นกกระจอกเขียวเอ่ย “ประทับกักเทพที่ผนึกพลังจิตของคนผู้นี้มาจากฝีมือระดับอมตะคนหนึ่ง นี่ก็หมายความว่าหากเจ้าคิดสลายประทับกักเทพนี้ อย่างน้อยก็ควรมีพลังระดับอมตะ”
หลินสวินอึ้งไป “ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ”
“แน่นอนว่ามี”
นกกระจอกเขียวกล่าวชี้แนะ “ในศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์นั้นของเจ้าปกคลุมด้วยพลังระเบียบสองอย่าง อย่างหนึ่งอบอวลด้วยกลิ่นอายต้นกำเนิดหงส์เซียน แม้ว่าเป็นแค่พลังส่วนหนึ่งที่บกพร่อง แต่ก็จัดอยู่ในระดับปฐพีขั้นหก… ส่วนพลังระเบียบอีกอย่าง… อืม…”
นกกระจอกเขียวพูดถึงตรงนี้แล้วลังเลอยู่บ้าง กล่าวไม่ชัดเจน “พลังระเบียบนี้เอง… ก็ไม่ได้สมบูรณ์ แต่กลิ่นอายพิเศษโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง เท่าที่เห็นอานุภาพของมันน่าจะสูสีกับพลังระเบียบระดับปฐพีขั้นเก้า แต่กลิ่นอายของมันกลับคลุมเครือหาใดเปรียบ นี่ทำให้ข้าระบุระดับขั้นโดยละเอียดของมันไม่ได้เช่นกัน”
หลินสวินได้ยินดังนี้ก็กระจ่างในใจ
เพลิงหงส์ระเบียบส่วนหนึ่งในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ต่อให้บกพร่องก็ทัดเทียมระเบียบระดับปฐพีขั้นหก
ส่วนพลังระเบียบของแดนปรินิพพานกลับชวนตะลึงหาใดเปรียบ อานุภาพเทียบได้กับระดับปฐพีขั้นเก้า! ทั้งกลิ่นอายของมันยังแข็งแกร่งกว่าระเบียบระดับปฐพีขั้นเก้าด้วย!
“แต่ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ ขอแค่เจ้าใช้หนึ่งในพลังระเบียบสองอย่างนี้ก็บดขยี้ประทับกักเทพของคนผู้นี้ได้แล้ว”
นกกระจอกเขียวกล่าว “แต่ถึงตอนนั้นพลังจิตของคนผู้นี้ก็จะกลายเป็นจุณด้วย”
หลินสวินพลันลังเลแล้ว
เนิ่นนานกว่าเขาจะหยิบหินลับกระบี่ที่สลักคำว่า ‘ลับจิตดั่งคม’ ออกมาถามนกกระจอกเขียว “เจ้ารู้จักของสิ่งนี้ไหม”
นกกระจอกเขียวจ้องมองครู่ใหญ่ ดวงตาฉลาดเฉลียวแข็งค้างเผยแววตกตะลึง แต่สุดท้ายก็ส่ายหัว “ข้ามองออกแค่หินก้อนนี้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับดูไม่ออกว่ามีความอัศจรรย์อะไรกันแน่”
นกกระจอกเขียวมาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลหยวน หยิ่งทะนงหาใดเปรียบ แม้แต่มันยังรู้สึกตกตะลึง ยิ่งพิสูจน์ความเร้นลับของหินลับกระบี่ก้อนนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
หลินสวินที่เดิมผิดหวังอยู่บ้างกำลังเตรียมเก็บหินลับกระบี่ลงไป ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่ามีกลิ่นอายประหลาดสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากตัวฟางเสวียนเจินเงียบๆ สัมผัสถึงการมีอยู่ของหินลับกระบี่
วู้ม…
ขณะเดียวกันหินลับกระบี่ในมือหลินสวินก็สั่นเล็กน้อยอย่างยากสังเกตเห็น
นัยน์ตาหลินสวินเป็นประกาย จิตรับรู้แผ่ขยายเข้าไปในร่างของฟางเสวียนเจินทันที
เจ้าหมอนี่เหมือนตกอยู่ในสภาพจำศีล พลังกายเงียบสงบ ถูกจิตรับรู้ของหลินสวินแทรกเข้าไปในร่างอย่างง่ายดาย
เนิ่นนานกว่าหลินสวินจะเจอแหล่งที่มาของกลิ่นอายประหลาดเสี้ยวนั้นได้ในที่สุด…
ในโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ของฟางเสวียนเจินหล่อเลี้ยงก้อนหินสีขาวไว้ก้อนหนึ่ง ขนาดเท่าฝ่ามือ ราบเรียบขาวกระจ่าง ราวกับหยกเทพที่นุ่มนวลกระจ่างที่สุดบนโลก แผ่แสงมรรคอ่อนโยนที่ทำให้คนสงบใจ
หลินสวินหยิบก้อนหินสีขาวนี้ออกมาโดยไม่ลังเล
เมื่อถือไว้ในมือจะรู้สึกอุ่น นุ่มนวลเบาพอเหมาะ แค่มองก็ทำให้สภาวะจิตและจิตวิญญาณของผู้คนรู้สึกสงบเหมือนถูกชะล้าง
ด้านหลังก้อนหินสลักอักษรไว้สี่คำ ‘หล่อจิตดุจหยก’
ทุกคำสละสลวย ราวกับสายลมเย็นพัดผ่าน มีความรู้สึกปลอดโปร่งอิสระ
“ลับจิตดั่งคม หล่อจิตดุจหยก…” นกกระจอกเขียวพึมพำเหมือนงุนงง คล้ายว่าในนั้นมีนัยแก่นแท้ แต่หากจะแยกแยะกลับพูดไม่ออก
ขณะเดียวกันหลินสวินก็จิตใจสั่นไหว
ลับจิตดั่งคม อักษรดั่งรอยกระบี่ เฉียบคมไร้เทียมทาน หยิ่งผยองกำแหง
หล่อจิตดุจหยก อักษรดั่งสายลมเย็น นุ่มนวลสละสลวย มีอิสระเสรี!
หินหนึ่งดำหนึ่งขาวนี้ ก้อนหนึ่งลับกระบี่ อีกก้อนหล่อจิต ขานรับซึ่งกันและกัน กลายเป็นท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่พาให้คนใจสั่นสะท้านอย่างหนึ่ง
ท่ามกลางความเลือนรางเหมือนมีเสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น
‘สามจอกแจ้งมหามรรค หนึ่งไหร่วมธรรมชาติ ฝันเมามายไม่รู้วันเวลา วัฏจักรฟื้นฟูยุคสมัย…’
เสียงนั้นราวกับมีเวทมนตร์ ดึงดูดจิตใจหลินสวินเข้าสู่สภาวะประหลาด ดั่งอยู่ในสายน้ำแห่งชะตาชีวิตที่กว้างใหญ่ไพศาล กาลเวลาเคลื่อนคล้อย วัฏจักรสับเปลี่ยน ฟองคลื่นม้วนซัดเรื่องทางโลกเวียนวน…
เสียงถอนหายใจหนึ่งพลันดังขึ้นเหนือสายน้ำแห่งชะตาชีวิตที่กว้างใหญ่นั้น แฝงความอ้างว้างและกลัดกลุ้มอย่างเห็นได้ชัด
‘เอ่ยถามกระบี่ ฟันฝ่าในวัฏจักร ก้าวเดินกลางยุคสมัยผันเปลี่ยน เสาะหาแต่กลับไม่เจอแก่นแท้…’
‘บนโลกไร้คู่ต่อกร สุดท้ายช่างเดียวดาย หรือมีเพียงความตายที่ทำให้หลุดพ้น’
‘มรรคที่อธิบายได้ มิใช่มรรคอันเที่ยงแท้ มรรคฟ้ามรรคมนุษย์ มรรคใหญ่มรรคเล็ก… สุดท้ายกลับติดอยู่ในมรรค…’
‘ฮ่าๆๆ มหามรรคบ้าบออะไรกัน ไร้สาระทั้งนั้น!’
แต่ละคำราวอสนีบาตสะท้านฟ้า ดังก้องสะเทือนจนหลินสวินใจสั่น สมองบวมจนปวดแสบ
เมื่อเขารู้สึกว่าใกล้จะรับไม่ไหว เสียงนั้นพลันเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำและนิ่งสงบ ราวกับคลายใจและปล่อยวางได้อย่างสมบูรณ์
‘ช่างเถอะ มรรคนี้ไม่กระจ่าง ก็แค่แปรนิพพานอีกครั้ง สร้างหนทางใหม่ขึ้นมา…’
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ในหัวหลินสวินปรากฏภาพหนึ่งขึ้นมาเงียบๆ…
ในสถานที่เงียบสงัดแห่งหนึ่ง เงาร่างสายหนึ่งหันหลังเดินเข้าไปในความว่างเปล่าไร้ขอบเขต ทั้งตัวยับเยิน กลายเป็นละอองแสงนับไม่ถ้วนก่อนลอยล่องหายไป
เหลือเพียงสถานที่เงียบสงัดแห่งนั้น อ้างว้างมาตั้งแต่โบราณกาล
ในความรางเลือน หลินสวินเห็นว่าส่วนลึกของสถานที่นั้นเหมือนมีประตูบานหนึ่งปิดลงช้าๆ ส่วนลึกยิ่งกว่าของบานประตูมีเสียงกระบี่ครวญดังขึ้น
ตูม!
เมื่อได้ยินเสียงกระบี่ครวญนี้ หลินสวินเพียงรู้สึกว่าสมองแทบระเบิด พลังลึกลับคลุมเครือนับไม่ถ้วนจู่โจมจิตใจ ทำให้เขาสั่นไปทั้งตัว สภาวะจิตล้วนมีสัญญาณว่าจะพังทลาย
กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่
หลินสวินเพียงรู้สึกว่ามึนศีรษะ ทุกอย่างที่พบเห็นและรู้สึกก่อนหน้านี้ล้วนหายไป
มีแค่เสียงครวญเลือนรางวนเวียนอยู่ในส่วนลึกของก้นบึ้งจิตใจ ‘นายท่าน ข้าจะทำลายพันธนาการ หลุดพ้นจากแหล่งสถานอัศจรรย์มุ่งหน้าไปหาท่านแน่…’
เสียงครวญนั้นแฝงความโศกเศร้าและเด็ดเดี่ยวอย่างเด่นชัด
เมื่อหลินสวินต้องการสัมผัสดูอย่างละเอียด แม้แต่เสียงครวญนี้ก็หายไปจนไร้ร่องรอย
คล้ายทุกอย่างที่เพิ่งผ่านมาคือแดนฝันที่ไม่ใช่ความจริง
ครู่ใหญ่หลินสวินจึงถอนใจยาว ค่อยๆ ได้สติและใจเย็นลง เหลือบสายตามองหินลึกลับสองก้อนในมือ
ทุกเหตุการณ์ที่เห็นเมื่อครู่ต้องเป็นร่องรอยเจตจำนงที่เหลืออยู่บนหินสองก้อนนี้แน่
เงาร่างที่หันหลังเดินไปในความว่างเปล่านั้น แน่นอนว่าเป็นเจ้าของหินลับกระบี่และหินหล่อจิตนี้ เป็นผู้ยิ่งใหญ่บนมรรคกระบี่คนหนึ่งที่ฟันฝ่าในวัฏจักร ก้าวเดินผ่านศักราชมหายุคมากมาย!
บนโลกไร้คู่ต่อกร สุดท้ายช่างเดียวดาย!
ความหมายที่ประโยคนี้แสดงออกมาได้พิสูจน์โดยไร้ข้อกังขา ว่าบนมรรคกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ระดับตำนานคนนี้บรรลุถึงขั้นเป็นประวัติการณ์แล้ว
แต่สุดท้ายผู้ยิ่งใหญ่ระดับตำนานคนนี้กลับเลือกแปรนิพพาน เริ่มต้นใหม่อีกครา ต้องการสร้างหนทางใหม่ ก้าวเดินสู่มรรคาอีกครั้ง!
สาเหตุอยู่ที่เขาคิดเองว่าตนหาเส้นทางทะลวงปราณและหลุดพ้นไม่เจออีกแล้ว…
นี่ทำให้หลินสวินอดตะลึงไม่ได้ ไม่อาจจินตนาการว่าผู้ยิ่งใหญ่ระดับตำนานคนนี้บรรลุถึงขั้นใดบนมรรคากันแน่ ถึงตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้
สิ่งเดียวที่แน่ใจได้คือคนผู้นี้นิพพานใน ‘แหล่งสถานอัศจรรย์’ แล้วหายไปจากโลก
ก่อนเขาจากไปเกรงว่าคงผนึกกระบี่คู่กายไว้ในแหล่งสถานอัศจรรย์ ด้วยเหตุนี้หลังจากเขาจากไป กระบี่คู่กายเล่มนั้นจึงเหมือนมีจิตวิญญาณ ส่งเสียงครวญแฝงความโศกเศร้าอย่างเด่นชัด…
‘แหล่งสถานอัศจรรย์ ผู้ยิ่งใหญ่บนมรรคกระบี่ กระบี่คู่กายครวญคร่ำ…’
หลินสวินจมสู่ห้วงความคิด
แหล่งสถานคุนหลุน แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ แหล่งสถานศุภโชค แหล่งสถานอัศจรรย์ แรกเริ่มเดิมทีล้วนกระจายอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา
กระทั่งต่อมาแหล่งสถานคุนหลุนกับแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ต่างประสบเคราะห์ ต้นกำเนิดหมดกำลัง ส่วนแหล่งสถานศุภโชคกับแหล่งสถานอัศจรรย์ก็สาบสูญไร้ร่องรอย
โดยเฉพาะแหล่งสถานอัศจรรย์ที่ลึกลับไม่อาจหยั่งรู้ที่สุด ตั้งแต่อดีตเรื่อยมาจนปัจจุบัน ผู้เก่งกาจมากมายถึงขั้นเชื่อว่าหากอยากเจอแหล่งสถานอัศจรรย์ ย่อมมีเพียงก้าวผ่านฟ้าดารา มุ่งหน้าไปยังอีกฟากฝั่งจึงจะเจอเบาะแส
ส่วนเพลิงมรรคอัศจรรย์ในมือหลินสวินก็มีกฎกรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับแหล่งสถานอัศจรรย์
ตอนนี้ด้วยผ่านเหตุการณ์คาดไม่ถึงมากมายเมื่อครู่นั้นจึงทำให้หลินสวินตระหนักได้ ว่าเจ้าของหินลับกระบี่และหยกหล่อจิตในมือนี้เคยเข้าไปในแหล่งสถานอัศจรรย์!
น่าเสียดาย หลินสวินไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร ทั้งไม่รู้ที่มาของเขา ไม่อาจคาดเดาเรื่องราวได้มากนัก
“เมื่อครู่เจ้าเหมือนค้นพบอะไรบางอย่าง?” นกกระจอกเขียวพลันเอ่ยปากถาม
หลินสวินพยักหน้า จากนั้นจึงกล่าวอย่างใจเต้น “ไม่ผิด เจ้าของสมบัติสองชิ้นนี้เคยเข้าไปในแหล่งสถานอัศจรรย์ เชี่ยวชาญด้านมรรคกระบี่ ระดับความรู้ลึกซึ้งถึงขั้นไร้คู่ต่อกรเป็นประวัติการณ์…”
นกกระจอกเขียวฟังจบแล้วกล่าวอย่างมึนงง “ทำไมข้าถึงไม่รู้ว่าในกาลเวลาไร้สิ้นสุดมีผู้เก่งกาจบนมรรคกระบี่เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เช่นนั้นเจ้ารู้จักแหล่งสถานอัศจรรย์หรือไม่” หลินสวินถาม
นกกระจอกเขียวพูดโดยไม่ต้องคิด “แน่นอนว่ารู้จัก เมื่อนานมาแล้วโลกยอดนิรันดร์มีขุมอำนาจนับไม่ถ้วนเสาะหาแหล่งสถานอัศจรรย์นี้ คิดว่าในแหล่งสถานนี้มีนัยเร้นลับวัฏจักรที่สมบูรณ์อยู่ สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณไม่ดับสูญท่ามกลางยุคสมัยผันเปลี่ยน”
“แต่ไม่มีใครเจอแหล่งสถานอัศจรรย์นี้สักคน ถึงขั้นว่าในโลกยอดนิรันดร์ก็มีคนพูดถึงเรื่องนี้น้อยนัก”
หลินสวินกล่าวอย่างประหลาดใจ “นัยเร้นลับวัฏจักรที่สมบูรณ์?”
เขาพลันนึกขึ้นมาได้ ในระเบียบนิพพานของตนก็มีโลกที่เหมือนวัฏจักรแห่งหนึ่ง! ปีนั้นเขายังเคยเข้าไปในวัฏจักรนี้เพื่อสร้างมรรควิถีขึ้นใหม่!
“นี่เป็นแค่การสันนิษฐานและคาดเดา ไม่มีใครรู้ว่าในแหล่งสถานอัศจรรย์ซ่อนอะไรไว้กันแน่” นกกระจอกเขียวส่ายหัวกล่าว
หลินสวินพยักหน้า
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงเก็บหินลับกระบี่และหยกหล่อจิตลงไป จากนั้นก็เคลื่อนสายตามองฟางเสวียนเจินที่ตกอยู่ในสภาพจำศีล
“เขาจะตื่นขึ้นมาเองได้หรือไม่” หลินสวินเอ่ยถาม
นกกระจอกเขียวกล่าว “ได้แน่นอน แต่อย่างน้อยก็หลังจากนี้ร้อยปี นี่ก็คือค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายในการใช้ประทับกักเทพ ไม่มีใครรอดไปได้”
หลินสวินทอดถอนใจ รู้ว่าในเวลาอันสั้นตนคงไม่อาจหาเบาะแสเกี่ยวกับเจ้าของหินลับกระบี่เพิ่มจากฟางเสวียนเจินนี่ได้แล้ว
หลินสวินคิดไปคิดมาก่อนกำราบฟางเสวียนเจินเข้าไปในเจดีย์ไร้สิ้นสุด เวลาแค่ร้อยปีเท่านั้น เขารอได้อยู่แล้ว
หลังจากนั้นหลินสวินเริ่มนั่งสมาธิ
วันต่อมาหลินสวินก้าวออกจากอุโมงค์ใต้ดิน
กลางฟ้าดินสีเลือดไร้ขอบเขต เงาร่างเขาเคลื่อนย้ายว่องไว ตามหามารมายาวิญญาณโลหิตระดับจอมราชัน
ก่อนหน้านี้หลังจากกำจัดพวกฟางเสวียนเจินจนสิ้นซาก ในบรรดาทรัพย์หลังศึกที่เก็บมาได้ก็มีมุกบริสุทธิ์ของมารมายาระดับจอมราชันเม็ดหนึ่ง
หรือพูดได้ว่าตอนนี้หลินสวินมีมุกบริสุทธิ์สองเม็ดแล้ว แค่หาอีกแปดเม็ดก็ควบรวม ‘ห่วงวิญญาณอสูรอสนี’ ได้
แค่อาศัยสมบัตินี้ก็จะผ่านอสนีโลหิตที่ปกคลุมเวิ้งฟ้านั้นได้ ก้าวออกจากสมรภูมิมายาโบราณนี้ไปยังสมรภูมิต่อไป ‘แดนสิ้นจิตวิญญาณ’
ขณะเดียวกันในบริเวณต่างๆ ของสมรภูมิมายาโบราณ ก็มีเงาร่างมากมายกำลังตามหามารมายาวิญญาณโลหิตระดับจอมราชันเช่นกัน
ใครต่างก็รู้ว่าสิ่งนี้เกี่ยวโยงว่าจะออกจากสมรภูมิมายาโบราณได้หรือไม่!
…………………