บทที่ 2130

เขาเป็นคนฉลาด ดังนั้นในคำพูดที่ดูเหมือนปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจนี้ของน้องชาย มีเจตนาฆ่ามากแค่ไหนกันแน่ ในใจของเขา
ชัดเจนมาก

เขาแอบกัดฟันพูดในใจว่า: “ซูโสว่เต๋อนะซูโสว่เต๋อ! แกแมร่งหาโอกาสเหมาะสมตอกย้ำซ้ำเติมจริงๆ!”

“เรื่องทั้งหมด แม้ว่าฉันจะมีความรับผิดชอบ แต่ทำให้ตระกูลตกสู่สถานการณ์ซบเซาไม่ใช่ฉัน แต่เป็นคุณท่าน! แต่ว่า ไอ้สารเลวซูโสว่
เต้าต่อหน้าทุกคน โยนความผิดทั้งหมดให้ฉัน นี่บีบคั้นให้ฉันต้องรับความผิดนี้!”

“ถ้าผมยอมรับแล้ว งั้นฉันก็จะกลายเป็นคนร้ายอย่างสมบูรณ์;”

“แต่ถ้าฉันไม่ยอมรับ คุณท่านยังไม่รู้ว่าจะคิดยังไง ในใจของเขาคงจะเกลียดฉันมากอย่างมากแน่ๆ!”

“ยิ่งกว่าไปนั้น ไอ้สารเลวซูโสวเต๋อนี้ พูดต่อหน้าคุณท่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ฉันเป็นผู้นำของตระกูลซูในอนาคต ยังบอกว่าจะช่วยเหลือฉัน
ได้ดีขึ้น นี่แมร่งก็คือความคิดฆ่าคนไม่ใช่เหรอ?!”

“คุณท่านยังมีชีวิตอยู่! ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังคงควบคุมตระกูลซูทั้งหมดอย่างแน่นหนา! ซูโสว่เต่อกลับพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อหน้าเขาว่าฉัน
เป็นผู้นำในอนาคต เขาต้องการทำให้คุณท่านเกลียดฉัน!”

“ตั้งแต่สมัยโบราณ จักรพรรดิผู้มีอายุยืนยาว ต้องระวังมากที่สุดก็เจ้าชาย! เพราะว่าในความคิดของเขา เจ้าชายปรารถนาในราชบัลลังกั
ของเขาตลอดเวลาปรารถนาอำนาจของเขา ดังนั้น เจ้าชายคงจะต้องรอคอยความตายของเขาอยู่ตลอดเวลาอย่างแน่นอน”
“ในส่วนลึกของหัวใจของคุณท่าน ต่อฉัน ก็คงจะต้องระวังเหมือนกันอย่างแน่นอน!”

“ตอนนี้ถูกซูโสว่เต๋อพูดถึงแบบนี้ การระวังของคุณท่านที่มีต่อฉันก็ต้องกลายเป็นแข็งแกร่งมากขึ้น!”

“ไม่เพียงแค่นั้น! ซูโสว่เต๋อทำแบบนี้ ยังเทียบเท่ากับว่าแอบช่วยให้คุณท่านหลุดพันจากปัญหา!”

“เดิมที่ คุณท่านต่างหากที่เป็นไอ้สารเลวที่ไม่คำนึงถึงสายเลือด ใช่ชีวิตของหลานสาวมาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์!”

“แต่ว่า ถูกซูโสว่เต่อก่อกนแบบนี้! ความรับผิดชอบก็พุ่งไปที่หัวของฉันแล้ว! ในใจคุณท่านคงจะพอใจต่อการกระทำนี้ของซูโสว่เต้ามาก
จนไม่ไหว! นี่แมร่งน่ารังเกียจมากเกินไปแล้ว!”

เป็นไปตามที่ซูโสว่เต้าคาดการณ์ไว้

หลังจากที่ซูโสว่เต้าพูดแบบนี้จบ สีหน้าของคุณท่านใหญ่ซูก็ดูดีขึ้นมากในทันที

เขาแอบคิดในใจว่า: “ความผิดใหญ่ขนาดนี้ ก็ต้องมีคนรับความผิด ตามคำกล่าวที่ว่าน้องชายแกตายเถอะฉันไม่ตาย(หมายความว่าเพื่อ
ผลประโยชน์ของตัวเองไม่คำนึงถึงความเสียหายของผู้อื่น) ในเมื่อโสว่เต๋อโยนความผิดให้โสว่เต้าให้รู้แล้วรู้รอด งั้นฉันก็มีความสุข!”
ดังนั้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “โสว่เต้า! เมื่อกี้นี้โสว่เต้าพูดสิ่งเหล่านี้ แกมีความคิดยังไง?”

ซูโสว่เต้ามีใจอยากจะตายแล้ว
“ฉันมีความคิดยังไง? ฉันแมร่งจะกล้ามีความคิดยั่งไง? ความคิดที่แท้จริงของฉันคือ ซูโสว่เต่อพูดจาเหลวไหลทั้งนั้น! แต่คำพูดนี้ฉัน
สามารถพูดได้หรือเปล่า? ฉันแมร่งสามารถพูดได้มั้ย?”
“ถ้าฉันแมร่งบอกว่าซูโสว่เต๋อกำลังพูดจาเหลวไหล งั้นก็จะโยนความผิดไปที่บนตัวของคุณท่านอีกครั้งไม่ใช่เหรอ? ด้วยอุปนิสัยที่ความ
เกลียดเล็กน้อยก็ต้องแก้แค้นอย่างคุณท่าน จากนี้ไปฉันแมร่งยั่งจะมีชีวิตอยู่ดีอีกเหรอ?”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ในใจของซูโสว่ต้าก็ถอนหายใจยาว: “เฮ้อ! พูดพร่ำบ่น สุดท้ายยังต้องกล้ำกลืนความโกรธเอาไว้อยู่ดี!”
ดังนั้น เขาพูดด้วยใบหน้าละอายใจว่า: “พ่อ สิ่งเหล่านี้ที่โสว่เต่อพูดผมก็ยอมรับ เรื่องนี้เป็นความผิดของผมจริงๆ ผมทำได้ไม่ถูกต้อง พ่อ
วางใจเถอะ จากนี้ไปผมจะเอามาเป็นเครื่องเตือนใจปรับปรุงให้ดีมากขึ้น!”
ซูเฉิงเฟิงรู้สึกในทันที ความโกรธที่ติดอยู่ในอกนั้น ก็สลายไปหมดตัวในทันที
แน่นอนว่าคนก็ไม่อยากยอมรับความผิด คนใกล้ตัวกัน ก็จะโยนความผิดไประหว่างซึ่งกันและกัน ก็เหมือนลูกป่วย สามีต่อว่าภรรยาไม่
ดูแลให้ดี กรรยาต่อว่าสามีปกติไม่สนใจดูแลลูก; ออกบ้นสายไม่ทันรถ สามีต่อว่าภรรยาแต่งหน้าแต่งตัวล่าช้า กรรยาต่อว่าสามีขับชักช้ามาก
เกินไป
ถึงยังไง ตราบใดที่สามารถยนความผิดให้กับคนอื่น แม้ว่าจะโยนให้ลูกชายแท้ๆ ก็เป็นเรื่องดีมากที่ร่วมฉลองทั่วแดน
ดังนั้น เขาพยักหน้าเบาๆ และพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง: “แกในฐานะลูกชายคนโตของตระกูลซู ทำสิ่งต่างๆหุนหันพลันแล่นเกินไป น่าจะ
ขัดเกลามุมมองเหล่านั้นบนตัวของแกให้ดีๆ”
จากนั้น เขาก็กระแอมแล้ว และพูดต่อไปว่า: “อะแฮ่ม เอาแบบนี้นะ! ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป จนกว่าเรื่องนี้จะคลี่คลายไปทั้งหมด แกก็ไม่
ต้องปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนอีก ไปอยู่ที่ออสเตรเลียเงียบๆช่วงหนึ่ง รอผ่านสถานการณ์หน้าสี่วหน้าขวานไปค่อยว่ากันเถอะ!”