หลินสวินเห็นอยู่ในสายตา แต่ไม่พูดอะไรมาก

ก่อนเจอหยวนชิงเหิง เขาเองไม่รู้เรื่องการมุ่งหน้าไปยังอีกฟากฝั่งเช่นกัน

“ความจริงแล้วไม่ใช่แค่พวกเรา ตั้งแต่สิบปีก่อน หลังจากพลังระเบียบต้องห้ามที่ปกคลุมบนทางเดินโบราณฟ้าดารานั้นสูญเสียการควบคุม ทุกขุมอำนาจใหญ่ในใต้หล้าก็มีผู้แข็งแกร่งมากมายกรูขึ้นมา ต้องการมุ่งหน้าไปฝึกปราณที่อีกฟากฝั่ง”

จินเทียนเสวี่ยอวิ๋นกล่าวด้วยความเคารพ “เดิมข้าคิดว่าการเดินทางนี้ไม่มีพลังระเบียบต้องห้ามขัดขวาง น่าจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น ใครจะคิดว่าอันตรายระหว่างทางกลับน่ากลัวเช่นนี้”

หลินสวินถึงได้รู้ว่าช่วงสิบปีหลังจากจักรพรรดิสวรรค์ดำรงสิ้นชีพ บนทางเดินโบราณฟ้าดาราถึงกับมีขุมอำนาจใหญ่มากมายออกเคลื่อนไหวแล้ว

แต่คนที่รู้ถึงความอันตรายบนหนทางนี้อย่างแท้จริงจะมีสักกี่คน

หลินสวินกล่าว “หากสหายยุทธ์เชื่อข้าคนแซ่หลินก็กลับไปตอนนี้เถอะ อันตรายบนหนทางนี้ ต่อให้เป็นระดับบรรพจารย์จักรพรรดิก็มีโอกาสสูงว่าจะประสบเคราะห์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีระดับมหาจักรพรรดิที่ไม่เคยไปถึงอีกฟากฝั่งสิ้นชีพระหว่างทางนับไม่ถ้วน”

จินเทียนเสวี่ยอวิ๋นพยักหน้า “ขอบคุณสหายยุทธ์ที่ชี้แนะ ความจริงต่อให้สหายยุทธ์ไม่บอกกล่าว ครั้งนี้สามารถพ้นเคราะห์มาได้ ข้าก็ไม่คิดจะมุ่งหน้าไปอีกแล้ว”

นางพูดพลางทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ “เมื่อก่อนคิดว่าหลังจากบรรลุจักรพรรดิก็จะผงาดเหนือทั่วหล้า แต่พอมาถึงระดับนี้เข้าจริงๆ ถึงได้เข้าใจว่าความลำบากของมหามรรคนั้นยากแค้นเพียงใด”

หลังจากพูดคุยกันครู่หนึ่งหลินสวินก็จากไป

มองส่งเขาจากไป เหล่าชายหญิงตระกูลจินเทียนจึงกล้าส่งเสียงพูดคุย สีหน้าแต่ละคนเจือความทอดถอนใจ

“ปีนั้นข้าจำได้ว่ายามพี่เสวียนเยวี่ยบอกว่าต้องการติดตามฝึกปราณอยู่ข้างกายจักรพรรดิเต้ายวน ยังเคยถูกคนในตระกูลคัดค้านอย่างรุนแรง ด้วยเหตุนี้พี่เสวียนเยวี่ยถึงขั้นละทิ้งแซ่ตระกูล ทำให้เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลต่างเดือดดาลเกินต้าน”

หญิงสาวงดงามคนหนึ่งกล่าว “แต่ตอนนี้ความจริงได้พิสูจน์แล้ว พี่เสวียนเยวี่ยเป็นฝ่ายถูก!”

คนอื่นล้วนจิตใจสั่นไหว

หลายปีก่อนจักรพรรดิเต้ายวนตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ถูกขุมอำนาจทั่วหล้ามองเป็นศัตรู ใครจะกล้าจินตนาการ ว่าสุดท้ายกลับเป็นขุมอำนาจเหล่านั้นถูกอานุภาพของจักรพรรดิเต้ายวนคนเดียวทำให้หวั่นหวาด

ใครเล่าจะกล้าจินตนาการว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดารา ชื่อเสียงของจักรพรรดิเต้ายวนกลับทำให้ขุมอำนาจเก่าแก่อย่างหกเรือนมรรคใหญ่จำต้องหวาดกลัว

“เขาเป็นตำนานคนหนึ่ง จากอดีตเรื่อยมาจนปัจจุบันไม่มีใครเทียบได้ แต่น่าเสียดาย ปีนั้นตระกูลจินเทียนของพวกเราห่วงว่าจะติดร่างแห ไม่เคยผูกมิตรกับบุคคลเช่นนี้”

จินเทียนเสวี่ยอวิ๋นก็ถอนใจยาวอย่างอดไม่ได้

ฟ้าดาราไร้ขอบเขต หลินสวินก้าวเดินอยู่ในนั้น

เรื่องที่ช่วยจินเทียนเสวี่ยอวิ๋นก่อนหน้านี้ สำหรับเขาเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่ทำได้ตามสะดวกเท่านั้น

แต่เรื่องบางอย่างที่จินเทียนเสวี่ยอวิ๋นพูดถึง ทำให้หลินสวินรับรู้ว่าระหว่างทางมุ่งหน้าไปยังฟากฝั่งครั้งนี้ มีโอกาสสูงว่าจะได้เจอผู้แข็งแกร่งที่มาจากทางเดินโบราณฟ้าดารามากมาย

ผ่านไปครึ่งเดือน

ในที่สุดหลินสวินก็ก้าวออกจากจักรวาลล่มสลายที่เกิดภัยพิบัติบ่อยครั้งแถบนี้ เข้าสู่เขตแดนดาราที่แปลกใหม่อย่างสิ้นเชิงแถบหนึ่ง

จากคำพูดของนกกระจอกเขียว นี่คือ ‘เขตแดนดาราอีกาขาว’ หนึ่งในโลกพันจักรวาล อารยธรรมด้านการฝึกปราณรุ่งเรืองมาก อันดับในโลกพันจักรวาลน่าจะอยู่ที่ประมาณเก้าสิบ

พูดถึงเรื่องอันดับของโลกจักรวาล หลินสวินอดสงสัยไม่ได้ เท่าที่เขารู้โลกพันจักรวาลคือคำเรียกรวมอย่างหนึ่ง สื่อถึงโลกมิติจักรวาลมากมาย

อย่างทางเดินโบราณฟ้าดาราก็เป็นแค่หนึ่งในนั้น

โลกจักรวาลมากเช่นนี้ ใครจะมีคุณสมบัติไปจัดอันดับ

ข้อกำหนดของการจัดอันดับนี้คืออะไรกันแน่

นกกระจอกเขียวให้คำตอบ

ในแดนใหญ่พันศึกนั้นมี ‘ศิลาศึกข้ามแดน’ อันดับของแต่ละโลกจักรวาลล้วนตัดสินตามอันดับบนศิลาศึกข้ามแดน

ศิลาศึกข้ามแดนก็คือพลังระเบียบมหามรรคอย่างหนึ่งที่วิวัฒน์จากแดนใหญ่พันศึก มีเอกลักษณ์อย่างมาก

ขอแค่เป็นผู้แข็งแกร่งที่ฝ่าด่านในแดนใหญ่พันศึก พลังต่อสู้ที่แสดงออกมาทั้งหมดจะถูกพลังระเบียบนี้รับรู้ทั้งสิ้น จากนั้นจึงแสดงออกมาเป็นอันดับที่แตกต่างกัน

อันดับนี้ยังเกี่ยวข้องกับตำแหน่งของแต่ละจักรวาลในโลกพันจักรวาลด้วย!

ตัวอย่างเช่นหลินสวินมาจากทางเดินโบราณฟ้าดารา เช่นนั้นยามเขาท่องไปในแดนใหญ่พันศึก ความสูงต่ำของอันดับที่ถูกบันทึกไว้ก็จะส่งผลต่ออันดับของทางเดินโบราณฟ้าดาราในโลกพันจักรวาล

นี่คือการสะท้อนให้เห็นอย่างเรียบง่ายแต่ตรงไปตรงมา

ถึงอย่างไรยิ่งเป็นมิติจักรวาลที่แข็งแกร่งมาก ยิ่งง่ายต่อการให้กำเนิดผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังหาใดเปรียบ ซ้ำยังไม่ใช่แค่คนเดียว

ยามพวกเขาก้าวผ่านฟ้าดารา รอนแรมไปทั่วแดนใหญ่พันศึก พลังต่อสู้ที่สำแดงออกมาทั้งหมด ย่อมเพียงพอเป็นตัวแทนของพลังต่อสู้ชั้นยอดแห่งมิติจักรวาลแล้ว!

ความจริงแล้วคนทั่วไปก็ไม่มีทางมีโอกาสมาถึงแดนใหญ่พันศึกแต่แรก

นี่ก็หมายความว่าขอแค่เป็นพวกที่เข้ามาในแดนใหญ่พันศึกได้ ย่อมเป็นยอดผู้แข็งแกร่งที่ก้าวออกมาจากโลกพันจักรวาลทั้งสิ้น

หลังจากนกกระจอกเขียวเล่าเรื่องพวกนี้ออกมา ยังเจาะจงเอ่ยวิจารณ์ทางเดินโบราณฟ้าดาราเป็นพิเศษ “สองแสนปีก่อน ผู้แข็งแกร่งจากทางเดินโบราณฟ้าดาราที่ก้าวผ่านฟ้าดารามุ่งหน้าไปยังอีกฟากฝั่ง ล้วนสำแดงพลังที่เจิดจรัสเหลือประมาณออกมา ผลงานของพวกเขาในแดนใหญ่พันศึกก็โดดเด่นถึงขีดสุด เคยทำให้ทางเดินโบราณฟ้าดาราครองสามอันดับแรกได้อย่างมั่นคง ถึงขั้นอยู่ในอันดับหนึ่งหลายครั้ง”

“ตอนนั้นในแดนใหญ่พันศึก ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งของทางเดินโบราณฟ้าดาราจะเดินไปที่ไหน ล้วนได้รับความเคารพเลื่อมใสและยำเกรงจากผู้คน ไม่ได้บอกว่าไม่มีใครกล้าหาเรื่อง แต่ก็วางอํานาจบาตรใหญ่ได้”

“แต่ในช่วงสองแสนปีนี้ ทางเดินโบราณฟ้าดารากลับอยู่ในสถานการณ์ตกต่ำเหมือนทิ้งดิ่ง ไม่ใช่แค่ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดลดฮวบ แม้แต่อันดับในแดนใหญ่พันศึกก็ถูกเบียดอย่างต่อเนื่อง จนถึงตอนนี้แทบรักษาตำแหน่งร้อยอันดับแรกไว้ไม่ได้แล้ว”

เมื่อหลินสวินฟังจบก็ระบุเรื่องหนึ่งได้โดยคร่าว

หนึ่งแสนปีก่อนคือสมัยบรรพกาลของทางเดินโบราณฟ้าดารา

สองแสนปีก่อนก็คือสมัยดึกดำบรรพ์ของทางเดินโบราณฟ้าดารา

หรือพูดได้ว่าสมัยดึกดำบรรพ์ อันดับของทางเดินโบราณฟ้าดารายังสูงมาก แต่หลังจากยุคดึกดำบรรพ์กลับเหมือนสายน้ำไหลสู่ที่ต่ำ

จากคำพูดของหยวนชิงเหิงก่อนหน้านี้

นี่เป็นเพราะทางเดินโบราณฟ้าดาราในช่วงดึกดำบรรพ์เคยเจอมหาเคราะห์ครั้งหนึ่ง ทำให้พลังระเบียบต้นกำเนิดของทางเดินโบราณฟ้าดาราพังทลาย จมสู่ความพินาศเพียงเท่านี้!

ขณะเดียวกันในช่วงสองแสนปีนั้นก็มีพลังระเบียบที่มาจากตระกูลลั่วแห่งฟากฝั่งเข้าปกคลุม ขวางเส้นทางมุ่งหน้าจากทางเดินโบราณฟ้าดาราไปยังอีกฟากฝั่งไว้เช่นกัน และจนถึงตอนนี้ในหมู่โลกพันจักรวาลในปัจจุบันนั้น ทางเดินโบราณฟ้าดาราก็ตกต่ำยิ่งกว่าเดิมแล้ว

เมื่อรู้เรื่องพวกนี้หลินสวินก็อดทอดถอนใจไม่ได้

หวนนึกถึงช่วงต้นดึกดำบรรพ์ เหล่าบุคคลแห่งยุคอย่างจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียน จักรพรรดิสงครามอู๋ยาง จอมมุนีซิงเจียนั้นเจิดจรัสระดับใด

แต่ในช่วงเวลาต่อจากพวกเขา กลับได้เจอบุคคลเทียมฟ้าอย่างพวกเขาน้อยมาก

“อาศัยพลังของเจ้าคนเดียว ย่อมไม่มีทางเปลี่ยนอันดับของทางเดินโบราณฟ้าดาราได้แน่ ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าคิดเรื่องนี้ดีกว่า”

นกกระจอกเขียวเอ่ย แฝงความรู้สึกเตือนอยู่ในที “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าทำไมคุณหนูถึงให้ข้านำทางอยู่ข้างกายเจ้า แต่ในเมื่อเป็นคำกำชับของคุณหนู ข้าย่อมชี้แนะเจ้าตามสมควร”

“แต่ตอนนี้พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เมื่อเจ้าสามารถรอดชีวิตไปถึงแดนใหญ่พันศึกได้อย่างแท้จริง ก็จะเข้าใจว่าสถานที่นั้นน่ากลัวเพียงใด”

นกกระจอกเขียวนี้ดูเหมือนตัวเล็กจ้อย แต่กลับเย่อหยิ่งจนเข้ากระดูก ต่อให้เผชิญหน้ากับหลินสวินก็ยังวางท่าเหลือบมองและชี้แนะ

หลินสวินดีดนิ้วเคาะหัวนกกระจอกเขียวครั้งหนึ่งพลางยิ้มกล่าว “เจ้าแค่นำทางให้ดีก็พอ เรื่องอื่นไม่ต้องให้เจ้ามากลุ้มใจ”

นกกระจอกเขียวเซถลา แทบหกคะเมนลงมาจากบ่าของหลินสวิน มันกล่าวอย่างขัดเคืองเหมือนได้รับความอัปยศครั้งใหญ่ “บังอาจนัก! เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร”

หลินสวินกล่าว “ข้ารู้แค่เจ้าเป็นคนนำทางให้ข้า หากเจ้ากล้าขัดคำสั่งของเจ้านายเจ้า ข้าก็กล้าจับเจ้าถอนขนถลกหนังแล้วย่างกิน”

นกกระจอกเขียวอึ้งงันแล้ว คล้ายคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะไม่เกรงใจเช่นนี้ ครู่ใหญ่จึงกล่าวพึมพำ “หากไม่ใช่ว่าคุณหนูกำชับไว้ ด้วยประโยคนี้ของเจ้า ข้าจะไม่พูดกับเจ้าอีกสักคำ…”

หลินสวินยิ้มรับ ไม่คิดเล็กคิดน้อยอีก

เขาเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศพลางสัมผัสพลังมหามรรคของเขตแดนดาราอีกาขาวแห่งนี้ สัมผัสได้อย่างฉับไวจักรวาลฟ้าดาราแถบนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ระเบียบมหามรรคที่ปกคลุมก็แข็งแกร่งและมั่นคงหาใดเปรียบ ไม่ใช่สิ่งที่ทางเดินโบราณฟ้าดาราเทียบได้จริงๆ

อีกทั้งระหว่างทางหลินสวินยังเจอโลกมากมาย โลกแต่ละแห่งล้วนมีทิวทัศน์และอารยธรรมการฝึกปราณที่แตกต่างกัน

ในบางโลกมีสำนักแออัดเรียงราย วิชามรรคเฟื่องฟู แต่การแข่งขันกลับเหี้ยมโหดหาใดเปรียบ เพื่อแย่งชิงทรัพยากรในการฝึกปราณ ทุกหนแห่งล้วนมองเห็นการปะทะนองเลือดขนาดใหญ่

ในบางโลกมีระดับจักรพรรดิชั้นยอดบางส่วนยืนตระหง่าน อาศัยอยู่ในตำหนักทองอร่ามเรืองรอง ข้างกายมีสาวงามนับไม่ถ้วนปรนนิบัติ ใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่ายลุ่มหลงฟุ้งเฟ้อไปกับบ่อสุราและป่าเนื้อ มรรควิถีทั้งตัวยังทรงพลัง แต่สภาวะจิตเสื่อมโทรมแล้ว

บางโลกมีผู้ฝึกปราณเรียกตัวเองว่า ‘เทพ’ เห็นทุกคนในใต้หล้าเป็นทาส มองสิ่งมีชีวิตเป็นเนื้อบนเขียงที่แย่งชิงกันได้ วิธีการเหี้ยมโหดนองเลือด

บางโลก…

ตลอดเส้นทางนี้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เห็นหรือสัมผัส ล้วนไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อหลินสวิน แค่มองดูอยู่อย่างนั้น

บางครั้งหากเห็นภาพที่ไม่น่าชมบางอย่าง หลินสวินก็จะถือโอกาสกำจัด

ตัวอย่างเช่นมีครั้งหนึ่ง ยามหมู่บ้านซอมซ่อแห่งหนึ่งถูกสัตว์อสูรมารล้อมโจมตี หลินสวินฟาดสายฟ้าลงไปลวกๆ พวกสัตว์อสูรมารที่อยู่ทั่วทุกแห่งราวกระแสน้ำนั้นก็พินาศย่อยยับ ทำให้ชาวบ้านยากจนนับไม่ถ้วนสำนึกบุญคุณจนน้ำตาไหล หมอบคลานกับพื้นแล้วโขกหัวไม่หยุด พวกเขายังคิดว่าสวรรค์เมตตา ช่วยพวกเขาสลายวิกฤติ

แต่ส่วนมากหลินสวินจะเหมือนคนผ่านทาง ชำเลืองตาปราดเดียวแล้วเคลื่อนย้ายจากไป

เขารู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นโลกไหนหรือสถานที่ใด ขอแค่มีผู้ฝึกปราณดำรงอยู่ สุดท้ายก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าและนองเลือด

เขาไม่ใช่ผู้ช่วยชีวิต อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ไม่มีความสามารถไปคลี่คลายเรื่องทุกอย่างนี้ได้

สามวันต่อมา

ในฟ้าดาราที่กว้างใหญ่และวังเวงแถบหนึ่ง หลินสวินพลันหยุดเท้า

ฮูม…

ขณะเดียวกันห้วงอากาศทั่วสารทิศเกิดคลื่นสะเทือนอย่างรุนแรงกะทันหัน จากนั้นเงาร่างสายแล้วสายเล่าที่แผ่กลิ่นอายระดับจักรพรรดิก็ปรากฏ

เมื่อห้วงอากาศสงบลง บริเวณใกล้เคียงมีเงาร่างเพิ่มขึ้นมาหกคน มีทั้งชายและหญิง ทั้งชราและเยาว์วัย รอบตัวล้วนล้อมรอบด้วยกฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดิ

ชายสวมชุดหลากสี เท้าเหยียบรุ้งเทพสีทองคนหนึ่งที่เป็นผู้นำ อานุภาพน่าสะพรึงยิ่งกว่า มีกลิ่นอายของระดับจักรพรรดิขั้นแปด!

พวกเขายืนอยู่รอบตัวหลินสวินเหมือนสร้างกระบวนรบพร้อมปิดล้อม ยามเคลื่อนสายตามองหลินสวิน ล้วนเหมือนจับจ้องเหยื่อตัวหนึ่ง

กระบวนรบนี้ สายตานี้ รวมถึงความเยียบเย็นที่คล้ายมีคล้ายไม่มีบนสีหน้าของคนพวกนี้ ทำให้หลินสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้

นี่… ตนจะถูกปล้นหรือ

……………………..