เหตุการณ์ต่อเนื่องล้วนเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว
เร็วจนเหลือเชื่อ
ทั้งยังลึกลับดุดันถึงขีดสุด!
หากไม่ใช่ว่าหลินสวินหลบทัน เป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะถูกโจมตี!
ห้องคืนสู่ความเงียบสงัด
แสงมรรคทั้งตัวหลินสวินไหลเวียน ดวงตาดำเย็นชาจนน่ากลัว
โรงเตี๊ยมแห่งนี้สร้างห้วงอากาศทับซ้อนไว้เป็นชั้นๆ แต่ละห้องก็คือห้วงอากาศที่เป็นเอกเทศแห่งหนึ่ง อีกทั้งต่อให้ตัดพลังผนึกที่หลินสวินวางไว้ออก รอบๆ โรงเตี๊ยมก็มีพลังผนึกปกคลุมอยู่เช่นกัน
แต่มือสังหารผู้นั้นกลับลอบจู่โจมกะทันหันอย่างเงียบเชียบ แค่คิดก็รู้ว่าที่มาไม่ใช่เล่นๆ
ฟึ่บ!
หลินสวินสะบัดแขนเสื้อทันใด
ก็พบว่าห้วงอากาศมีแต่ระลอกคลื่นหนึ่ง จากนั้นก็กลับสู่ความเงียบสงบ
และควรรู้ว่าพลังการสะบัดแขนเสื้อของหลินสวิน สามารถเผาภูผาต้มสมุทร ปั่นป่วนจักรวาล แต่ตอนนี้กลับถูกพลังแปลกประหลาดบางอย่างต้านทาน
นี่ทำให้เขานิ่วหน้า แสงมรรคเร้นลับโคจรอยู่ในดวงตา สำแดงเปิดตาทิพย์เงียบๆ
ภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปทันที
มืดมิดไปหมด เงียบเชียบไร้เสียง ไม่รู้ขนาดของมัน เหมือนตกอยู่ในห้วงราตรีนิรันดร์ ไม่อาจสัมผัสแสงเงาได้สักนิด
“น่าสนใจ ถึงกับทำให้ข้าตกลงมาในข่ายอาคมแดนลับแห่งหนึ่งอย่างเงียบๆ ได้”
หลินสวินมองไปรอบๆ สีหน้าเรียบเฉยไม่หวั่นไหว
ที่นี่ตัดขาดการสอดส่องของจิตรับรู้ หรือก็หมายความว่าการรับรู้ถูกขวางกั้น อีกทั้งภาพที่เห็นตรงหน้าก็อาจจะไม่ใช่ความจริง
จริงแท้ลวงหลอก ลึกลับสุดหยั่ง
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ จวบจนตอนนี้หลินสวินยังไม่รู้สึกถึงร่องรอยของมือสังหารนั้น
ประกายคมริ้วหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน หลอมรวมเข้าไปท่ามกลางความมืดมิด กลิ่นอายเก็บซ่อนถึงขีดสุด ไม่แพร่งพรายระลอกคลื่นพลังสักนิด แล้วแทงไปที่หลินสวินอย่างฉับไว
ก็พบว่าหลินสวินเอนตัว ประกายคมแปลกประหลาดไร้เสียงนั้นพุ่งผ่านแก้มด้านหนึ่งของเขา จากนั้นก็หายลับไปเงียบๆ
เหตุการณ์อันตรายยิ่งนี้ทำให้ไม่ว่าระดับจักรพรรดิคนใดก็หน้าเปลี่ยนสี
ทว่าตั้งแต่เริ่มจนจบ หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย ขนาดตายังไม่กะพริบ นิ่งสงัดดั่งวารี
มิหนำซ้ำพร้อมๆ กับที่เขาเอนตัว
เสียงชิ้งหนึ่งดังขึ้น เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งพลันเปล่งประกายเจิดจ้า กระบี่มรรคเล่มหนึ่งโฉบออกมาแทงไปในห้วงอากาศเบื้องหน้าจุดหนึ่ง
จุดที่เดิมมืดมิดว่างเปล่านั้นพลันเกิดเสียงดังสนั่น ถูกกระบี่มรรคซัดจนปั่นป่วนยุ่งเหยิง จากนั้นเงาร่างหนึ่งฉายวาบออกมาทันที
หลินสวินฉวยจังหวะนี้พุ่งออกไปข้างหน้าทันที มือหนึ่งตบออกไป
ตูม!
โลกที่ประหนึ่งดำมืดเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ห้วงอากาศเหมือนท้องทะเลถาโถมซัดสาด
แต่กลับไม่พบเงาร่างสีดำนั้น
หลินสวินเลิกคิ้วอย่างอดไม่ได้ เอ่ยว่า “สามารถครอบครองมรรคลอบสังหารได้ขนาดนี้ ดูท่าเจ้าคงเทียบกับคนทั่วไปไม่ได้”
ไม่มีใครตอบ
ดวงตาดำหลินสวินลุ่มลึก ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดูสงบนิ่งไม่กระวนกระวายสักนิดเช่นกัน
นี่ก็เหมือนดั่งสงครามเย็น หนึ่งสว่างหนึ่งมืด ต่างฝ่ายต่างกำลังหาช่องโหว่ที่สามารถสังหารได้ในการโจมตีเดียว หากไม่ระวังเพียงนิด เป็นไปได้สูงยิ่งว่าอาจชี้เป็นชี้ตายได้!
หลายปีมานี้หลินสวินเพิ่งเจอการลอบสังหารที่พิสดารสุดคาดเดาเช่นนี้เป็นครั้งแรก
แต่เขาไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ฝึกปราณจนถึงตอนนี้ ผ่านการต่อสู้ตัดสินเป็นตายมานักต่อนัก ขัดเกลาสัญชาตญาณการต่อสู้ที่น่ากลัวถึงขีดสุดมานานแล้ว
ต่อให้จิตรับรู้ถูกปิดกั้น ไม่อาจรับรู้ อาศัยสัญชาตญาณการต่อสู้ก็ทำให้เขาไม่กลัวการต่อสู้กับมือสังหารในความมืดนี้
ทันใดนั้นเงาร่างหลินสวินไหววูบ
ในความมืดใต้เท้าเขา ประกายคมสายหนึ่งอุบัติขึ้นอย่างฉับไว พริบวาบแล้วหายลับไป เกิดขึ้นกะทันหัน แปลกประหลาดเงียบเชียบ
หากเปลี่ยนเป็นระดับจักรพรรดิคนอื่น เกรงว่าคงถูกฆ่าตายโดยไม่รู้ตัวไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
แต่หลินสวินกลับเหมือนทำนายได้ก่อน หลบอันตรายได้ล่วงหน้าทุกครั้งไป ดูน่าเหลือเชื่อเช่นกัน
และในช่วงเวลาต่อมา การลอบสังหารและซุ่มโจมตีอันพิสดารเช่นนี้ก็ดำเนินต่อไปไม่หยุดหย่อน ทุกๆ ครั้งล้วนเกิดขึ้นกลางห้วงอากาศ จับทางไม่ได้ ป้องกันได้ยาก
ความสามารถในการลอบสังหารเช่นนั้น เรียกได้ว่าน่ากลัวนัก
มีครั้งหนึ่งหลินสวินใช้กระบี่มรรคไร้ก้นบึ้งพาดกวาดโจมตี พลังที่เกิดขึ้นตอนปะทะกับประกายคมนั้นน่าตกตะลึงหาใดเทียบ
นี่ก็ทำให้หลินสวินตัดสินได้ ว่าพลังของมือสังหารผู้นี้เทียบชั้นได้กับบรรพจารย์ขั้นเก้าแล้ว
แต่ที่น่ากลัวกว่าบรรพจารย์ขั้นเก้าก็คือวิชาลอบสังหารที่มือสังหารผู้นี้มี นี่จึงจะเป็นสิ่งที่คุกคามเขาได้มากที่สุด
แต่น่าเสียดาย หลินสวินคุ้นเคยกับศึกในความมืดนี้แล้ว ยามหลบหนียิ่งทำได้ดั่งใจ สุขุมเยือกเย็น
ไม่ทันไรโลกอันดำมืดนี้ก็จมสู่ความเงียบงัน
การซุ่มโจมตีที่มาจากมือสังหารนั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
แต่หลินสวินกลับนิ่วหน้า สังหรณ์อยู่ในใจว่าเกรงว่าเจ้าหมอนั่นจะรู้สึกได้แล้ว ว่าหากลอบโจมตีแบบนี้อีกก็ยากจะคุกคามตนได้
แต่เจ้าหมอนี่กลับไม่จากไป เห็นชัดว่าคิดจะใช้วิธีใหม่
เพิ่งคิดถึงตรงนี้…
ตูม!
แสงที่พร่างพราวเจิดจ้าหาใดเทียบสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างฉับไว ทันใดนั้นโลกมืดนี้ก็เปลี่ยนเป็นขาวโพลนไปหมด แสงบาดตานั่นสว่างจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์
คนเราพอคุ้นชินกับความมืด จู่ๆ ก็มีแสงปรากฏขึ้นกลับจะทำให้ตอบสนองไม่ทัน ถึงขั้นลุกลน
ยิ่งไปกว่านั้นแสงที่ปรากฏขึ้นตอนนี้ยังแฝงไอสังหารอันน่ากลัว เฉกเช่นภูเขาถล่มสมุทราคำราม สุริยันร้อนระอุปะทุ
ประกายคมดั่งแสง อยู่ทั่วทุกหนแห่ง!
ปึงๆๆ!
เสียงกระแทกน่ากลัวดังขึ้นติดๆ กันเป็นชุด เงาแสงพร่างพราวสายแล้วสายเล่าประหนึ่งกระแสประกายคมไหลเชี่ยว ถาโถมโจมตีมายังหลินสวินจากรอบทิศ เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งยังถูกซัดจนเกิดเสียงดังหึ่ง ละอองแสงคล้ายลูกไฟสาดกระเซ็นออกมา
เพียงชั่วพริบตาหลินสวินก็ถูกโจมตีเป็นหมื่นพันครั้ง ราวกับเป็นเรือน้อยกลางคลื่นคลั่งทะเลพิโรธ
ภาพเช่นนั้นช่างทำให้คนสิ้นหวัง
แต่ก็ในตอนนี้เอง หลินสวินกลับหัวเราะออกมายาวๆ “จับเจ้าได้แล้ว!”
เมื่อพูดจบ
ตูม!
เงาร่างเขาขยับไหว เหมือนกับหุบเหวตื่นขึ้นจากการหลับใหล ปลดปล่อยพลังน่าครั่นคร้ามกลืนฟ้ากินดินออกมา
ไอพร่างพราวแหลมคมที่มาจากทั่วทิศนั้นถูกบดขยี้กลืนกินไปจนหมด
และในขณะเดียวกัน เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว โจมตีออกไปไกลๆ อย่างรุนแรง
เคร้ง…!
ท่ามกลางเสียงปะทะสะเทือนฟ้าดิน เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งถูกกระบี่เรียวยาวสีดำเล่มหนึ่งขวางไว้ พลังปะทะระหว่างทั้งสองแผ่กระจาย ปั่นป่วนโลกแห่งนี้
ที่ตามมาติดๆ คือเงาร่างผอมบางร่างหนึ่งก็ถูกซัดจนโซเซ ปรากฏตัวท่ามกลางความว่างเปล่า
แต่งกายชุดฟาง ศีรษะสวมงอบ ทั้งตัวเขาเหมือนเงาดำเงาหนึ่ง ให้ความรู้สึกดั่งภาพมายาเลื่อนลอย
พรูด!
ทันทีที่ปรากฏตัวเขาก็กระอักเลือดออกมา เห็นได้ชัดว่าการโจมตีนี้ซัดเขาให้บาดเจ็บทันที
“ไป!”
เขาส่งเสียงแหบแห้งต่ำลึก ตวัดกระบี่ยาวสีดำในมือคราหนึ่ง
ทันใดนั้นลายมรรคแน่นขนัดแปลกประหลาดอุบัติขึ้นบนกระบี่ยาว ลุกโชนแรงกล้า อานุภาพน่าสะพรึงปะทุออกมา ถึงขั้นสลายการกำราบของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งได้
สวบ!
เงาร่างเขาไหววูบ หมายจะแฝงตัวเข้าไปในความมืดอันว่างเปล่าอีกครั้ง
ก็เป็นตอนนี้เอง ภายในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งมีกระบี่มรรคเรียบง่ายเล่มหนึ่งลอยหวือ ฟันลงมาอย่างรุนแรงด้วยอานุภาพเบิกฟ้า
คมกระบี่นั้นช่างละม้ายดาบตัดฟ้า!
เปรี๊ยะ!
เงาร่างผอมแห้งนั่นทุ่มพลังทั้งหมดเข้าต้านทาน กระบี่ยาวสีดำในมือกลับถูกฟันสะบั้นเป็นสองท่อนพุ่งกระเด็นออกไป
“เวรเอ๊ย!” ร่างผอมบางนั้นคล้ายรู้สึกหวาดหวั่นในที่สุด แต่เขาหนีไม่ทันแล้ว ตัวเขาถูกปราณกระบี่ไพศาลฝังกลบในชั่วพริบตา
ตูม!
เงาร่างสีดำนั้นถูกบดขยี้คล้ายฟ้าถล่มดินทลาย สลายไปท่ามกลางปราณกระบี่ไพศาล
ครู่หนึ่งทุกอย่างจึงกลับคืนสู่ความสงบ
หลินสวินก้าวไปข้างหน้า แต่กลับพบว่านอกจากกระบี่ยาวสีดำที่ถูกฟันแตกเป็นสองท่อนนั้น ที่นั้นเหลือเพียงขนนกกระเรียนที่ทิ้งรอยไหม้ขนหนึ่ง
เมื่อหยิบขนนกกระเรียนขนนี้ขึ้นมาพิจารณา หลินสวินก็นิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้
ยังไม่ตายหรือ
หลังจากความมืดมิดบริเวณนั้นหลุดร่วงสลายไปเหมือนกระดาษปูผนังที่ลอกออก วังวนห้วงอากาศบิดเบี้ยวแปลกประหลาดไหวกระเพื่อม
เงาร่างหลินสวินก็ปรากฏตัวที่ห้องของตนอีกครั้ง
มีเพียงเก้าอี้ไม้แหลกกระจุยตัวนั้น รอยแยกบนพื้นที่แหวกออก และพลังผนึกที่สลายไปเท่านั้น ที่ยืนยันได้ว่าการลอบสังหารลึกลับที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องจริง
หลินสวินขมวดคิ้วแน่น จ้องรอยแยกบนพื้นที่แหวกออกนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เงาร่างไหววูบแล้วเคลื่อนตัวเข้าไปในนั้น
ใต้รอยแยกเป็นเส้นทางอันยาวไกลและคดเคี้ยวสายหนึ่ง เงาร่างหลินสวินเพิ่งโรยตัวลงมา ก็รู้สึกถึงคลื่นพลังที่ยังหลงเหลืออยู่ได้ทันที
‘ดูท่าเจ้าหมอนี่ไม่ได้ตายโดยสมบูรณ์ แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก หาไม่แล้วด้วยความสามารถการซ่อนตัวเก็บงำกลิ่นอายของเขา ย่อมไม่มีทางปล่อยให้กลิ่นอายพลังของตัวเองหลงเหลืออยู่ที่นี่…’
ดวงตาดำหลินสวินลุ่มลึก ไล่ตามกลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่ไปทันที
เพียงครู่เดียวหลินสวินก็มาถึงปลายทางของทางใต้ดินนี้แล้ว ที่นี่มีช่องว่างช่องหนึ่งผ่านไปถึงบนดิน
หลังจากกระโจนออกไป หลินสวินกลับพบว่าเป็นเรือนที่ไม่สะดุดตาหลังหนึ่ง หญ้าขึ้นรก เห็นชัดว่าทิ้งร้างไว้นานแล้ว
และเมื่อมาถึงตรงนี้ก็จับกลิ่นอายของมือสังหารนั้นไม่ได้อีก
‘ที่นี่คงมีคนมารับเขา เห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บเลยพาเขาจากไปทันที…’
หลินสวินยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาดำเย็นชาจนน่ากลัว
ครู่หนึ่งเขาจึงกลับโรงเตี๊ยมไปตามทางเดิม
‘ขนนกกระเรียนเส้นหนึ่ง… หรือว่าร่างเดิมของมือสังหารผู้นี้จะเป็นจำพวกนกที่มีรูปร่างเป็นกระเรียน’ หลินสวินหยิบขนนกกระเรียนเส้นนั้นออกมาอีกครั้ง ใช้จิตรับรู้สัมผัสกลิ่นอายที่ประทับอยู่ในนั้น
เย็นเยียบ ดำมืด ดุดัน คลุมเครือ…
ครู่หนึ่งเมื่อหลินสวินใช้ปลายนิ้วขยี้ ขนนกเส้นนี้ก็กลายเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อน
จากนั้นเขาก็เอากระบี่ยาวสีดำที่ถูกฟันเป็นสองท่อนออกมาพิจารณาโดยละเอียด ก็พบว่ากระบี่นี้ตีบแคบเรียวยาว มีขนาดสี่ฉื่อกว่า คมกระบี่ทั้งสองฝั่งทึบด้าน บนตัวกระบี่ปกคลุมด้วยภาพลายมรรคบิดเบี้ยวแน่นขนัดแปลกประหลาด
“ข้ารู้แล้ว คนผู้นี้ก็คือนกกระเรียน!”
ทันใดนั้นนกกระจอกเขียวก็เอ่ยปากเจือน้ำเสียงตกตะลึง “คิดไม่ถึงว่าเหวินเซ่าเหิงนั่นจะลงมือดุดันได้ปานนี้ ยอมไปเชิญยอดมือสังหารระดับจักรพรรดิของแดนเร้นนภามาลงมือกับเจ้า”
หลินสวินเลิกคิ้ว “นกกระเรียนแดนเร้นนภาหรือ”
“ในโลกยอดนิรันดร์มีขุมอำนาจมือสังหารใหญ่อันลึกลับอยู่สองกลุ่ม กลุ่มแรกคือแดนเร้นนภา อีกกลุ่มคือห้วงเมฆาวารี”
“ฝ่ายแรกครอบครองมรรคลอบสังหาร ฝ่ายหลังครอบครองมหามรรคปลิดชีพ ต่างเป็นขุมอำนาจลึกลับอมตะหมื่นกาล หากไล่ย้อนภูมิหลังดู ถึงกับเก่าแก่กว่าเผ่าจักรพรรดิอมตะบางตระกูลเสียอีก…”
นกกระจอกเขียวเสียงกดเบา เหม่อลอยอยู่เล็กน้อย
ขุมอำนาจลึกลับทั้งสองนี้ จนตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของพวกเขา ย่อมไม่อาจเทียบกับกลุ่มลอบสังหารทั่วๆ ไป เพราะคนที่พวกเขาต่อกรด้วยล้วนเป็นระดับจักรพรรดิขึ้นไปทั้งนั้น!
ในโลกยอดนิรันดร์ เมื่อพูดถึงแดนเร้นนภาและห้วงเมฆาวารี ก็คือความพรั่นพรึงน่าหวาดหวั่น ทำให้ทุกคนครั่นคร้ามและกลัวเกรง!
สักพักนกกระจอกเขียวจึงเอ่ยว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด คนที่ลอบสังหารเจ้าก่อนหน้านี้ก็คือนกกระเรียนจากแดนเร้นนภา บุคคลลึกลับที่อยู่อันดับหกของมือสังหารระดับจักรพรรดิแดนเร้นนภา”
“ในอดีตระดับจักรพรรดิที่ถูกเขาลอบสังหารมีไม่รู้เท่าไร ในนั้นยังไม่ขาดบรรพจารย์ขั้นเก้าที่พลังปราณกล้าแข็งถึงที่สุดจำนวนหนึ่งด้วย!”
——