ข่าวที่หลินสวินปฏิเสธการยกโทษให้ขุมอำนาจใหญ่ทุกแห่งในดินแดนรกร้างโบราณ เช้าวันรุ่งขึ้นก็แพร่สะพัดไปทั่วกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ
หินก้อนเดียวสร้างคลื่นพันชั้น
ผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไหร่ล้วนสะท้านใจ ตระหนักได้ว่าการล้างบางครั้งใหญ่ในดินแดนรกร้างโบราณ จะเปิดม่านเมื่อหลินสวินหวนกลับมาอย่างแข็งกร้าวในครั้งนี้
“จอมจักรพรรดิหลินออกจะไม่รักษาน้ำใจกันเกินไปหน่อยกระมัง”
“ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ ผู้แข็งแกร่งที่เฝ้ากำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ เกินกว่าครึ่งล้วนมาจากขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่งในดินแดนรกร้างโบราณทั้งนั้น หากไม่มีพวกเรา ไหนเลยจะรักษาดินแดนรกร้างโบราณไว้ได้”
“จอมจักรพรรดิหลินทำเช่นนี้ ทำให้พวกเราผิดหวังชัดๆ!”
ผู้แข็งแกร่งมากมายล้วนหน้าเปลี่ยนสี ทั้งตกใจระคนเดือดดาล ร้องปาวๆ แห่ไปหาหลินสวิน หมายจะขัดขวางไม่ให้หลินสวินทำเช่นนี้
พวกเขาล้วนมาจากขุมอำนาจใหญ่ในดินแดนรกร้างโบราณ มีหรือจะมองดูหลินสวินไปเหยียบย่ำทำลายขุมอำนาจเบื้องหลังพวกเขาตาปริบๆ ได้
แต่เมื่อถึงที่พักของหลินสวิน หลินสวินก็พาซูไป๋ออกไปนานแล้ว
ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาทุกคนล้วนมองหน้ากันไปมา สีหน้าไม่น่าดู
เห็นได้ชัดว่าหลินสวินเดาไว้แต่แรกแล้วว่าพวกเขาจะมาขัดขวางและขอความเมตตา ถึงได้ล่วงหน้าจากไปก่อนก้าวหนึ่ง
“จอมจักรพรรดิหลินไม่ห่วงว่าการกระทำนี้จะทำให้พวกเราระกำใจบ้างเลยหรือ”
มีคนขอบตาแดงก่ำ คำรามเสียงลั่น
“ทำให้พวกเจ้าระกำใจ?”
สุดท้ายยังเป็นท่านเซิ่นก้าวออกมา กล่าวเย็นชาว่า “ทุกท่าน ข้าขอเตือนให้พวกเจ้าใจเย็นไว้เป็นดีที่สุด ลองคิดดูดีๆ ว่าดินแดนรกร้างโบราณผิดต่อหลินสวิน หรือว่าหลินสวินผิดต่อดินแดนรกร้างโบราณกันแน่!”
ไม่รอให้ทุกคนเอ่ยปาก ท่านเซิ่นก็กล่าวความจริงออกมาอย่างต่อเนื่อง
“หลายปีก่อนยามการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนปะทุขึ้น เป็นใครที่นำทัพผู้แข็งแกร่งรุ่นใหม่จากดินแดนรกร้างโบราณ โค่นล้มศัตรูแปดดินแดนในสมรภูมิเก้าดินแดน คว้าชัยชนะรอบด้านในสมรภูมิเก้าดินแดนมาได้คราวเดียว”
“ปีนั้นหลินสวินสร้างผลงานการต่อสู้ครั้งใหญ่ให้กับดินแดนรกร้างโบราณถึงเพียงนี้ แล้วขุมอำนาจเหล่านั้นในดินแดนรกร้างโบราณทำกับเขาอย่างไร”
“พวกเจ้าไม่ลองคิดดูบ้าง ช่วงหลายปีมานี้หลังจากขุมอำนาจเหล่านั้นมุ่งหน้าไปโลกชั้นล่าง ได้ปฏิบัติกับคนในตระกูลและญาติมิตรที่เกี่ยวข้องหลินสวินอย่างไร”
ทุกถ้อยคำของท่านเซิ่นประดุจสายฟ้าฟาด ก้องกระหึ่มทั่วลาน ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่โกรธโมโหเหล่านั้นพูดไม่ออกทันใด เบื้อใบ้จนคำพูด
ความจริงข้อนี้ มีหรือพวกเขาจะไม่รู้มาก่อน
กับเรื่องที่ปฏิบัติต่อคนในตระกูลหลินและญาติมิตรของหลินสวินนี้ วิธีการของขุมอำนาจเหล่านั้นในดินแดนรกร้างโบราณ… เลวทรามและต่ำช้าเกินไปจริงๆ
“เรื่องพวกนี้… ล้วนเป็นอดีตที่ผ่านมาแล้ว ขุมอำนาจเหล่านี้อาจมีความผิดจริง แต่… ก็ไม่ถึงขั้นต้องถูกทำลายสิ้นกระมัง”
มีคนกล่าวเสียงขรึม “ขอเพียงจอมจักรพรรดิหลินยอมถอยสักก้าว ให้ขุมอำนาจเหล่านี้มีโอกาสคงอยู่ต่อไป ไม่ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนแค่ไหน เชื่อว่าพวกเขาล้วนจะยินยอมทั้งนั้น”
ประโยคเดียวเรียกให้ผู้แข็งแกร่งมากมายพยักหน้าสนับสนุน
กลับเห็นท่านเซิ่นขมวดคิ้ว กล่าวเย็นชา “ในเมื่อพวกเจ้าพูดเองว่าเรื่องพวกนั้นเป็นอดีตไปแล้ว ได้ ตอนนี้ก็ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ข้าขอถามพวกเจ้าเพียงว่า ครั้งนี้หากไม่มีหลินสวินออกศึก พวกเจ้าคิดว่าลำพังแค่พลังของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ จะต้านทานการบุกโจมตีรอบด้านของกองทัพใหญ่แปดดินแดนได้หรือไม่”
ทั่วลานเงียบกริบ
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนไปมา
“หลินสวินคนเดียว เหยียบกองทัพใหญ่ดินแดนโบราณต้าหลัวนอกด่านตะวันราบคาบ!”
“ตัวคนเดียว เดินผ่านแปดดินแดน กวาดล้างแปดขุมอำนาจที่ดุจดั่งนายเหนือหัว ทำให้ทั่วรากฐานแปดดินแดนเสียหาย ตกสู่สภาพโกลาหล!”
“ตัวคนเดียว ช่วยเหลือกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิจากหายนะ!”
ท่านเซิ่นพูดหนักแน่น ดังก้องเสียดเมฆ “ด้วยผลงานการต่อสู้เช่นนี้ สามารถเกริกก้องหมื่นยุค คงนิรันดร์ในหน้าประวัติศาสตร์”
“ยามนี้เขาเพียงแค่จัดการความแค้นส่วนตัวเท่านั้น พวกเจ้ากลับขัดขวางกันให้วุ่น ทำไม อนุญาตให้เฉพาะขุมอำนาจเบื้องหลังพวกเจ้ารังแกผู้อื่นได้ แต่ไม่ยอมให้ผู้อื่นรังแกกลับอย่างนั้นหรือ”
ท่านเซิ่นกล่าวถึงตอนท้ายก็อดโมโหไม่ได้ “แน่นอน หากพวกเจ้าอยากขัดขวางจริงๆ ก็ย่อมได้ เช่นนั้นก็แยกย้ายกันกลับขุมอำนาจของพวกเจ้า ไปสู้จนตัวตายซะ!”
“แต่คนทั่วหล้าจะจดจำ ประวัติศาสตร์จะจดจำ ว่าใครจึงจะเป็นคนที่ควรค่าแก่การเคารพและจารึกชื่อที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณ!”
สิ้นเสียงเขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
…
เรื่องทั้งหมดนี้หลินสวินไม่รับรู้
เขาพาซูไป๋กลับสู่ดินแดนรกร้างโบราณนานแล้ว
“อาจารย์ ครั้งนี้จะถล่มขุมอำนาจเหล่านั้นจนพินาศจริงๆ หรือ” ระหว่างทางซูไป๋อดเอ่ยถามไม่ได้
หลินสวินกล่าวง่ายๆ “ไอวิญญาณฟื้นคืน สรรพสิ่งในโลกผันเปลี่ยน สถานการณ์ทั่วหล้าก็ถึงเวลาปฏิรูปปรับเปลี่ยนแล้ว ยิ่งกว่านั้น… เมื่อทำผิดก็ต้องจ่ายค่าชดเชยในเรื่องนั้น หรือเพียงเพราะพวกเขาเป็นสำนักใหญ่ ขุมอำนาจใหญ่ที่เรียกๆ กัน ก็จะปล่อยเลยตามเลยได้หรือ”
ซูไป๋พยักหน้า “ข้าห่วงแค่ว่าทำเช่นนี้จะเสื่อมเสียชื่อเสียงของอาจารย์ ส่วนความเป็นตายของขุมอำนาจเหล่านั้น ข้าไม่ได้ใส่ใจสักนิด”
“ชื่อเสียงอะไรก็เป็นแค่สิ่งที่ผู้ชนะซึ่งรอดชีวิตคนสุดท้ายเขียนขึ้นเท่านั้น”
หลินสวินกล่าวเรียบๆ
“เช่นนั้น… พวกเราไปที่ไหนก่อนหรือ”
ซูไป๋ถาม
“สำนักกระบี่เทียมฟ้า”
หลินสวินกล่าว
…
สรวงสวรรค์นครหยกขาว สิบสองหอห้าเมือง
เซียนโอบศีรษะข้า ผูกเกศาประทานอมตะ
นครหยกขาว (ไป๋อวี้จิง) นี่คือชื่อบุคคลระดับตำนานแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าในดินแดนรกร้างโบราณ ตอนนี้ยังเป็นชื่อเรียกแคว้นที่เฟื่องฟูที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณอีกด้วย
ฤดูหนาวแสนสะท้าน
เกล็ดหิมะราวขนห่านโปรยปราย ฟ้าดินล้วนถูกหิมะน้ำแข็งปกคลุม ขาวโพลนทั้งผืน
ในเมือง ทุกแห่งหนล้วนปรากฏเงาร่างผู้ฝึกปราณสะพายกระบี่สัญจรให้เห็น บนท้องถนนจอแจพลุกพล่าน หลินสวินและซูไป๋เดินอยู่ในนั้น เมื่อเห็นภาพนี้ก็นึกถึงอวิ๋นชิ่งไป๋ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
อวิ๋นชิ่งไป๋ ผู้ฝึกกระบี่ระดับตำนานที่เจิดจ้าดุจดาวจรัสฟ้า และเป็นคนน่าสงสารที่ทุกข์ตรมน่าระทดคนหนึ่ง
เมื่อหลายปีก่อน เป็นเพราะเขาแต่งกายโดยการ ‘สะพายกระบี่สัญจร’ ทำให้เกิดกระแสความนิยม ส่งผลให้ในอาณาเขตนครหยกขาวล้วนพบเห็นภาพคนสะพายกระบี่สัญจรได้ทุกแห่งหน
หลินสวินอดเหลือบมองซูไป๋ที่อยู่ข้างๆ อีกครั้งไม่ได้ กระดูกกระบี่โดยกำเนิดเหมือนกัน โดดเด่นเหมือนกัน แต่สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกัน บางทีอาจเป็นโชคชะตา
“ไป ไปสำนักกระบี่เทียมฟ้ากัน”
กลับมาเยือนที่เดิมอีกครั้ง สรรพสิ่งคงเดิมคนแปรเปลี่ยน หลินสวินไม่ได้มัวทอดถอนใจอีก เงาร่างของเขาและซูไป๋ค่อยๆ หายไปบนถนนครึกครื้นจอแจด้วยกัน
สำนักกระบี่เทียมฟ้า
ภูเขาเทพสูงเกรียงไกรตั้งตระหง่าน หิมะน้ำแข็งขาวโพลน พยับหมอกลอยเอื่อย
โถงใหญ่ของสำนัก
บรรยากาศกดดันอึมครึม ทำให้คนเจียนหายใจไม่ทั่วท้อง
คนใหญ่คนโตระดับสูงของสำนักกระบี่เทียมฟ้าทั้งหมดรวมถึงเจ้าสำนักฉางฮ่วนจื่อล้วนสีหน้าอึมครึมดุจสายน้ำ เหมือนไว้ทุกข์ให้บุพการี
“เขาหลินสวินถึงขั้นจะตระเวนกำจัดขุมอำนาจทั้งหมดในดินแดนรกร้างโบราณ รวมถึงสำนักกระบี่เทียมฟ้าของเราด้วยตัวคนเดียว นี่เป็นบ้าเสียสติไปแล้วชัดๆ!”
มีคนกัดฟันพูด โมโหถึงขีดสุด
“เขาไม่กลัวถูกคนนับพันตราหน้า หมื่นชีวิตสาปส่งบ้างหรือ ไม่กลัวชื่อเสียงฉาวโฉ่ชั่วหมื่นปีเชียวหรือ”
“พวกเราก็แสดงเจตจำนงยอมจำนนแล้ว พยายามร้องขอความเมตตา ถึงขั้นยินดีจ่ายค่าชดเชยมหาศาลในเรื่องนี้ แต่เขา… กลับยังไม่ยอมตกลง!”
คนใหญ่คนโตทั้งกลุ่มต่างเอ่ยปาก บ้างวิตกกังวล บ้างโทสะสุมทรวง บ้างกังวลผลได้ผลเสีย บ้างก็จิตหลุดขวัญหาย
เจ้าสำนักฉางฮ่วนจื่อที่นิ่งเงียบไม่เอ่ยปากมาโดยตลอด มองดูทุกคนรอบตัวด้วยสายตาอึ้งงัน
เนิ่นนานเขาถึงถอนหายใจยาวกล่าวว่า “ทุกท่าน ใต้หล้าในตอนนี้ไม่มีใครสามารถต้านพลังต่อสู้ของหลินสวินได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ล้วนต้องจำใจยอมรับ สำนักกระบี่เทียมฟ้าของเรา… ใกล้จะดับสลาย ภัยอยู่ตรงหน้าแล้ว”
“สู้สุดชีวิตกับเขาไปเลย!”
“ไม่ ไม่ได้เด็ดขาด หากทำเช่นนี้ พวกเราเกรงว่าล้วนต้องประสบเคราะห์กันหมด”
“เช่นนั้นควรทำอย่างไร หนีหรือ”
…เสียงในโถงใหญ่ดังอึงอล ตีกันมั่วซั่วไปหมด
บรรดาคนใหญ่คนโตผู้สูงส่งในยามปกติเหล่านี้ เวลานี้กลับเหมือนมดบนหม้อร้อน จิตใจว้าวุ่น
แม้แต่เจ้าสำนักฉางฮ่วนจื่อยังจิตใจไม่อยู่กับตัว
ความแข็งแกร่งของหลินสวิน พวกเขารู้มานานแล้ว เป็นบุคคลสูงสุดที่ประหนึ่งไร้ศัตรู ไม่ว่าในโลกหมื่นมรรคหรือกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ถึงขั้นแม้แต่ในแปดดินแดนก็ยังไร้ศัตรูเทียบเทียม!
“พอแล้ว!”
ทันใดนั้นเสียงเข้มขรึมสายหนึ่งดังก้องขึ้น
ก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่กำยำสายหนึ่งไม่รู้ว่าเข้ามาในโถงใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ อานุภาพจักรพรรดิในตัวหอบม้วนแผ่ออกไปราวลมพายุ สะท้านสะเทือนทุกคน
“ท่านบรรพจารย์!”
“ท่านบรรพจารย์กลับมาแล้ว!”
พวกฉางฮ่วนจื่ออึ้งงัน จากนั้นก็เผยสีหน้าตื่นเต้น
เงาร่างสูงใหญ่นี้ ย่อมเป็นไป๋อวี้จิง!
สำหรับทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณ ไป๋อวี้จิงเป็นตำนานเหนือสุดคนหนึ่ง
เขาคือศิษย์พี่ของบรรพจารย์ผู้บุกเบิกสำนักกระบี่เทียมฟ้า เป็นยักษ์ใหญ่มรรคกระบี่ที่ชื่อก้องตั้งแต่สมันบรรพกาล
ชื่อของเขา ถึงขั้นถูกผู้คนตั้งเป็นชื่อเรียกเขตแคว้น!
ขณะนี้เป็นช่วงปัญหาภายนอกและภายในรุมเร้า ลมฝนพัดสั่นคลอน ไป๋อวี้จิงที่ไม่ปรากฏร่องรอยมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุดจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น นี่ทำให้พวกฉางฮ่วนจื่อเหมือนคว้าฟางช่วยชีวิตไว้ได้เส้นหนึ่ง รู้สึกตื้นตันเป็นล้นพ้น
“ไป๋อวี้จิง?”
พร้อมกันนั้นเสียงเรียบเรื่อยสายหนึ่งพลันดังขึ้นนอกสำนักกระบี่เทียมฟ้า
เงาร่างสูงใหญ่กำยำที่เพิ่งเหยียบย่างโถงใหญ่เมื่อครู่พลันชะงักเท้า ถอนหายใจยาวคราหนึ่ง “จอมจักรพรรดิหลิน เจ้ามาไวทีเดียว”
พวกฉางฮ่วนจื่อล้วนแข็งทื่อไปทั้งตัว หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่
หลินสวิน!
เขาถึงกลับมาแล้วงั้นหรือ
ยามพวกเขาเงยมองไปอีกครั้ง เงาร่างของไป๋อวี้จิงก็หายไปจากโถงใหญ่ มาอยู่ใต้เวิ้งฟ้านั่นแล้ว
ไกลออกไปอีก เงาร่างสองสายปรากฏขึ้นกลางอากาศ คนหนึ่งสูงสง่าละโลกีย์ อีกคนสวมชุดขาวยิ่งกว่าหิมะ เป็นสองศิษย์อาจารย์หลินสวินและซูไป๋นั่นเอง
“ท่านรีบร้อนกลับมา เพื่อจะขวางข้าหรือ”
หลินสวินมองสำรวจไป๋อวี้จิงแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้
ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว เขาก็เคยได้ยินท่านเมี่ยวเสวียนแห่งหอฤทธิ์เทพบอกว่า ไป๋อวี้จิงเป็นยอดวีรบุรุษแห่งยุคคนหนึ่ง ปณิธานและความกล้าหาญล้วนเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป นานมาแล้วสมัยบรรพกาลก็มุ่งหน้าสู่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ เฝ้าพิทักษ์ในนั้น เข่นฆ่าศัตรูแปดดินแดน
สำหรับคนเช่นนี้ ในใจหลินสวินยังรู้สึกเลื่อมใสเป็นที่สุด
อย่างตอนอยู่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิไม่นานมานี้ หลินสวินยังเคยร่วมกินดื่ม พูดคุยเคล้าหัวเราะกับไป๋อวี้จิง แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าไป๋อวี้จิงจะโผล่มาที่นี่ตั้งแต่จังหวะแรก
“ถึงอย่างไรสำนักกระบี่เทียมฟ้าก็เป็นสำนักที่ศิษย์น้องของข้าก่อตั้ง ข้าย่อมไม่อาจกอดอกมองดูเฉยๆ หากจอมจักรพรรดิหลินยอมถอยสักก้าว ให้สำนักกระบี่เทียมฟ้าเหลือความหวังที่จะคงอยู่ต่อสักหน่อย ข้าไป๋อวี้จิงย่อมซาบซึ้งไม่สร่าง” ไป๋อวี้จิงกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ
หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ท่านกับข้าจุดยืนต่างกัน ในเรื่องนี้พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์”
ไป๋อวี้จิงถอนหายใจยาว สีหน้าเจือแววซับซ้อน “เดาไว้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ได้แต่ลองดูว่าจะต้านจิตสังหารของจอมจักรพรรดิหลินได้หรือไม่เท่านั้นแล้ว”
ตูม!
ทันใดนั้นทั่วตัวเขาอาภรณ์ลอยพลิ้ว ผมยาวปลิวไสว ดุจดั่งกระบี่เทพที่ซ่อนลึกกลางหีบปรากฏขึ้นในโลก เจตกระบี่สาดกระหน่ำเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ปั่นป่วนลมหิมะคลุ้งฟ้า
“จอมจักรพรรดิหลิน เชิญ”
ในมือไป๋อวี้จิงปรากฏกระบี่โบราณเล่มหนึ่ง ตัวกระบี่อาบเลือด เก่าเขรอะเป็นสนิม
“เช่นนั้นก็… มีแต่ต้องล่วงเกินแล้ว”
สายตาหลินสวินนิ่งสงบไม่หวั่นไหว ทำเพียงถอนใจเบาๆ ในใจ
……………………..