ผู้นำกองทหารขบวนนี้เป็นชายที่สวมเกราะสีเขียวเข้ม กำยำหาญกล้าคนหนึ่ง
นี่คือหัวหน้าผู้คุ้มกันในเมือง เป็นพวกกร้าวแกร่งที่ขาดอีกนิดเดียวก็จะเหยียบย่างสู่ระดับบรรพจารย์มรรคคนหนึ่ง นามว่าเหิงจั้น
“จากนี้ไปข้าจะพาพวกเจ้ามุ่งหน้าสู่แดนลับฝึกหลอม”
เหิงจั้นนัยน์ตาเย็นเยียบดุจสายฟ้า ทวนใหญ่สำริดในเมือโบกคราหนึ่ง
สายฟ้าฟาดสะเทือนฟ้าสายหนึ่งร่วงลงมา ห้วงอากาศระเบิดออก แท่นมรรคเก่าแก่ลายพร้อยแท่นหนึ่งปรากฏต่อหน้าทุกคนพร้อมๆ กับเสียงอึงอลดังกระหึ่ม
ตูม!
แสงศักดิ์สิทธิ์มหึมาสายหนึ่งพุ่งออกจากมือเหิงจั้น ทะลวงอากาศแหวกออกเป็นทางห้วงอากาศที่กว้างขวางสายหนึ่งบนแท่นมรรค ทะลุไปยังอีกด้านซึ่งยังเป็นปริศนา
“ออกเดินทาง!”
เหิงจั้นที่หาญกล้าสะเทือนขวัญผู้คนนำทัพทหารสวมชุดเกราะทั้งกลุ่มเหยียบย่างบนแท่นมรรคแท่นนั้นเป็นขบวนแรก จากนั้นระดับจักรพรรดิหกร้อยกว่าคนที่เข้าร่วมการเคี่ยวกรำในครั้งนี้ก็เรียงแถวตามเข้าไป
มองส่งพวกเขาจากไปจนหมดแล้ว ส่วนลึกในดวงตาของเหิงเทียนซั่ววาบประกายเย็นเยียบอย่างไม่เป็นที่สังเกต พึมพำในใจ ‘หลิงเสวียนจื่อ ฝ่าฝืนกฎในเมือง ก็ต้องชดใช้ด้วยโทษตาย…’
…
ห้วงอากาศผันแปร ดาวเคลื่อนดาราคล้อย
บนเส้นทางห้วงอากาศบนแท่นมรรคนั้นประหนึ่งกาลเวลาย้อนกลับ แต่ละก้าวที่มุ่งหน้าไปกลิ่นอายดึกดำบรรพ์ล้วนปะทะหน้าเข้ามา ทุกคนต่างรู้สึกว่าความว่างเปล่ารอบตัวเหมือนกับปั่นป่วน เสมือนผ่านกาลเวลาผันแปรเนิ่นนานในชั่วอึดใจเดียว
ทุกสิ่งที่เห็นตรงหน้าเต็มไปด้วยแสงกาลเวลาที่งดงามพร่างพราว กลายเป็นแถบแสงรุ้งเทพแผ่วพลิ้ว สามารถมองเห็นเขตแดนดาราแห่งแล้วแห่งเล่าถูกทิ้งไว้ด้านหลังเป็นครั้งคราว
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ทุกคนล้วนตัวสั่นไหว พุ่งพรวดออกจากเส้นทาง มายังกลางจักรวาลอันเย็นเยียบแห่งหนึ่ง
“นั่นก็คือ ‘สถานที่เนรเทศ’ หรือ”
มีคนร้องอุทาน ที่ปลายทางจักรวาลมีโลกขนาดมหึมาหาใดเปรียบแห่งหนึ่ง ลักษณะคล้ายเกาะโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งที่พาดขวางอยู่ในส่วนลึกฟ้าดารา ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความผันผวนหมื่นยุคออกมา
บางครั้งจะมีดวงดาวสว่างจ้ามหึมาดวงหนึ่งคล้ายพบเจอแรงดึงดูด ร่วงเข้าไปกลางโลกใหญ่แห่งนั้น พริบตาก็อันตรธานหายไป เสมือนถูกกลืนกินในพริบตาเดียว
ดาวดวงนั้นใหญ่โตขนาดไหน ทว่าต่อหน้าโลกมหึมานั่นกลับเสมือนแมลงตัวหนึ่ง ถูกกลืนกินเข้าไปจนสิ้น
ภาพเหตุการณ์แปลกพิสดารระดับนี้ทำให้ในใจผู้คนไม่รู้เท่าไรเสียวสะท้าน นี่ก็คือแดนลับฝึกหลอม หรือถูกเรียกอีกชื่อว่า ‘สถานที่เนรเทศ’!
“ว่ากันว่าโลกแถบนี้แต่เดิมเป็นอาณาจักรแห่งเทพในยุคก่อน มีเทพสถิตอยู่ มีบุคคลในตำนานเทพอันน่าเหลือเชื่อมากมาย”
มีคนเอ่ยเสียงเบา “แต่เมื่อยุคก่อนดับสลาย อาณาจักรแห่งเทพแถบนี้ก็พบเจอกับการทำลายล้างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติกาล ปัจจุบันถูกมองเป็น ‘สถานที่เนรเทศ’ ที่เทพผีเข็ดขยาด”
“ข้าเองก็เคยได้ยินมา ในกาลเวลาตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา มีระดับอมตะไม่น้อยเหยียบย่างเข้าไปในนั้น หมายจะเสาะหานัยเร้นลับของยุคก่อน แต่ล้วนร่วงหล่นอยู่ภายในอย่างไม่มียกเว้น”
บรรพจารย์ขั้นเก้าคนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สาเหตุก็เพราะในสถานที่เนรเทศแห่งนั้นเต็มไปด้วยภัยพิบัติพิสดารที่พุ่งเป้าไปยังระดับอมตะ ไม่ว่าใครเข้าไปล้วนต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย จะมีก็แต่ระดับจักรพรรดิเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้โดยไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะประสบเคราะห์ภัยแปลกพิสดารระดับนี้”
ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์ เห็นได้ชัดว่าล้วนเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับแดนลับฝึกหลอมแห่งนี้กันแล้ว
หัวหน้าผู้คุ้มกันเหิงจั้นพาทุกคนเหินทะยานในจักรวาล ไม่นานก็มาถึงจุดที่อยู่ห่างจากโลกซึ่งเต็มไปด้วยสีสันลึกลับแห่งนั้น
ตูม!
ดาวขนาดมหึมายิ่งดวงหนึ่งพุ่งผ่านอย่างบังเอิญ ลากแสงประกายแสบตาที่ประหนึ่งไฟลุกโหม ก่อนร่วงตกลงไปในโลกแห่งนั้น
พริบตาเดียวก็เหมือนถูกกลืนกิน อันตรธานหายไป!
ภาพที่กลืนกินดารานี้ ทำเอาผู้คนฮือฮากันอีกระลอก
สถานที่เนรเทศลึกลับเช่นนี้ หลังจากยุคก่อนปิดฉากจนถึงตอนนี้ ผ่านการแปรเปลี่ยนและเจือกลิ่นอายเร้นลับพิสดารที่ไม่อาจล่วงรู้อย่างหนึ่ง
“พวกเจ้าต่างก็รู้ดี แดนลับฝึกหลอมนี้แบ่งออกเป็นเก้าอาณาเขตใหญ่ แต่ละพื้นที่ล้วนเต็มไปด้วยอันตรายต่างกันไป สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำก็คือรวบรวม ‘แหล่งดารา’ จากนั้นคือรอดชีวิตต่อไป”
เหิงจั้นเอ่ยปาก เสียงดังสนั่นดุจสายฟ้าฟาด “จำไว้ เวลามีเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น”
สวบ!
เสียงเพิ่งสิ้นสุดก็มีคนพุ่งออกไปก่อน เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ กระโจนเข้าสู่โลกแห่งนั้น
จากนั้นคนอื่นๆ ก็พุ่งตัวตามไปติดๆ แทบจะออกเดินทางเป็นกลุ่มก้อน
ไม่มีใครล่าถอยและลังเล ล้วนเป็นพวกกร้าวแกร่งที่ผ่านประสบการณ์เข่นฆ่าและเหยียบย่างบนหนทางจักรพรรดิมาไม่รู้เท่าไหร่ ไม่ว่าสภาวะจิตหรือความกล้าหาญล้วนไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบได้
แสงศักดิ์สิทธิ์ไหลวน พวกเฟิงจวินหลินก็เคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน เรียกสายตาหันไปมองมากมาย
นอกจากนี้หลินสวินก็สังเกตเห็นว่า มีพวกกร้าวแกร่งที่ทั้งบุคลิกและอานุภาพล้วนไม่ด้อยไปกว่าเฟิงจวินหลินก็ออกเดินทางแล้วเช่นกัน
มีคนยืนบนน้ำเต้าเปลือกเขียวขนาดใหญ่เสมือนเรือ สวมชุดนักพรต แขนกว้างภูมิฐาน ยามกะพริบตามีไอแรกกำเนิดคละคลุ้ง
มีคนผิวเรียบเกลี้ยงเกลา กิริยาอ่อนช้อย ทั่วร้างอาบชโลมอยู่ท่ามกลางแสงศักดิ์สิทธิ์ ดั่งฝันดุจมายาม แต่ละก้าวเหยียบย่าง ใต้เท้าก็จะผุดบัวมรรคสีทองที่แวววาวบานสะพรั่งออกมา
มีคนดุจดั่งเทพมารอหังการ นัยน์ตาเย็นเยียบดุจดาบ เจือไอชั่วร้ายสะท้านฟ้า ม้วนตลบฟ้าดารา โหดเหี้ยมดุดันไร้ขอบเขต
มีคนดูคล้ายปัญญาชนอ่อนแอทั่วไป แต่ยามก้าวเดินกลับผสานฟ้าดิน ก้องเสียงมหามรรค ทั้งยังมีเสียงท่องคัมภีร์เก่าแก่แว่วมารางๆ
มีคน…
แต่ละคนแทบจะมีพลานุภาพระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นแปด แม้บุคลิกจะต่างกัน แต่ล้วนมีท่วงท่าผงาดกร้าวไร้ศัตรูเหมือนกัน
จะไม่ให้หลินสวินไม่สนใจคงไม่ได้
จนกระทั่งเห็นว่าเหวินเซ่าเหิงพาระดับจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งออกไป หลินสวินก็อดอัศจรรย์ใจไม่ได้
ควรรู้ว่าก่อนหน้านี้ระดับจักรพรรดิอย่างพวกท่านย่าเสวี่ยที่อยู่ข้างกายเหวินเซ่าเหิงล้วนถูกเขาฆ่าจนเหี้ยน
แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเหวินเซ่าเหิงไปหาระดับจักรพรรดิมากมายขนาดนี้มาติดตามข้างกายจากที่ไหน เห็นได้ชัดว่าน่าเหลือเชื่อยิ่ง
เพียงแต่สำหรับหลินสวินแล้ว ขอเพียงยืนยันได้ว่าเหวินเซ่าเหิงเข้าร่วมในการฝึกฝนครั้งนี้ด้วยก็พอแล้ว
เพราะครั้งนี้ เขาจะไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายรอดชีวิตหนีไปได้อีก!
ไม่นานหลินสวินก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน เคลื่อนตัวผ่านห้วงอากาศ ทะยานออกไป
‘เจ้าหมอนี่เกรงว่าคงไม่รู้สักนิด ว่าขอเพียงเข้าสู่แดนลับฝึกหลอมนั่น สิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือเส้นทางตายสายหนึ่ง…’
เมื่อเห็นว่าหลินสวินเริ่มเคลื่อนไหว สายตาเหิงจั้นก็ฉายแววเวทนาอย่างไม่เป็นที่สังเกต
ไม่นานผู้ฝึกปราณทั้งหมดที่เข้าร่วมต่างก็หายเข้าไปในโลกแห่งนั้น
…
นี่คือโลกที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายรกร้างแห่งหนึ่ง ฟ้าสูงเมฆกว้าง ทุกแห่งหนเห็นแต่เนินดินเก่าแก่ ทิวเขาสูงใหญ่ เวิ้งว้างไร้สิ้นสุด
เพียงแต่ที่นี่กลับไม่มีหญ้าสักต้นงอกเงย ทุกที่ล้วนปรากฏแต่ภาพอันแห้งแล้งเปล่าเปลี่ยว
ไม่มีพลังชีวิต!
ไม่มีกลิ่นอายมหามรรค!
เสมือนโลกซึ่งเป็นซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง หลงเหลืออยู่ท่ามกลางความพินาศของกาลเวลาไร้สิ้นสุด
ฮูม…
ห้วงอากาศสั่นไหวระลอกหนึ่ง เงาร่างหลินสวินปรากฏตัวขึ้น สิ่งที่เขาเห็นแวบแรกก็คือโลกที่รกร้างและดั้งเดิมเช่นนี้
เพียงแต่ไม่รอให้หลินสวินสำรวจโดยละเอียดก็มีการเปลี่ยนแปลงประหลาดเกิดขึ้น…
ตูม!
ศรเทพที่คมกริบสะเทือนโลกสายหนึ่งแหวกอากาศเป็นสายยาว จู่ๆ ก็ยิงออกมาจากความว่างเปล่าฝั่งหนึ่งกะทันหัน เร็วจนน่าเหลือเชื่อ
หลินสวินโบกแขนเสื้อทันที เสียงปึงดังขึ้น ศรเทพสายนี้แตกระเบิดห่างจากเบื้องหน้าเขาไปสามฉื่อ ละอองแสงพร่างพรม
ทว่านี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
ก็เห็นแผ่นดินใหญ่พังถล่มฉับพลัน ปราณดาบเจิดจ้าที่แน่นขนัดนับไม่ถ้วนหอบม้วนออกมา
ขณะเดียวกันในทิศทางต่างๆ ทั้งเหนือใต้ออกตกรอบตัวหลินสวิน ล้วนมีการลอบโจมตีอันน่ากลัวพุ่งเข้ามา
มีแส้เทพทองอร่าม ฟาดห้วงอากาศแหลกเละ ดุจมังกรเทพสีทองออกจากหุบเหว
มีหยกสมประสงค์ที่แสงหลากสีสันไหลหลั่ง ยามพุ่งพาดขวางห้วงอากาศเข้ามา สะท้อนภาพเงามายาของภูเขาเทพลูกแล้วลูกเล่า ครอบฟ้าบังตะวัน
มีระฆังทองแดงส่งเสียงกังวาน มีบาตรที่พ่นประกายแสงหมื่นจั้ง มีขวานแหวกผ่าห้วงอากาศ ฟันมาอย่างเกรี้ยวกราด…
พริบตานั้นสี่ทิศแปดทางล้วนถูกพลังโจมตีอันน่าสะพรึงปิดครอบอย่างสมบูรณ์
วิชามรรคแต่ละอย่างล้วนแล้วเต่เรียกได้ว่าน่าสะพรึงเป็นหนึ่งแห่งยุค
ศาสตราจักรพรรดิแต่ละชิ้นต่างมีประกายแสงลุกโชนที่สามารถดับฟ้าทำลายดินได้
ยามการโจมตีทั้งหมดนี้พุ่งเข้ามาในเวลาเดียวกัน ภาพระดับนั้นราวกับหมายจะทำลายหลินสวินรวมถึงฟ้าดินที่หลินสวินอยู่นั้นทิ้งไปจนหมด!
น่าสะพรึงเกินไป และเกิดขึ้นเร็วเกินไป ใครจะกล้าคิดว่าเพิ่งเข้าสู่สถานที่เคี่ยวกรำก็ต้องเผชิญเคราะห์หฤโหดเช่นนี้แล้ว
และในการซุ่มโจมตีที่มาอย่างปุบปับนี้ ต่อให้เป็นหลินสวินก็ยังถอยจนไม่มีที่ให้ถอย หลบจนไม่เหลือที่ให้หลบเช่นกัน
แต่สีหน้าของเขากลับไม่มีความไหวหวั่น มีเพียงดวงตาที่เย็นชาถึงขีดสุดในทันใด
ก็เห็นว่า…
เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทะยานออกไป สาดแสงสว่างจ้าในฉับพลัน แสงมรรคมากมายไหลหลั่ง วิวัฒน์เป็นหุบเหวใหญ่ที่พาดขวางกลางฟ้าดิน
ส่วนหลินสวินก็พุ่งตัวทะยานขึ้นไป กระโจนไปยังทิศทางหนึ่ง มรรควิถีทั้งตัวถูกปลดปล่อยเต็มกำลัง
ไม่มีออมมืออีกต่อไป!
ถูกล้อมกรอบไม่น่ากลัว ขอแค่จับจุดได้แล้วฝ่าออกมาตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง
ตูม โครม…
ฟ้าดินแถบนี้สั่นไหว พังทลายโกลาหลอย่างที่สุด พลังและสมบัติน่าสะพรึงมากมายร่วมกันปิดครอบ ทำลายพื้นที่แถบนี้ให้ย่อยยับไปตรงๆ
กลิ่นอายทำลายล้างเดือดคลั่ง ภูผาธาราละแวกพันลี้ถูกกวาดล้างราบเป็นหน้ากลองในชั่วพริบตานั้น ห้วงอากาศเสมือนกระดาษเปื่อย ถูกบดขยี้แหลกเละ
“เป็นอย่างไร”
ท่ามกลางฝุ่นควันคลุ้งตลบ เสียงหนึ่งดังขึ้น
“น่าจะตายแล้ว…”
ในพื้นที่ใกล้เคียง เสียงต่ำลึกสายหนึ่งเอ่ย
“พวกเราลงมือพร้อมกัน อย่าว่าแต่ระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นหกเลย เกรงว่ายังสามารถฆ่าบรรพจารย์ขั้นเก้าคนใดก็ตามให้ตายได้ง่ายๆ”
เสียงสนทนาแผ่วเบาดังขึ้น ท่ามกลางฝุ่นควันคลุ้งตลบนั้น เงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นต่อเนื่อง กลิ่นอายล้วนน่าสะพรึงชวนสยดสยองเป็นที่สุด
มีถึงยี่สิบกว่าคน!
และในจุดที่หลินสวินอยู่แต่เดิม ก็ถูกซัดจนกลายเป็นโกรกธารมหึมาสายหนึ่ง ลึกจนมองไม่เห็นก้น กลิ่นอายทำลายล้างยังคงคละคลุ้ง ส่งเสียงก้องสะท้อนน่าหวาดหวั่นยิ่งยวด
“เฮอะๆ การโจมตีเต็มกำลังที่พวกเราวางแผนมานาน จะฆ่าเจ้าหมอนี่ให้ตายไม่ใช่ว่าง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือหรอกหรือ”
ชายชราผอมแห้งคนหนึ่งลูบเคราหัวเราะ มือเขาถือประทับเก่าแก่ที่หลั่งแสงหลากสีชิ้นหนึ่ง อานุภาพแข็งแกร่งถึงขีดสุด เป็นบรรพจารย์ขั้นเก้าคนหนึ่งนั่นเอง
“ไม่ถูกต้อง ถ้าคนถูกสังหาร จะหายไปกับฝุ่นควันก็ช่างเถอะ แต่เหตุใดถึงไม่เห็นทรัพย์หลังศึกหลังจากหลิงเสวียนจื่อนี่ร่วงหล่นเลย”
มีคนส่งเสียง เจือแววสงสัย “หรือว่า…”
ชายชราผอมแห้งที่มือถือประทับเก่าแก่ก็อึ้งไป ขณะที่กำลังจะแผ่จิตรับรู้ไปตรวจสอบ
ก็เป็นเวลานี้เองที่มือใหญ่เรียวยาวข้างหนึ่งดุจดั่งโผล่ขึ้นกลางอากาศ บีบคอของชายชราผอมแห้งกะทันหันแล้วบิดเบาๆ
พรูด!
ศีรษะหนึ่งก็ถูกเด็ดลงมาอย่างรุนแรง เลือดสดพุ่งกระฉูดออกมาราวน้ำพุ ย้อมห้วงอากาศแถบนั้นเป็นสีแดงฉาน
จากนั้นเงาร่างชายชราผอมแห้งก็ถูกซัดแหลก กลายเป็นเศษเลือดเนื้อนับไม่ถ้วนร่วงลงพื้น ชั่วพริบตาเศษเลือดเนื้อเหล่านี้เสมือนถูกเผาไหม้ทั้งหมดก็ไม่ปาน กลายเป็นหมอกควันเหม็นคาวเสียดจมูกสายหนึ่ง
หายไปกับฝุ่นควัน!
และจุดที่ชายชราผอมแห้งยืนอยู่แต่เดิม ก็ปรากฏเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งขึ้นกลางอากาศ
……………………..