ด่านนภาอมตะน้อยใหญ่สี่สิบเก้าด่านกระจายกันอยู่ในแดนใหญ่พันศึก
นอกแดนนรกเซินหลัวก็คือด่านนภาอมตะด่านแรก มีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เมืองตั้งต้น’
เป็นนัยว่าผู้ที่เข้ามาที่นี่ ล้วนเรียกได้ว่ามีคุณสมบัติเริ่มเดินทางต่อไปได้!
“กฎของเมืองตั้งต้นง่ายมาก ห้ามการเข่นฆ่าทั้งหมด ใครละเมิดกฎจะเลือกได้เพียงสองทาง”
“หนึ่งคือตาย”
“อีกหนึ่งก็คือถูกฝังคำสาปผนึกหมื่นยอด กลายเป็นทหารปกป้องเมือง ไม่อาจหลุดพ้นได้ชั่วชีวิต”
นกกระจอกเขียวเอ่ยชี้แนะ “อานุภาพของคำสาปผนึกหมื่นยอดเจ้าเคยผ่านตามาแล้ว สหายของเจ้าสองคนนั้นต่างถูกคำสาปนี้ควบคุมชีวิต หากเป็นเช่นนี้จะต่างอะไรกับตกเป็นทาส สู้ถูกฆ่าไปเสียเลยจะดีกว่า”
หลินสวินฟังอยู่เงียบๆ
“ถ้าข้าสันนิษฐานถูกต้อง ตอนนี้ขุมอำนาจที่คุ้มกันประตูเมืองอยู่มาจากขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลเหิง ย่อมมีบรรพจารย์มรรคผู้หนึ่งสั่งการ หาไม่แล้วคงไม่มีทางเขย่าขวัญระดับจักรพรรดิที่เข้าไปในเมืองเหล่านั้นได้”
นกกระจอกเขียวเอ่ย “ส่วนเรื่องอื่น รอเจ้าเข้าเมืองไปก็รู้แล้ว”
หลินสวินพยักหน้า ตรงดิ่งไปเหยียบลงบนแท่นมรรคสีดำรูปร่างคล้ายกงล้อนั้น
วู้ม…
เมื่อคลื่นห้วงอากาศระลอกหนึ่งไหลเวียน เงาร่างของหลินสวินก็หายลับไปทันที
……
ฟ้าดินเวิ้งว้าง หมู่ภูเขาสลับซับซ้อน
บัดนี้หลินสวินยืนอยู่หน้าเมืองใหญ่เก่าแก่ที่เกรียงไกรเด่นตระหง่านเมืองหนึ่ง ดูเล็กจ้อยเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับกำแพงเมืองกระดำกระด่างสูงถึงพันจั้งนั้น
อยู่ตรงนี้ไม่อาจดูออกสักนิดว่าเมืองนี้ใหญ่โตเพียงไหนกันแน่ แต่กลับสัมผัสกลิ่นอายที่ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานได้อย่างชัดเจน
หลินสวินหันหน้าไปก็เห็นหมู่ภูเขาไพศาล เมฆหมอกอบอวล ตัวภูเขาสูงต่ำเชื่อมต่อกันไกลสุดลูกหูลูกตา
‘นอกเมืองตั้งต้นมีแต่สถานที่มากอันตราย ข้าขอเตือนให้เจ้าเข้าไปในเมืองทันทีจะดีที่สุด อย่าเดินมั่วซั่ว’
นกกระจอกเขียวสื่อจิตเตือน มันกลับเข้าไปในถุงหอมแล้ว บอกว่ากังวลว่าถ้าฐานะของมันโดนมองออก จะสร้างความยุ่งยากให้หลินสวินโดยไม่จำเป็น
หลินสวินขานรับ สายตามองไปยังเมืองใหญ่อันเกรียงไกรเด่นตระหง่านนั้นอีกครั้ง
รอยดาบ รูกระบี่ ร่องรอยกระดำกระด่างเก่าแก่กระจายอยู่เต็มกำแพงเมือง กลิ่นอายกาลเวลาหนาหนักยากปิดบังนั้นเพิ่มความรู้สึกเวิ้งว้าง
พอจะเห็นคลื่นผนึกอันคลุมเครือไหลเวียนวับแวม ที่นี่เป็นด่านนภาอมตะด่านแรกของแดนใหญ่พันศึก ย่อมมีกระบวนค่ายกลประทับอยู่บนกำแพง คุ้มครองให้ที่นี่ผาสุก ผ่านเคราะห์สังหารชั่วกาลแล้วก็ยังไม่เสื่อมสลาย
ประตูเมืองโอ่โถงเก่าแก่สร้างขึ้นจากหินสีดำแกมเขียวที่หายากชนิดหนึ่ง สองฝั่งของประตูเมืองมีทหารยามสองกองเฝ้าอยู่
ล้วนสวมเกราะถืออาวุธ เงาร่างและใบหน้าถูกปกคลุมอยู่ใต้เกราะสีดำ แต่ดูจากกลิ่นอายที่อบอวลมาจากตัว ล้วนเป็นระดับจักรพรรดิขึ้นไป
พลังปราณอยู่ระหว่างระดับจักรพรรดิขั้นสามถึงระดับจักรพรรดิขั้นหกโดยประมาณ
ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังน่าตกตะลึงถึงที่สุด ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นมหาจักรพรรดิกลุ่มหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับเป็นผู้เฝ้าประตูหน้าด่านนภาอมตะแห่งนี้เท่านั้น
ตามคำพูดของนกกระจอกเขียว คนเหล่านี้ล้วนเป็นพวกที่ในอดีตละเมิดกฎในเมือง จึงถูกผนึกวิญญาณไว้ กลายเป็นเพียงผู้คุ้มกันในเมืองตลอดกาล
หน้าประตูเมืองสูงตระหง่านมีหลินสวินเพียงคนเดียว ดังนั้นทันทีที่เขาปรากฏตัวก็ดึงดูดความสนใจของทหารยามสองกองนั้น
หลินสวินสีหน้านิ่งเฉย เดินตรงดิ่งไปข้างหน้า
“ป้ายประจำตัว” ทหารยามรูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดเกราะสีดำ มือถือกระบี่สำริดยักษ์คนหนึ่งเอ่ยปาก ไอสังหารน่าหวาดหวั่น
หลินสวินส่งป้ายชื่อออกไป
ทหารยามหยิบมาดูแล้วมองหลินสวินอีกครั้ง ก่อนเอ่ยว่า “ผู้เข้าเมืองปกติต้องชำระผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งหนึ่งหมื่นก้อน ถ้าไม่พอก็ให้ใช้สมบัติมาแลก…”
ไม่ทันพูดจบหลินสวินก็โยนถุงเก็บของถุงหนึ่งออกไป ทหารยามตรวจดูรอบหนึ่ง แล้วจับจ้องหลินสวินอย่างอดไม่ได้คราหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ได้แล้ว”
ขณะพูดก็คืนป้ายประจำตัวให้หลินสวิน
หลินสวินพยักหน้า ตรงดิ่งเข้าไปในเมือง
“จำไว้ ห้ามต่อสู้หรือเข่นฆ่าในเมือง หาไม่แล้วไม่ว่าเจ้าเป็นใคร จะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่อาจรับไหวทั้งนั้น!”
เสียงเย็นชาของทหารยามลอยมา
หลินสวินกลับไม่หันกลับไป ไม่นานนักเงาร่างหายลับไปในประตูเมือง
“คนผู้นี้ฝ่าผ่านแดนนรกเซินหลัวคนเดียวได้ ต้องเป็นคนแข็งแกร่งคนหนึ่งแน่!”
ทหารยามที่อยู่บริเวณประตูเมืองวิจารณ์เสียงเบา
มีเพียงทหารยามที่ตรวจป้ายประจำตัวหลินสวินก่อนหน้านี้ที่กวักมือ ทันใดนั้นก็มีทหารยามร่างผอมบางคนหนึ่งเข้ามาใกล้
“ไปหอท้องฟ้า หาใต้เท้าเหวินเซ่าเหิง และบอกว่าเป้าหมายปรากฏตัวแล้ว”
“ขอรับ!”
ทหารยามผอมบางรีบร้อนจากไป
……
เมืองใหญ่โตมหึมา ถนนกว้างขวางหาใดเทียบ พบเห็นต้นไม้เก่าแก่หยั่งรากลดเลี้ยว ค้ำจุนยอดต้นไม้ค้ำฟ้าไปทุกที่ สิ่งก่อนสร้างเก่าแก่เรียงรายเป็นทิวแถว ตั้งอยู่ตามถนนน้อยใหญ่
ทั้งเรือนโอสถ ร้านอาวุธ โรงเตี๊ยม หอสุรา… หลากหลายไปหมด
คนสัญจรตามถนนดั่งผืนแพร รถม้าวิ่งกันขวักไขว่ เสียงตะโกนเสียงขายของต่างๆ ดังขึ้นเป็นระลอก คึกคักเซ็งแซ่
หลินสวินยังประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ เพราะเงาร่างที่พบเห็นตลอดทางนี้ แม้มาจากเผ่าต่างกันไป แต่ส่วนมากล้วนมีพลังปราณต่ำกว่าระดับจักรพรรดิ!
เด็กที่วิ่งไล่จับเล่นสนุกอยู่ตามถนนบางคน ถึงกับเพิ่งเริ่มฝึกปราณไม่นาน
เรื่องนี้ช่างยากจะทำใจเชื่อ
ควรรู้ว่าที่นี่เป็นถึงแดนใหญ่พันศึก หากต้องการมาถึงเมืองนี้ยังต้องข้ามสมรภูมิมายาโบราณ แดนสิ้นจิตวิญญาณ แดนนรกเซินหลัว ระหว่างทางไอสังหารซุ่มซ่อนไปทั่ว รอดชีวิตได้ยากนัก!
ระดับจักรพรรดิยังต้องเสี่ยงอันตรายครั้งใหญ่ แต่สิ่งมีชีวิตในเมืองนี้ส่วนมากกลับอยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิ…
จะไม่ให้แปลกใจได้อย่างไร
และนกกระจอกเขียวก็ให้คำตอบทันใด
ในอดีตที่ผ่านมา ยามที่มีระดับจักรพรรดิมากมายมุ่งหน้ามาแดนใหญ่พันศึก ได้นำครอบครัวกับคนในตระกูลบรรจุลงในสมบัติที่พกติดตัวมาด้วย หมายจะไปยังโลกยอดนิรันดร์ด้วยกัน
แต่ระหว่างทางประสบอันตรายมากมายเกินไป ระดับจักรพรรดิเหล่านี้กังวลว่าถ้าไปต่ออีก เป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะพบเจอเหตุไม่คาดฝัน จึงให้ครอบครัวและคนในตระกูลเหล่านี้อยู่ในเมือง
เมื่อผ่านการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด เหล่าคนที่ถูกทิ้งไว้ในเมืองก็ยิ่งมีมากขึ้น พวกเขาพำนักและขยับขยายในเมืองนี้ จึงเกิดภาพที่หลินสวินเห็นในตอนนี้
หลินสวินถึงได้กระจ่าง เช่นนี้ก็สมเหตุสมผลแล้ว
เขาเดินไปตลอดทาง พบเห็นผู้มีพลังปราณไม่ว่าสูงต่ำต่างอยู่ด้วยกันอย่างกลมเกลียว เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่พบเห็นคนรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าสักคน
นี่คล้ายคลึงกับสถานการณ์ตอนอยู่ในเมืองข้ามแดนอยู่บ้าง
หลินสวินเดินท่องไปในเมืองคนเดียว ทำความเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ พลางเงยมองเวิ้งฟ้าเป็นครั้งคราว มีม่านแสงผนึกลึกลับแถบชั้นหนึ่งปกคลุมไปทั้งเมือง นอกม่านแสงคือฟ้าดาราไร้ขอบเขต ดวงดาราโคจรพริบไหวไปทั้งฟ้า งดงามลึกลับ
‘ดูท่าจะเลือกทะลวงขั้นที่นี่ได้จริงๆ’ หลินสวินครุ่นคิด
ที่อื่นอันตรายเกินไป เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่ในเมืองตั้งต้นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องกังวลถึงปัญหาพวกนี้
ไม่นานนักหลินสวินก็หาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ทันทีที่คนดูแลอ้าปากก็เรียกเอาผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งสิบก้อน ทำเอาหลินสวินยังอึ้งไปอย่างอดไม่ได้ ราคาที่นี่จะเกินเหตุไปแล้ว
ผู้ดูแลก็อธิบาย อ้างว่าผู้ที่สามารถเข้าพักในโรงเตี๊ยมได้ล้วนเป็นระดับมหาจักรพรรดิที่เงินไม่ขาดมือทั้งนั้น…
หลินสวินอดยิ้มหยันไม่ได้ แต่เขาก็มีเงินไม่ขาดมือจริงๆ เขาทิ้งผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งไว้ถุงหนึ่งแล้วจองห้องพักสิบวันทันที
เมื่อเดินเข้าไปในห้อง หลินสวินลอบพยักหน้าอย่างอดไม่ได้ โรงเตี๊ยมนี้มีพลังผนึกอันวิจิตรละเอียดนานาชนิดกระจายอยู่ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคนนอกสอดส่อง
แต่หลินสวินยังวางผนึกด้วยมือตัวเองอีกชั้นก่อนนอนเกียจคร้านบนเตียง พ่นลมหายใจยาวๆ อย่างสบาย
ตั้งแต่เข้าไปในสมรภูมิมายาโบราณจนตอนนี้ ผ่านการเข่นฆ่าและอันตรายมาไม่รู้เท่าไร ทำให้จิตใจเขาตึงเครียดตลอดเวลา เพิ่งได้ผ่อนคลายก็ตอนนี้
ครู่ใหญ่จู่ๆ หลินสวินก็พูดกับตัวเอง “หมีอู๋หยากับเยียนอวี่โหรวยังอยู่ในเจดีย์สมบัติของข้า ในสถานการณ์เช่นนี้ จะถูกเหวินเซ่าเหิงสัมผัสได้หรือไม่”
นกกระจอกเขียวเอ่ย “คำสาปผนึกหมื่นยอดเชื่อมต่อผ่านวิญญาณ พลังสมบัติไม่อาจตัดขาดได้ พูดอีกอย่างก็คือ หากเหวินเซ่าเหิงคนนั้นอยู่ในเมืองตั้งต้นนี้ จะต้องสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเจ้าทันที”
หลินสวินร้องอ้คำหนึ่ง เอ่ยว่า “บุคคลชั้นสูงจากโลกยอดนิรันดร์อย่างเขา ถ้าละเมิดกฎในเมืองจะถูกลงโทษหรือไม่”
นกกระจอกเขียวคิดๆ แล้วเอ่ยว่า “โดยทั่วไปแล้วต่อให้เป็นคนใหญ่คนโตจากเผ่าจักรพรรดิอมตะของโลกยอดนิรันดร์ ยังน้อยนักที่จะกล้าลงมือในเมืองนี้ แต่ในกรณีพิเศษบางครั้ง… อืม ต่อให้พวกเขาลงมือก็ต้องหาเหตุผลที่เพียงพอ”
“เช่นอะไร”
“สร้างสถานการณ์”
“สร้างสถานการณ์หรือ” หลินสวินอึ้งไป แววตาประหลาด
นกกระจอกเขียวเอ่ยเสียงเรียบ “ถ้าเกิดเหวินเซ่าเหิงหาแพะรับบาปบางส่วนมาหาเรื่องเจ้า แล้วเจ้ากับแพะสู้กันขึ้นมา ในกรณีนี้ ถ้าแพะบอกว่าเจ้าลงมือก่อน แถมยังมีหลายคนยืนยันเรื่องนี้ เจ้าว่าหากเจ้าเป็นเจ้าเมืองจะลงโทษใคร”
หลินสวินคิดแล้วเอ่ยว่า “แม้วิธีนี้จะโกงไปหน่อย แต่ก็เป็นวิธีที่ได้ผลฉับไวที่สุดจริงๆ”
“แต่กุญแจสำคัญคือต้องดูท่าทีของเจ้าเมือง ถ้าเจ้าเมืองยินยอมพร้อมใจกับเรื่องนี้ อย่าว่าแต่สร้างสถานการณ์เลย ต่อให้ฆ่าเจ้าตรงๆ ก็ยังยัดข้อหาให้เจ้าได้”
เสียงนกกระจอกเขียวเผยแววถากถาง “กล่าวอย่างไม่เกินจริง ถ้าเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านี้อยากเก็บคนที่มาจากโลกพันจักรวาลอย่างเจ้า วิธีการมีถมเถ แต่ในกรณีทั่วไปไม่มีใครทำเรื่องแบบนี้อย่างออกหน้าออกตาหรอก”
หลินสวินคิดๆ แล้วเอ่ย “พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าพวกเขาอยากจัดการใคร จะเลือกลงมือลับๆ ไม่กระโตกกระตากใช่ไหม”
นกกระจอกเขียวเอ่ย “ใช่แล้ว แต่โดยทั่วไปเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้น้อยยิ่ง ถึงอย่างไรสาเหตุที่ด่านนภาอมตะยืนหยัดมาถึงตอนนี้ได้ ก็เพราะกฎที่ดำรงมาชั่วกาลไม่ได้ถูกใครทำลายได้ง่ายๆ”
“ต่อให้เป็นเผ่าจักรพรรดิอมตะที่จะผลัดกันควบคุมเมืองนี้เป็นช่วงๆ ปกติก็ยังไม่กล้าทำลายกฎที่ทุกคนร่วมกันตั้งขึ้น”
หลินสวินยิ้มขึ้นมา ดวงตาดำลุ่มลึก เอ่ยเบาๆ ว่า “แต่ข้าว่าเหวินเซ่าเหิงคนนี้… ไม่สนใจกฎพวกนี้หรอก…”
ขณะที่พูดเขาก็หลับตาลงช้าๆ เริ่มงีบหลับ ดูผ่อนคลายสบายใจ
นกกระจอกเขียวนิ่งคิด ไม่ออกความเห็น
มันรู้ดีที่สุดว่าเหวินเซ่าเหิงแค้นหลินสวินมากขนาดไหน ถ้ามั่นใจพอ ย่อมไม่มีทางอดทนไม่ลงมือเพราะเห็นว่าที่นี่เป็นด่านอมตะแน่
ในเวลาเดียวกันนั้น
ชั้นสูงสุดของหอสูงตระหง่านค้ำฟ้าแห่งหนึ่ง
ที่นี่คือหอท้องฟ้า อาคารเก่าแก่ที่สูงที่สุด โอ่โถงที่สุดในเมืองตั้งต้น
ขณะนี้เหวินเซ่าเหิงสวมชุดยาวสะพายกระบี่ ยืนพิงรั้วพลางทอดมองไปไกล เมืองใหญ่โตยืดยาวราวกับไร้สิ้นสุด ถนนเหมือนใยแมงมุม ตึกรามบ้านช่องเรียงราย คนสัญจรขวักไขว่…
ทิวทัศน์เกินกว่าครึ่งล้วนอยู่ในสายตา!
——