธ โรงสลักวิญญาณ หอตำรา โรงเลี้ยงสัตว์เป็นต้น
ส่วนพวกเรื่องจิปาถะอื่นๆ ที่ยังต้องจัดการอีกบางส่วน ล้วนเป็นหลินสวินมอบให้คนอื่นเข้ามาจัดการจนเสร็จสมบูรณ์
ด้านหลินสวินก็เอาตำราฝึกปราณ วิชายุทธ์ ม้วนหยกทั้งหมดที่ได้มากในหลายปีนี้ออกมาสะสางใหม่ นอกจากมรดกพวกนั้นของสำนักคีรีดวงกลมแล้ว มรดกทั้งหมดล้วนแต่ก็ถูกเขาแยกประเภท ทำการซ่อมแซมและเก็บรักษาไว้ในหอตำรา ในฐานะมรดกของสำนักยุทธ์ก่อเกิด
นอกจากนั้นหลินสวินยังนำสมบัติที่รวบรวมมาตลอดการเดินทางทั่วฟ้าดาราในหลายปีนี้ออกมา เว้นแต่สมบัติที่เขาใช้ สมบัติของอื่นๆ ล้วนนำออกมาทั้งหมด ให้เป็นทรัพยากรฝึกปราณของสำนักยุทธ์ก่อเกิด
จนกระทั่งทำทั้งหมดนี้เสร็จ หลินสวินถึงผ่อนคลายลงไม่น้อย
การจะเปิดสำนักนั้นง่าย แค่เลือกถ้ำสวรรค์แดนมงคลสักแหล่งกับลูกศิษย์ก็พอ
ทว่าหากต้องการเปิดสำนักให้คงอยู่ไปตลอดกาล ย่อมไม่อาจทำให้สำเร็จได้ในเวลาอันสั้น นี่จำเป็นต้องใชสั่งสมของวันเวลา ผ่านการเคี่ยวกรำต่างๆ ในโลก
ไม่มีสำนักใดที่อาศัยคนเพียงคนเดียวก็ดำรงอยู่ตลอดไปได้
เรื่องเดียวที่หลินสวินทำได้ก็คือพยายามใช้พลังของตนให้มากที่สุด วางรากฐานให้สำนักยุทธ์ก่อเกิดไม่สั่นคลอน หลังจากนั้นถึงที่สุดแล้วก็ยังต้องอาศัยความรู้ที่ถ่ายทอดกันรุ่นสู่รุ่นต่อไป
…
หนึ่งเดือนต่อมา
ในนครต้องห้ามข่าวที่หลินสวินก่อตั้งสำนักยุทธ์ก่อเกิดก็กระจายออกมา สร้างความฮือฮาไปทั่วทันที ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วน
“เร็วเข้า! รีบไปนครต้องห้ามเร็ว!”
“การกระทำนี้ของจอมจักรพรรดิหลินย่อมเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในใต้หล้าเป็นแน่ ภายหน้าสำนักยุทธ์ก่อเกิดนี้ เกรงว่าจะต้องมีอำนาจไปทั่วแดนหมื่นมรรค!”
“หากตอนนี้สามารถเข้าสำนักยุทธ์ก่อเกิดได้ ก็เท่ากับว่าเป็นรุ่นก่อตั้งแรกเริ่ม! สามารถทำให้คนข้างกายตนเชิดหน้าชูตาได้!”
…ทั่วทุกแห่งในใต้หล้าต่างก็ฮือฮากับเรื่องนี้ ถึงขั้นคึกคักอย่างที่สุด
ในเมืองแห่งหนึ่ง หลังจากชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังกราบไหว้ฟ้าดินในงานแต่งได้ยินข่าวนี้ ก็ไม่แต่งงานแล้ว ห้องหอก็ไม่เข้าแล้ว พลันเก็บกระเป๋าเดินทางไปยังนครต้องห้ามทันที
ขณะเดียวกันไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกปราณมากน้อยแค่ไหนที่ออกเดินทางในคืนนั้น มุ่งหน้ามานครต้องห้าม มีทั้งเพื่อกราบเข้าสำนักยุทธ์ก่อเกิดเอง ทั้งเพื่อบุตรธิดาของตน
ภาพเฟื่องฟูเช่นนั้นทำให้คนไม่รู้เท่าไรต้องตกใจตาค้าง
และเมื่อรู้ว่าหลินสวินก่อตั้งสำนักยุทธ์ก่อเกิด พันธมิตรสงครามหมื่นอสูรมารที่อยู่ในทะเลกลืนวิญญาณไกลออกไปต่างแตกตื่นยิ่งยวด
สิ่งมีชีวิตชาวสมุทรมากมายต่างคึกคัก ค่อยๆ แฝงตัวเข้าสู่แดนหมื่นมรรค วางแผนไปนครต้องห้ามสักรอบ เผื่อจะสามารถกราบเข้าสำนักยุทธ์ก่อเกิดได้…
นั้นย่อมเป็นเรื่องดียิ่ง!
ถึงอย่างไรสำนักยุทธ์ก่อเกิดก็ไม่ได้มีกฎว่าไม่รับสิ่งมีชีวิตจากเผ่าในทะเลกลืนวิญญาณเป็นลูกศิษย์
สรุปแล้วการก่อตั้งสำนักยุทธ์ก่อเกิด สำหรับทั่วทั้งโลกชั้นล่างแล้วย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่อาจมองข้ามได้
ทุกคนล้วนเข้าใจความนัยลึกล้ำในเรื่องนี้ดี ว่าสามารถส่งผลกระทบถึงโครงสร้างของโลกชั้นล่างนี้ในภายหน้า!
…
สำหรับเรื่องทั้งหมดนี้หลินสวินไม่รับรู้ หลังจากที่จัดการเรื่องสำคัญของสำนักยุทธ์ก่อเกิดเสร็จแล้ว เรื่องหยุมหยิมอื่นๆ ทั้งหมดก็ส่งให้พวกหลินจงมาจัดการ
จากนั้นเขาก็ทิ้งกายมรรคทั้งห้าให้ควบคุมดูแลบนภูเขาชำระจิต ส่วนตนก็ใช้ร่างต้นเข้าไปในแดนลับบัวเขียวอีกครั้ง
ครั้งนี้ใช้เวลาไปเพียงไม่ถึงสิบวัน หลินสวินก็มาถึงโลกต้นกำเนิดที่เดิมทีเฒ่าประลองหมากอาศัยอยู่
ฟ้าดินรกร้าง เหลือเพียงต้นไม้เก่าแก่กิ่งก้านโกร๋นต้นหนึ่งที่หยั่งรากลึกอยู่ในนั้น
ห่างจากต้นไม้โบราณนี้ไปไม่ไกลมีบานประตูที่ราวกับล่องหน สถานที่อยู่ภายในก็คือแดนแห่งต้นกำเนิดหมื่นมรรค!
สวบ!
หลินสวินไม่ชักช้า เงาร่างทะยานผ่านเข้าไปในนั้น
พริบตาเดียวโลกที่ขุ่นมัวใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตา ไม่รู้ขนาด ไม่รู้ความกว้าง พลังมหามรรคทุกชนิดดั่งธารสวรรค์ไหลหลั่งกึกก้อง แสงมรรคงดงามพร่างพราว ม้วนวนตามอำเภอใจท่ามกลางความโกลาหลราวกับฟองคลื่น
เมื่ออยู่ในนี้ก็เหมือนมาอยู่ในยุคแรกกำเนิดของจักรวาล!
ใจของหลินสวินสั่นสะท้านในทันที
นี่ก็คือแดนแห่งต้นกำเนิดหมื่นมรรคหรือ
ผสมปนเป ไม่อาจอธิบายลักษณ์ หมื่นมรรคถือกำเนิดอยู่ภายใน ปลดปล่อยกลิ่นอายแก่นแท้ดั้งเดิมที่สุดออกมา ไพศาลและหนาแน่น
ตูม!
จู่ๆ พลังระเบียบน่าครั่นคร้ามสายหนึ่งแผ่พุ่ง กดอัดร่างของหลินสวินจนเกร็งแน่นในบัดดล เขาโคจรพลังปราณตามจิตใต้สำนึก ถึงได้สกัดพลังระเบียบนี้ไว้ได้
“พลังระเบียบเช่นนี้ อุบัติขึ้นจากแดนแรกกำเนิด เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าระเบียบต้นกำเนิดที่แดนปรินิพพานและเพลิงหงส์ระเบียบ…”
หลินสวินสงบใจสัมผัส “เทียบกับพลังระเบียบต้องห้ามที่จักรพรรดิสวรรค์ดำรงครอบครองแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีอะไรต่างกัน”
“ยังดีที่พลังระเบียบในนี้ไม่ได้มีจิตสังหารที่แท้จริงอย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้นแค่ปราณของข้า เกรงว่าคงไม่มีทางต่อต้านได้แน่ๆ”
หลินสวินตระหนักได้ว่าคำเตือนของเฒ่าประลองหมากในตอนนั้นไม่ผิดเลย
พลังระเบียบที่แดนแห่งต้นกำเนิดหมื่นมรรคนี้ แม้จะน่ากลัวหาที่สุดไม่ได้ แต่กลับเป็นเพียงพลังที่กดข่มผู้ฝึกปราณที่บุกรุกเข้ามาภายใน ไม่ใช่เคราะห์สังหาร
นี่ก็หมายความว่า ขอแค่สามารถต้านทานการบีบกดเช่นนี้ได้ ก็จะสามารถฝึกปราณในนี้ได้!
ไม่ทันไรหลินสวินก็สังเกตเห็นว่าพลังมหามรรคของที่นี่ปลดปล่อยและกระจายออกไปไม่หยุด ไอวิญญาณฟื้นคืนที่กำลังสำแดงอยู่ในโลกชั้นล่างก็เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้
แต่จากหลินสวินคาดการณ์ พลังแห่งต้นกำเนิดหมื่นมรรคที่นี่ หากจะกระจายออกไปจนหมด อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายร้อยปี
เขาสังเกตอยู่อีกพักใหญ่ สุดท้ายหลังจากแน่ใจว่าไม่มีอันตรายใดๆ แล้ว หลินสวินถึงเริ่มสัมผัสนัยเร้นลับที่อยู่ในแดนต้นกำเนิดหมื่นมรรคนี้
เพียงชั่วอึดใจเขาก็รู้สึกเพียงว่าทั้งกายใจเหมือนถูกห่อหุ้มอยู่ในครรภ์มารดามหามรรค ปากจมูกสูดหายใจ สติรับรู้สัมผัส กระทั่งกล้ามเนื้อผิวหนังทั่วร่างทุกกระเบียดล้วนสามารถสัมผัสถึงความลึกล้ำของมหามรรคทุกชนิด กว้างใหญ่ไพศาล ยิ่งใหญ่ปั่นป่วน…
ผ่านไปเนินนานหลินสวินถึงลืมตาขึ้น นัยน์ตาสั่นสะท้านสุดขีด
หากฝึกปราณแจ้งมรรคที่นี่ได้ ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกปราณเลย แม้แต่หินผาก้อนหนึ่ง ไม้ผุท่อนหนึ่ง ก็สามารถซึมซับและสัมผัสพลังต้นกำเนิดมหามรรคอันน่าอัศจรรย์ และแปรสภาพเป็นหินมรรคไม้เทพได้
น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
ทว่าขณะที่หลินสวินกำลังลองเก็บพลังต้นกำเนิดหมื่นมรรคบางส่วน ก็พลันเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น