จนกระทั่งท้องฟ้าใกล้สว่าง
ถานไถเฟิงที่งัวเงียเมาตาเยิ้มถูกคนหิ้วปีกพยุงเดินเข้าไปในห้อง
ตาของหลินสวินก็ค่อนข้างปรือเช่นกัน หลังจากโงนเงนเดินเข้าไปในห้องก็โคจรปราณไล่ความเมาทั่วร่างออกทั้งหมดเป็นสิ่งแรก จากนั้นจึงพ่นลมหายใจหนักหน่วงออกมา
ในห้องร่างต้นของหลินสวินยิ้มน้อยๆ แล้วเก็บร่างแยก จากนั้นจมสู่ภวังค์ความคิด
ก่อนหน้านี้ที่ไปลอบสังหารเหวินเซ่าเหิง ถึงแม้จะตกม้าตายตอนจบ แต่ดีชั่วอย่างไรก็ฆ่าพวกร้ายกาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าบรรพจารย์ขั้นเก้าอย่างท่านย่าเสวี่ยได้ ก็ถือว่าได้กำไรอยู่
หนำซ้ำจากทรัพย์หลังศึกบนตัวท่านย่าเสวี่ย กลับทำให้หลินสวินได้รับทรัพย์เป็นกอบเป็นกำ ลำพังแค่ผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งก็มีสามแสนกว่าผลึก
นอกจากนี้ยังมีศาสตราจักรพรรดิที่คุณภาพชั้นยอดกับเจตวัตถุและและโอสถเทพนานาชนิดอีกจำนวนหนึ่ง มูลค่ารวมกันแล้วก็น่าตกใจยิ่ง
และในบรรดาทรัพย์หลังศึกเหล่านี้ สมบัติสีดำที่รูปร่างคล้ายหอยสังข์ชิ้นหนึ่งดึงดูดความสนใจของหลินสวินเข้า
บนหอยสังข์ประทับแผนภาพลายมรรคแปลกพิสดารซ้อนทับเป็นชั้นๆ เมื่อแทรกพลังเข้าไปภายในนั้น ลายมรรคแปลกพิกลเหล่านั้นก็จะกลายเป็นอักษรลึกลับเป็นแถวๆ
บนนั้นเขียนไว้ว่า ‘ครึ่งปีให้หลังน้ำค้างจึงจะมาถึง ต้องกำจัดเจ้านี่ได้แน่ จำไว้ว่าต้องให้นายน้อยของเจ้าเตรียมสองล้านผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งไว้ให้พร้อม’
และเพราะประโยคนี้ทำให้หลินสวินจมสู่ภวังค์ ตระหนักได้ว่าการแพ้ยับเยินของนกกระเรียนเมื่อคราวก่อนไม่ได้ทำให้การลอบสังหารนี้ปิดฉากลงทั้งอย่างนี้ ตรงข้ามกลับเรียก ‘น้ำค้าง’ ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามาอีกคน!
“นกกระจอกเขียว เจ้ารู้จักน้ำค้างจากแดนเร้นนภาหรือไม่” หลินสวินถาม
“น้ำค้าง?”
นกกระจอกเขียวคล้ายถูกทำให้ตกใจ “คงไม่ใช่ว่าแดนเร้นนภายังคิดจะลอบสังหารเจ้าอีกกระมัง”
หลินสวินพยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น”
นกกระจอกเขียวอึ้งงันไปชั่วขณะ ครู่ใหญ่กว่าจะกล่าวว่า “เจ้าอาจได้เจอภัยคุกคากถึงชีวิตแล้ว”
จากนั้นมันก็เล่าผลงานส่วนหนึ่งของน้ำค้างให้หลินสวินฟัง
น้ำค้าง มือลอบสังหารระดับมกุฎจักรพรรดิของแดนเร้นนภา อยู่อันดับที่สี่ หญิงลึกลับที่ทำให้บรรพจารย์ขั้นเก้าได้ยินชื่อก็ขวัญหนีคนหนึ่ง
ว่ากันว่าฝีมือลอบสังหารที่ช่ำชองของนาง ถึงขั้นที่สามารถขู่ขวัญบรรพจารย์มรรคได้ วิปริตน่าสะพรึงถึงขีดสุดยิ่ง!
ว่ากันว่าตั้งแต่น้ำค้างเริ่มรับหน้าที่ปฏิบัติภารกิจจนบัดนี้ ไม่เคยมีกรณีที่ล้มเหลวสักครั้ง เมื่อเทียบกับนกกระเรียนยังแข็งแกร่งมากกว่าหนึ่งช่วง
ว่ากันว่า…
ตำนานที่น่าสะพรึงต่างๆ นานาทำให้ ‘น้ำค้าง’ ปกคลุมด้วยสีสันอันน่ากลัวลึกลับ
กล่าวถึงตอนท้ายนกกระจอกเขียวยังอดสงสัยไม่ได้ กล่าวว่า “นกกระเรียนก็ว่าน่ากลัวพอแล้ว ตอนนี้ยังส่งน้ำค้างมาอีก เหวินเซ่าเหิงนี่ต้องจ่ายค่าตอบแทนมากมายขนาดไหนถึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้”
“ทั้งหมดนี้ล้วนพิสูจน์ได้แค่ว่า เขาตั้งใจจะไม่ตายไม่เลิกรากับข้าตั้งแต่ต้น”
สายตาหลินสวินเย็นเยียบ “ขอเพียงมีโอกาส ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาได้หนีรอดอีก!”
ไม่ว่าใครถูกขุมอำนาจมือสังหารที่ลึกลับสุดหยั่งแห่งหนึ่งหมายหัว เกรงว่าก็คงเหมือนมีชนักติดหลัง กินไม่ลงนอนไม่หลับกันทั้งนั้น
และทั้งหมดนี้ ล้วนต้องขอบคุณเหวินเซ่าเหิงที่มอบให้มา!
ถึงขั้นที่เพราะเหวินเซ่าเหิง ทำให้แผนการของหลินสวินรวนไปหมด เดิมทีเขาตั้งใจจะทะลวงขั้นในเมือง แต่ตอนนี้เห็นชัดว่าทำไม่ได้แล้ว
…
ข่าวเกี่ยวกับเหวินเซ่าเหิงถูกมือสังหารซุ่มโจมตีดังฮือฮาไปทั่วทั้งเมืองตั้งต้นในเช้าวันรุ่งขึ้น ก่อคลื่นระลอกใหญ่ขึ้น
“ถึงกับมีคนใจกล้าทำการอุกอาจในเมือง เบื่อว่าชีวิตยาวไปรึ”
คนมากมายจุ๊ปาก
“นี่ยังไม่ถือเป็นอะไร เหวินเซ่าเหิงนั่นเป็นถึงบุคคลชั้นสูงเผ่าจักรพรรดิอมตะ ผู้แข็งแกร่งจากโลกพันจักรวาลใครกล้าไม่ให้เกียรติเขาบ้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปลอบสังหารเลย หลิงเสวียนจื่อนั่นบ้าบิ่นสิ้นคิดชัดๆ!”
“แต่ว่าหลิงเสวียนจื่อนี่ก็ช่างร้ายกาจ ยังไม่ถูกจับดำเนินการอีก ว่ากันว่าเจ้าเมืองเหิงเทียนซั่วยังจนหนทางกับเขา สุดยอดจริงๆ”
…ทุกแห่งหนในเมืองล้วนมีแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์
การลอบสังหารครั้งนี้น่าตกใจเกินไปจริงๆ เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นนานมากแล้ว
บวกกับเหวินเซ่าเหิงที่ถูกลอบสังหารยังมีที่มาไม่ธรรมดา ความโกลาหลที่เกิดขึ้นแค่คิดก็รู้ว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน
ระคลอกคลื่นฉากนี้ดำเนินเรื่อยมานานหลายวัน
หลังจากผู้แข็งแกร่งอย่างพวกสิงมู่เทียน ยอดจักรพรรดิเสวียนซิง จักรพรรดิขวงหรู หนิงเต้าจื้อเข้าสู่แดนใหญ่พันศึกจากประตูข้ามแดนปฐพีมาถึงเมืองตั้งต้นเหมือนกับหลินสวิน ก็ได้รู้ข่าวเหล่านี้ในทันทีเช่นกัน
ชั่วขณะเดียวต่างอดอึ้งงันเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ สะท้านสะเทือนไม่หาย
การตายของฟางเสวียนเจินทั้งขบวนก็ทำให้พวกเขารู้สึกตกใจแล้ว
และตอนนี้ หลิงเสวียนจื่อนี่ยังถึงกับไปลอบสังหารเหวินเซ่าเหิงในเมืองอีก นี่เหมือนเย้ยฟ้าชัดๆ ทำเอาพวกเขาเกือบไม่กล้าเชื่อ
ภายใต้การค้นหาอย่างตั้งใจของพวกเขา ไม่นานก็เจอหลินสวินที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น
ที่ต่างจากที่พวกเขาคาดคะเนเอาไว้ก็คือ หลินสวินที่ผ่านเรื่องใหญ่โตขนาดนั้น ไม่เพียงไม่มีท่าทางตึงเครียดกังวลใจ ตรงข้ามกลับเห็นได้ชัดว่าสบายใจ ผ่อนคลายจนเหมือนคนไม่มีเรื่องอย่างไรอย่างนั้น
นี่ทำให้พวกเขาเหล่านี้ล้วนอดเลื่อมใสไม่ได้
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นสิงมู่เทียน ยอดจักรพรรดิเสวียนซิง หรือพวกจักรพรรดิขวงหรู หนิงเต้าจื้อ ต่างไม่เคยพูดคุยสนทนากับหลินสวินมาก่อน รักษาระยะห่างไว้ระดับหนึ่งอย่างมีไหวพริบ
ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดี สถานการณ์ของหลินสวินในตอนนี้อันตราย ก็เหมือนตัวหายนะคนหนึ่ง ใครก็ไม่อยากถูกลูกหลงด้วย
ถ้าเกิดถูกเหวินเซ่าเหิงมองเป็นพวกเดียวกับหลินสวิน นั่นย่อมเป็นหายนะเดือดร้อนเปล่าอย่างแน่นอน
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินเห็นอยู่ในสายตา แต่ไม่ได้พูดมากความอะไร
แสวงโชคหลีกหนีเคราะห์ร้ายเป็นธรรมชาติของมนุษย์
นับประสาอะไรกับเขาและคนพวกนี้ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกัน ในเรื่องความหมางเมินของพวกเขา หลินสวินไม่ใส่ใจสักนิด
เหวินเซ่าเหิงซ่อนตัวอยู่ในจวนเจ้าเมือง ไม่ได้ปรากฏตัวในเมืองอีก
หลินสวินเองก็ล้มเลิกแผนการสังหารเหวินเซ่าเหิงในเมืองไปนานแล้ว เหิงเทียนซั่วนั่นครั้งแรกอาจเพราะหวาดหวั่นถานไถเฟิงจึงเลือกรามือ
หากเกิดครั้งที่สอง นั่นก็พูดยากแล้ว
วันคืนหลังจากนั้นหลินสวินเองก็แทบจะเก็บตัวไม่ค่อยออกไปไหนเช่นกัน แม้ไม่อาจทะลวงขั้น แต่เขาก็ทุ่มเทจิตใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดไปกับการกลั่นหลอมมหามรรค หยั่งถึงมรดกมากมาย
เวลาผันผ่าน
สองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ในเมืองตั้งต้น ผู้ฝึกปราณกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าแห่มาไม่ขาดสาย และไม่ขาดพวกที่น่ากลัวยิ่งกว่าหนิงเต้าจื้อ สิงมู่เทียน ยอดจักรพรรดิเสวียนซิงอีกจำนวนหนึ่ง
อันที่จริงนี่ก็เป็นปกติมากแล้ว
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ในแปดประตูข้าด่านที่เชื่อมเข้าสู่แดนใหญ่พันศึก ก็มีคนร้ายกาจที่อยู่เหนือระดับจักรพรรดิเข้ามาอีกกลุ่มหนึ่ง
ในนี้ส่วนใหญ่เป็นยักษ์ใหญ่ที่ชื่อเสียงสะท้านโลกจักรวาลหนึ่ง
และผู้ที่สามารถบุกฝ่ามาจากสมรภูมิมายาโบราณมาถึงเมืองตั้งต้นได้ ย่อมไม่มีพวกธรรมดาทั่วไปสักคน
พร้อมๆ กับผู้แข็งแกร่งที่หลั่งไหลเข้าสู่เมืองตั้งต้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้บรรยากาศในเมืองก็พลอยเปลี่ยนเป็นกดดันและตึงเครียดขึ้นมาด้วย
ก็เสมือนทะเลสาบบ่อหนึ่ง แม้จะรองรับมังกรได้มากมาย แต่เมื่อจำนวนมังกรเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แค่พลิกตัวเฉยๆ ก็ยังเห็นได้ชัดว่าเบียดเสียด อาจเกิดความขัดแย้งและข้อพิพาทได้
ยังดีที่เมืองตั้งต้นมีเหิงเทียนซั่วควบคุมดูแล ยังไม่ถึงขั้นเกิดข้อขัดแย้งขนาดเลือดตกยางออก
แต่ใครต่างก็รู้ดี บุคคลน่าสะพรึงมากมายเช่นนี้รวมตัวอยู่ในเมืองเดียว ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ช้าเร็วก็ต้องเกิดหายนะบางส่วนขึ้นแน่
ยังดีที่แดนลับฝึกหลอมใกล้จะเปิดแล้ว
ที่เหนือความคาดหมายของหลินสวินคือ ก่อนที่แดนลับฝึกหลอมจะเปิด พวกถานไถเฟิงก็ออกไปอย่างเร่งรีบ ได้ยินว่ารวบรวมแหล่งดาราเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้ามร่วมการฝึกฝน สามารถเหยียบย่างเส้นทางที่เชื่อมสู่โลกยอดนิรันดร์ต่อไปได้เลย
นี่ก็ทำให้หลินสวินเข้าใจในที่สุด ว่าคนอย่างถานไถเฟิงไม่จำเป็นต้องพะวงเรื่องทรัพย์สินเงินทองสักนิดจริงๆ แค่กระดิกนิ้วก็กว้านซื้อแหล่งดาราที่มีมูลค่าน่าตกใจได้แล้ว นี่ใช่ร่ำรวยธรรมดาที่ไหน
ร่ำรวยโคตรๆ เลยต่างหาก!
ก่อนออกไปถานไถเฟิงมาบอกลาหลินสวินด้วยตัวเองว่า “วันหน้าหากพี่หลิงมาถึงโลกยอดนิรันดร์ สามารถมุ่งหน้าไปเป็นแขกที่ ‘เขายอดมรกตตระกูลถานไถ’ ได้ ย่อมต้องดื่มสุรากันให้หนักอีกแน่นอน”
หลินสวินตอบตกลงพร้อมรอยยิ้ม
จนกระทั่งตอนที่มองส่งถานไถเฟิงจากไป จู่ๆ ฝ่ายหลังก็เหลียวหลังกลับมา กะพริบตาปริบๆ กล่าวพร้อมยิ้มตาหยี
“พี่หลิง ข้าได้ยินว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดารามีมกุฎมหาจักรพรรดิคนเดียวชื่อหลินสวิน แต่ไม่ยักเคยได้ยินชื่อหลิงเสวียนจื่อนี้เลย”
หลินสวินอึ้งไป
ก็เห็นถานไถเฟิงหัวเราะลั่นพร้อมเดินออกไปอย่างวางท่า
ครู่ใหญ่ให้หลัง หลินสวินก็ยิ้มน้อยๆ หมุนตัวเดินกลับห้อง
หลายวันถัดมาแม้บรรยากาศในเมืองจะกดดัน แต่กลับเห็นได้ชัดว่าครึกครื้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คนมากมายไม่ปิดด่านอีกต่อไป เดินเหินบนท้องถนน เข้าไปในโรงน้ำชา หอสุรา กำลังสืบข้อมูลข่าวสาร
สาเหตุก็เพราะอีกสองสามวันแดนลับฝึกหลอมก็จะเปิดแล้ว
ในวันนี้เมื่อหลินสวินเดินออกจากห้อง เสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมก็เดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม กล่าวว่า “ผู้อาวุโส รายชื่อผู้เข้าร่วมฝึกฝนครั้งนี้เพิ่งออกประกาศ ท่านต้องการสักฉบับหรือไม่”
หลินสวินอัศจรรย์ใจ “ราคาเท่าไหร่”
“หนึ่งพันผลึกต้นกำเนิดจักรวาล”
เสี่ยวเอ้อร์รีบร้อนกล่าว “ท่านอย่าได้เข้าใจว่าข้าน้อยเรียกร้องเกินควรเชียว รายชื่อนี้ประกาศมาจากจวนเจ้าเมือง บนนั้นเขียนกำกับข้อมูลข่าวสารที่มีมูลค่าไว้เยอะมาก เชื่อว่าต้องไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน”
หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจ่ายผลึกต้นกำเนิดมรรคจักรวาลเพื่อซื้อหนึ่งฉบับ
เสี่ยวเอ้อร์จากไปด้วยอาการหน้าชื่นตาบาน แล้วไปเร่ขายให้แขกคนอื่นๆ ต่อ
หลินสวินหาที่นั่งง่ายๆ ที่หนึ่งในโรงเตี๊ยมชั้นหนึ่ง สั่งสุรามาหนึ่งกาแล้วเริ่มสำรวจรายชื่อในมือ
ไม่นานหลินสวินก็เผยสีหน้าประหลาดออกมา
ผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมแดนลับฝึกหลอมครั้งนี้ ถึงกับทะลุถึงหกร้อยกว่าคน ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในนั้นยังมีปราณระดับจักรพรรดิขั้นห้า
พวกบรรพจารย์ขั้นเก้ายิ่งมีให้เห็นจนไม่แปลกใหม่
แต่หลินสวินมองข้ามเรื่องพวกนี้อย่างสิ้นเชิง สายตาของเขาไล่สำรวจรายชื่อที่เขียนกำกับไว้ของบุคคลขอบเขตมกุฎเหล่านั้น
มกุฎมหาจักรพรรดิพวกนี้มีถึงห้าสิบสี่คน ล้วนเป็นยักษ์ใหญ่ที่มาจากมิติจักรวาลต่างๆ ในโลกพันจักรวาล พลานุภาพไร้ขอบเขต เด่นสะดุดตาสุดขีด
พลังปราณล้วนอยู่ระหว่างขั้นห้าถึงขั้นแปด
นี่ทำให้หลินสวินอดใจหายวาบไม่ได้ เขาสังเกตเห็นว่ามกุฎมหาจักรพรรดิเหล่านี้แทบจะมาจากมิติจักรวาลสิบอันดับแรกในโลกพันจักรวาลทั้งนั้น
โดยเฉพาะในนั้น มีเกือบยี่สิบคนล้วนมาจาก ‘เขตแดนดาราเทพผงาด’ ที่อยู่อันดับหนึ่ง!
แค่คิดก็รู้ว่าเขตแดนดาราเทพผงาดนี้น่าสะพรึงปานใด การที่อยู่อันดับหนึ่งในโลกพันจักรวาลได้ ย่อมไม่มีทางชื่อเสียงไม่สมคำล่ำลือแน่นอน
ทว่าหลินสวินก็พบว่าแม้จะมีมกุฎมหาจักรพรรดิมาก แต่กลับไม่มีใครที่เหยียบย่างสู่ระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นเก้าเลยสักคน!
‘ดูท่าระดับจักรพรรดิขั้นเก้านี่ สำหรับบุคคลขอบเขตมกุฎแล้ว ต้องเป็นปราการสวรรค์ที่ยากจะก้าวผ่านถึงขีดสุดอย่างหนึ่งแน่…’
หลินสวินคล้ายใคร่ครวญ
ทันใดนั้นเสียงอุทานตกใจสายหนึ่งพลันดังขึ้น “เขายอดกระบี่!”
ประโยคเดียวสามคำ กลับทำให้บรรยากาศที่อึกทึกจอแจของโรงเตี๊ยมชั้นหนึ่งเงียบเชียบไปอย่างน่าแปลก เหมือนมีอานุภาพน่าเกรงขามอันไร้รูปก็ไม่ปาน
แขกในโรงเตี๊ยมทุกคนต่างเงียบปาก เผยสีหน้าสะดุ้งตกใจ มองไปยังประตูใหญ่โรงเตี๊ยม
เงาร่างห้าสายปรากฏอยู่บริเวณประตูใหญ่โรงเตี๊ยมและสาวเท้าก้าวเข้ามา คนตรงกลางนั้นท่วงท่าโดดเด่นผ่าเผย ศีรษะสวมเกี้ยวประดับทองม่วง เอวรัดเข็มขัดหยกขาว หล่อเหลาองอาจไม่ธรรมดา เจือความน่ายำเกรงยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง
เสมือนจอมราชันมาเยือนยังโลกมนุษย์!
……………………