ราตรีลาไปอย่างเงียบเชียบ วันใหม่มาเยือน
ณ ห้องในโรงเตี๊ยม ในดวงตาหลินสวินเผยแววปรีดา
หลังจากหลอมมุกยมโลกทั้งหมดที่มีอยู่กับตัวแล้ว ในลายมรรคนรกเก้าลายนั้นก็มีลายที่สมบูรณ์อีกลายหนึ่ง สำแดงมหามรรคอันลึกลับชนิดหนึ่งออกมา…
ขุมนรก!
หลอมมรรคดั่งขุมนรก กำราบผีดุร้ายชั่วช้าทั้งปวง!
เมื่อฝึกมหามรรคนี้ถึงที่สุด จะควบรวมภาพมรรคเฉกเช่นนรกทั้งสิบแปดขุมได้
ยามต่อสู้ ใช้มรรคขุมนรกพิฆาตไพรี เฉกเช่นเปิดประตูขุมนรก พลังกำราบที่เกิดขึ้นเรียกได้ว่าน่าหวาดหวั่น
หนำซ้ำหลินสวินยังสังเกตได้ว่าหากใช้มรรคขุมนรกกับมรรคกักวิญญาณด้วยกัน จะมีประโยชน์ส่งเสริมกัน อานุภาพก็น่าเหลือเชื่อ
หนึ่งกักวิญญาณ หนึ่งกำราบ เรียกได้ว่าน่าตกตะลึง
เพียงแต่ไม่นานนักหลินสวินก็ดีใจไม่ออกแล้ว
มุกยมโลกสิบห้าเม็ดถึงควบรวมมรรคขุมนรกออกมาได้สายหนึ่ง คำนวณเช่นนี้ ถ้าต้องการให้มหามรรคนรกหกสายที่เหลือหลอมถึงขั้นสมบูรณ์ จะไม่ต้องสะสมมุกยมโลกอีกเก้าสิบเม็ดหรือ
มุกยมโลกเม็ดหนึ่งมีมูลค่าเท่ากับผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งสี่แสนก้อน
เก้าสิบเม็ด… ก็เท่ากับผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งสามสิบหกล้านก้อน!
ตัวเลขนี้ทำให้ลมหายใจหลินสวินสะดุด ในใจกระตุกเกร็งไม่หยุด
สำหรับเขาในตอนนี้แล้ว นี่เป็นตัวเลขมหาศาลเกินเอื้อมจริงๆ
‘บนเส้นทางต่อๆ ไป จะต้องมีการต่อสู้และเข่นฆ่ามากมาย ถึงตอนนั้นก็จะรวบรวมทรัพย์หลังศึกได้บ้าง…’
หลินสวินไม่ได้สัมผัสความรู้สึก ‘อุปกรณ์ขาดมือเหมือนแม่บ้านไม่มีข้าวมาหุง’ มานานแล้ว และนี่ก็ปลุกปณิธานการต่อสู้ของเขาได้ในที่สุด
มีแรงกดดันจึงจะมีแรงขับเคลื่อน!
ไม่นานนักหลินสวินก็เดินออกจากโรงเตี๊ยม สองมือไพล่หลัง เดินเล่นไปตามถนน
ในเมืองคึกคักนัก ส่วนมากเป็นคนที่อยู่มาแต่เดิม มีผู้ฝึกปราณเช่นเดียวกับหลินสวินเพียงส่วนน้อย
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ จำนวนก็ยังมากจนไม่อาจดูเบาได้ดังเดิม
“หรือพูดอีกอย่างก็คือ ถ้าข้าอยากมุ่งหน้าต่อ ก็ต้องเข้าร่วมในแดนลับฝึกหลอมนี้หรือ” หลินสวินเอ่ยถามระหว่างทาง
ก่อนหน้านี้นกกระจอกเขียวเคยบอกว่าในด่านนภาอมตะใหญ่น้อยสี่สิบเก้าด่านในแดนใหญ่พันศึก ด่านนภาอมตะเล็กสามสิบหกด่านในนั้นเป็นแค่ที่พักหย่อนขาชั่วคราว จะเข้าไปตอนไหนก็ได้
มีแต่ในด่านนภาอมตะใหญ่สิบสามด่าน ที่ถ้าอยากเดินหน้าต่อก็ต้องผ่านการฝึกฝนแตกต่างกันไป
เมืองตั้งต้นก็คือด่านนภาอมตะใหญ่ด่านแรกในแดนใหญ่พันศึก
คิดจะเดินหน้าต่อ ก็ต้องเข้าร่วมในแดนลับฝึกหลอม มีเพียงเก็บรวบรวม ‘แหล่งดารา’ ในแดนลับฝึกหลอมได้สิบชิ้น จึงจะมีสิทธิ์ไปยังสมรภูมิต่อไป
“เจ้าจะซื้อแหล่งดาราสิบชิ้นก็ได้ เช่นนี้ก็ไม่ต้องเข้าร่วมการเคี่ยวกรำฝึกฝนแล้ว”
นกกระจอกเขียวเอ่ย “แต่ว่าแหล่งดาราที่สมบูรณ์ชิ้นหนึ่งมีมูลค่าประมาณผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งห้าแสนก้อน สิบชิ้นก็เป็นห้าล้านก้อน เจ้า… จ่ายไหวหรือ”
หลินสวินบื้อใบ้ทันที
นกกระจอกเขียวเอ่ย “อย่าว่าแต่เจ้า ต่อให้เป็นบุคคลชั้นสูงที่บ้านมีฐานะพวกนั้น ก็เอาผลึกต้นกำเนิดจักรวาลมากขนาดนั้นออกมาในคราวเดียวไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าก็ไปลงชื่อเสียดีๆ เถอะ”
จู่ๆ หลินสวินก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ถ้าข้ารวบรวมแหล่งดาราได้มากกว่า จะขายให้คนอื่นได้ไหม”
นกกระจอกเขียวอึ้งไป เจ้าหมอนี่ขาดเงินจนเสียสติไปแล้วหรือ
หลินสวินเริ่มคำนวณในใจว่าต้องขายแหล่งดาราเท่าไรถึงจะรวบรวมผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งให้ได้สามสิบหกล้านก้อน…
ขณะที่เดินเล่นเช่นนี้หลินสวินก็มาถึงจวนเจ้าเมือง
ด้วยป้ายประจำตัวที่ได้มาจากเมืองข้ามแดน หลินสวินก็สามารถลงชื่อได้อย่างราบรื่น ได้ที่ว่างในการเข้าร่วมแดนลับฝึกหลอมที่หนึ่ง
และทันทีที่หลินสวินจากมา ข่าวว่าเขาลงชื่อก็มาถึงเหิงเทียนซั่ว
เหิงเทียนซั่วยิ้มน้อยๆ ไม่ได้แปลกใจ เพียงแต่ลอบเอ่ยในใจว่า ‘ใช้ความตายของหลิงเสวียนจื่อคนเดียวแลกน้ำใจหัวหน้าตระกูลเหวิน… การแลกเปลี่ยนคราวนี้คุ้มดีจริง’
จนกระทั่งยามค่ำหลินสวินถึงกลับโรงเตี๊ยม เมื่อเห็นผู้ดูแลโรงเตี๊ยมที่ยิ้มรับแขกคนนั้น เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ตนเพิ่งจ่ายค่าห้องล่วงหน้าไปสิบคืน แต่กลับต้องรออีกสามเดือนจึงเข้าไปในแดนลับฝึกหลอมได้ นี่ก็ย่อมต้องจ่ายค่าห้องต่อด้วย
แต่ตอนนี้ผลึกต้นกำเนิดจักรวาลที่เหลือติดตัวเขาเหล่านั้น มีให้ใช้ไม่ถึงสามเดือนอยู่แล้ว
‘ดูท่าคืนนี้ต้องออกไปดูสักรอบแล้ว…’
หลินสวินลอบเอ่ยในใจ
ก่อนหน้านี้เขาดูเหมือนเดินเล่นไปตามถนน แต่ความจริงแล้วกำลังสืบหาที่อยู่ที่แน่ชัดของเหวินเซ่าเหิง ทั้งยังไปประเมินด้วยตัวเองมาแล้วรอบหนึ่ง
ท้องฟ้ายามราตรีดุจน้ำหมึก
ชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม หลินสวินนั่งตามสบายอยู่เช่นนั้น สั่งเหล้าหนึ่งกามาดื่มอยู่คนเดียว
“เอ๋ พี่ชายคนดี!”
ทันใดนั้นเสียงประหลาดใจเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากประตูโรงเตี๊ยม
หลินสวินเงยหน้าขึ้นก็เห็นพวกถานไถเฟิงปรากฏตัวอยู่ที่ประตูโรงเตี๊ยม จึงยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “บังเอิญจริงๆ”
ถานไถเฟิงหัวเราะเบิกบาน โบกมือเอ่ยว่า “พวกเราก็พักที่นี่ พวกเจ้าไปเปิดห้อง ข้าอยากดื่มกับสหายยุทธ์หลิงเสวียนจื่อดีๆ สักจอก”
ขณะที่พูดก็เดินมานั่งที่โต๊ะหลินสวินแล้ว เอ่ยอย่างผึ่งผายว่า “เสี่ยวเอ้อร์ ไปเอาสุราล้ำค่าที่พวกเจ้าสะสมไว้ออกมา”
หลินสวินเอ่ยเตือนอย่างอดไม่ได้ “ราคาของที่นี่แพงเป็นบ้าเลยนะ”
ถานไถเฟิงชะงักไป ก่อนยิ้มน้อยๆ อย่างอดไม่ได้ “สหายยุทธ์ คำพูดอาจไม่เข้าหูนัก แต่ชีวิตนี้ของข้าถานไถเฟิงไม่เคยทุกข์เพราะเรื่องเงินสักนิด เจ้าดื่มไปเถอะ ค่าเหล้าคืนนี้ข้าเลี้ยงเอง!”
เห็นได้ชัดว่านี่ก็เป็นเจ้านายที่เงินไม่ขาดมือเช่นกัน
หลินสวินยิ้มทันที “ได้ เช่นนั้นคืนนี้จะดื่มให้สมใจเลย!”
ถานไถเฟิงก็หัวเราะร่าเช่นกัน
ตลอดทางในแดนนรกเซินหลัว แม้ไม่เคยได้สนทนาอะไรกับหลินสวิน แต่ในใจเขาก็รู้สึกดียิ่งกับหลินสวินผู้ ‘มีใจรักคุณธรรม ชอบช่วยเหลือผู้อื่น’ มานานแล้ว
คราวนี้ได้พบกันในเมืองอีก ทำให้ถานไถเฟิงทอดถอนใจกับความอัศจรรย์ของวาสนาอย่างอดไม่ได้ พอได้สนทนากับหลินสวินเล็กน้อย ถานไถเฟิงก็ยิ่งรู้สึกว่าสหายยุทธ์หลิงเสวียนจื่อผู้นี้ก็คือ ‘คนพวกเดียวกัน’ ไม่เสแสร้งสักนิด
ไม่นานนักเหล้าไหแล้วไหเล่าก็ถูกยกมา
“มา ดื่มชามใหญ่ชามหนึ่งก่อน!” ถานไถเฟิงรื่นเริงถึงที่สุด ดื่มกับหลินสวินอึกใหญ่
ผู้ฝึกปราณที่ติดตามถานไถเฟิงมาตลอดทาง เห็นดังนี้ยังยิ้มอย่างอดไม่ได้เช่นกัน
ภาพจำของหลินสวินในหัวพวกเขา แรกสุดเต็มไปด้วยความกังขาและระแวง คิดว่าท่าทาง ‘ชอบช่วยเหลือผู้อื่น’ ของหลินสวินนั้นเสแสร้งยิ่งนัก เป็นไปได้สูงว่าจะทำเพื่อประจบนายน้อยของพวกเขา
แต่ไม่นานนักการกระทำอย่างต่อเนื่องของหลินสวินก็เปลี่ยนความประทับใจของพวกเขาไป
กระทั่งจะว่าไปที่พวกเขายังอยู่รอดครบทุกคน ออกมาจากแดนนรกเซินหลัวแห่งนั้นได้อย่างสบาย ก็เพราะได้รับอานิสงส์จากหลินสวิน
ถึงอย่างไรแม่ทัพนรกและทหารนรกบนทางเส้นนั้นต่างก็ถูกหลินสวินกวาดล้างเรียบแล้ว
“มาๆๆ ข้าก็จะดื่มให้พี่ชายคนดีจอกหนึ่ง” ไม่นานนักก็มีคนก้าวมาข้างหน้า ยิ้มระรื่นดื่มเหล้าคารวะ
“พี่ชายคนดีอะไรกัน นี่คือหลิงเสวียนจื่อ อย่าล้อว่าพี่ชายคนดีอีกนะ” ถานไถเฟิงถลึงตาพลางเอ่ยดุ
“ใช่ๆ สหายยุทธ์หลิง” คนเหล่านั้นแก้คำพูดใหม่ทันที
หลินสวินจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร ชนจอกกับอีกฝ่ายทั้งหมด
ทันใดนั้นเสียงงานสังสรรค์ดังประสาน ปรีดาทั้งแขกทั้งเจ้าภาพ สนุกสนานกลมเกลียว
เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่านี่เป็นเพียงร่างแยกร่างหนึ่งของหลินสวิน…
ในขณะเดียวกันที่หอท้องฟ้า
ดึกดื่นค่ำคืน เงาร่างของหลินสวินปรากฏตัวขึ้นเงียบๆ
ว่าด้วยความสามารถในการแทรกซึมและซ่อนตัวแล้ว หลินสวินก็ไม่ด้อยสักนิดเช่นกัน ศิษย์พี่ของเขาจิ่งจงเยวี่ยก็เป็นผู้เป็นเลิศในวิชามรรคนี้
จิ่งจงเยวี่ยคือศิษย์ลำดับที่ยี่สิบของคีรีดวงกมล ผิวดั่งทองแดง แข็งแรงสันทัด สะพายกระบอกธนูไว้ที่หลัง ครอบครองคันธนูกระดูกสัตว์ เป็น ‘มือธนูเทพ’ อันดับหนึ่งของคีรีดวงกมล
ในการประชันหมากครั้งใหญ่ที่สังหารจักรพรรดิไร้นามครั้งนั้น จิ่งจงเยวี่ยก็เคยสำแดงความสามารถ ใช้มรรคธนูอันดุดันและการเคลื่อนไหวอันลึกลับไม่อาจคาดเดาสังหารศัตรูตัวฉกาจมากมาย
สิ่งที่จิ่งจงเยวี่ยเชี่ยวชาญที่สุดก็คือวิชาลับซ่อนตัว มีนามว่า ‘บังฟ้าข้ามสมุทร’ทันทีที่สำแดงออกมา ต่อให้เป็นปฐมจักรพรรดิก็ยากยิ่งที่จะรู้สึกถึงเงาร่าง ลึกลับไร้สิ้นสุดจริงๆ
ในหมู่มรดกที่หลินสวินรับไว้มากมายก็มี ‘บังฟ้าข้ามสมุทร’ เช่นกัน แม้ยังไม่บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์อย่างศิษย์พี่จิ่งจงเยวี่ย แต่ก็เพียงพอแล้ว
ตอนนี้เงาร่างของเขาหายลับไปในเงามืดของหอท้องฟ้าอย่างเงียบเชียบ
ชั้นสูงสุดของหอท้องฟ้า
เหวินเซ่าเหิงนั่งอยู่ตรงนั้นตามลำพัง สีหน้าอึมครึมเศร้าสร้อย ยิ้มเย็นชาเอ่ยว่า “ดูท่าความพ่ายแพ้ยับเยินของนกกระเรียนก็ทำให้แดนเร้นนภายังเสียหน้าสินะ ถึงได้จะส่ง ‘น้ำค้าง’ ที่อยู่อันดับสี่มา”
อีกด้านหนึ่งท่านย่าเสวี่ยตื่นเต้นอยู่บ้าง เอ่ยว่า “น้ำค้างนั่นเป็นถึงตำนานคนหนึ่งของแดนเร้นนภา มือสังหารระดับมกุฎจักรพรรดิที่มีความสามารถสมชื่อเสียงผู้หนึ่ง ในอดีตไม่ว่าจะเป็นผลการต่อสู้หรือระดับภารกิจที่ออกปฏิบัติการก็เหนือกว่านกกระเรียนทั้งนั้น”
“ข่าวลือมากมายต่างบอกว่าน้ำค้างในตอนนี้เปลี่ยนเป็นคนน่ากลัวถึงที่สุดแล้ว เป็นไปได้สูงยิ่งว่ามีความสามารถลอบสังหารบรรพจารย์มรรคได้แล้ว!”
“ถ้าน้ำค้างมาจัดการกับหลิงเสวียนจื่อผู้นั้น ต่อให้จ่ายผลึกต้นกำเนิดจักรวาลห้าล้านก้อน… ก็ยังคุ้มค่า”
พอฟังจบเหวินเซ่าเหิงกลับยังยิ้มเย็นชา “แดนเร้นนภาก็บอกแล้วว่าถ้าจะให้น้ำค้างมาที่นี่ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งปี ข้ารอไม่ไหว แต่ว่าข้าล่ะอยากเห็นนัก ว่าหลังจากน้ำค้างคนนี้มาถึงแล้วเห็นว่าหลิงเสวียนจื่อถูกฆ่าตายไปนานแล้วจะคิดอย่างไร!”
ท่านย่าเสวี่ยอึ้งไป “นายน้อย หรือเหิงเทียนซั่วรับปากจะลงมือแล้ว”
เหวินเซ่าเหิงยกยิ้มมุมปาก “จิ้งจอกเฒ่านั่นจะลงมือเองได้อย่างไร แต่ข้าพูดได้แค่ว่าหลิงเสวียนจื่อนั่นเหลือเวลารอดไม่มากแล้ว!”
ท่านย่าเสวี่ยกำลังจะพูดอะไร จู่ๆ นางก็คล้ายรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง หน้าเปลี่ยนสีทันที พลันฟาดออกไปที่ห้วงอากาศใกล้ๆ เหวินเซ่าเหิงอย่างแทบจะเป็นไปตามสัญชาตญาณ
ตูม!
ห้วงอากาศว่างเปล่าระเบิดออก เงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งปรากฏตัวออกมา เป็นหลินสวินนั่นเอง
เขาประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ ยายเฒ่านี่มีพลังสัมผัสเฉียบคมนัก
ในใจคิดเช่นนี้อยู่แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ช้าสักนิด ทันทีที่ถูกมองออก เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งก็พุ่งออกมา โอบห่อหุ้มด้วยแสงมรรคมากมาย โจมตีใส่เหวินเซ่าเหิงแล้ว
ประสบเหตุไม่คาดฝันกะทันหันเช่นนี้ เหวินเซ่าเหิงตกตะลึงจนศีรษะชาหนึบ ในใจสั่นสะท้าน ทันที่ลุกขึ้นได้ก็หมายจะหลบหนีทันที แต่ไม่ทันแล้ว
การเคลื่อนไหวของหลินสวินว่องไวยิ่งนัก ทันทีที่โจมตีออกมาก็ใช้วิธีที่ดุดันและรวดเร็วที่สุด น่ากลัวไร้ขอบเขต
ตูม!
ท่ามกลางเสียงปะทะน่าสะพรึง เงาร่างหนึ่งถูกกระแทกจนเนื้อตัวแตกยับ กระดูกเส้นเอ็นหักสะบั้น ถอยกระเด็นออกไปอย่างแรง โต๊ะเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ ล้วนถูกระเบิดกระจุยดังสนั่น
เพียงแต่เงาร่างที่ถูกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งโจมตีใส่นี้กลับไม่ใช่เหวินเซ่าเหิง แต่เป็นท่านย่าเสวี่ยที่ชิงเข้ามาขวางไว้ก่อน!
ยายเฒ่าผู้นี้ช่วยรับการโจมตีแทนเหวินเซ่าเหิง ราวกับไม่สนชีวิตอย่างไรอย่างนั้น!
——