ตึง!
เสียงครวญสะท้านฟ้าดังขึ้น
เมื่อวิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์นั้นถูกสังหาร ธงสีเลือดที่มันเหลือไว้ก็ถูกกำราบอย่างสมบูรณ์
ขณะเดียวกันไข่มุกขนาดเท่าไข่นกพิราบเม็ดหนึ่งตกสู่กลางมือหลินสวิน
นี่คือ ‘มุกบรรจุมรรค’ เป็นสิ่งที่วิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์เหลือไว้ คือแก่นมรรควิถีทั้งตัวมัน
ความจริงวิญญาณร้ายระดับจักรพรรดิที่กระจายอยู่ในโบราณสถานมหามรรค หลังจากถูกสังหารจะเหลือไข่มุกเช่นนี้ไว้ทั้งสิ้น
สำหรับผู้ฝึกปราณ พลังมหามรรคอัศจรรย์ของยุคก่อนที่สั่งสมอยู่ในไข่มุกนี้น่ามหัศจรรย์หาใดเปรียบ หากนำมันไปหลอมจะยกระดับความสามารถด้านมหามรรคของตนได้
มูลค่าของไข่มุกนี้ก็ชวนตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ไม่ด้อยไปกว่ามุกยมโลก
ส่วนมุกบรรจุมรรคระดับบรรพจารย์ในมือหลินสวินนี้ แน่นอนว่าหายากและล้ำค่ายิ่งกว่า ใช่ว่ามุกบรรจุมรรคของวิญญาณร้ายระดับจักรพรรดิพวกนั้นจะเทียบได้
หลินสวินเก็บมุกบรรจุมรรคนี้ลงไปลวกๆ เหลือบสายตาไปยังธงสีเลือดผืนนั้น
หลังจากตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนหลินสวินก็อดไหวหวั่นไม่ได้ นี่เป็นถึงสมบัติของยุคก่อน มีนามว่าธงตะวันจันทรา
ในธงมีโลกดาราแห่งหนึ่ง ยามต่อสู้ เมื่อธงศึกพลิกตลบ ก็เหมือนโบกสะบัดโลกดาราแห่งหนึ่ง สามารถตวัดคู่ต่อสู้แล้วกำราบเข้าไปในนั้นและหลอมละลายอย่างสมบูรณ์
ศัตรูที่หลอมยิ่งมาก พลังของสมบัติชิ้นนี้ก็ยิ่งแข็งแกร่ง เรียกได้ว่าแปลกประหลาด!
แต่น่าเสียดายที่สมบัตินี้ชำรุด ธงศึกก็เต็มไปด้วยรูพรุนยับเยิน อานุภาพลดน้อยลง สิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การกล่าวถึง บางทีอาจเป็นเจตวัตถุที่ใช้หลอมสมบัตินี้ซึ่งแฝงคุณสมบัติอมตะเป็นเส้นเป็นริ้ว
หลินสวินโยนสมบัตินี้เข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งโดยตรง
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งต่างจากยอดศาสตรามรรคจักรพรรดิในความหมายทั่วไปอย่างสิ้นเชิง สามารถรองรับและดูดซับพลังของวัตถุอมตะได้ จากนั้นจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินย่อมยินดี
“พี่หลิน เจ้ามาจากแดนนรกจริงหรือ” เวลานี้เยวี่ยตู๋ชิวเหยียบน้ำเต้าเปลือกเหลืองยักษ์ลูกหนึ่งห้อตะบึงมา เผยสีหน้าประหลาดใจ
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” หลินสวินถามกลับ
“เหมือน เหมือนมาก! ซ้ำยังเป็นดาวข่มที่จับวิญญาณชั่วร้ายโดยเฉพาะด้วย” เยวี่ยตู๋ชิวลูบคาง สีหน้าจริงจัง
เซี่ยงเสี่ยวหยวนอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “เอาเถอะ พวกเราควรไปได้แล้ว”
นางก็มองออกว่าบนตัวหลินสวินมีความลับมากมาย แต่ไม่ได้ถามมากความด้วยรู้ตนดี
ใครบ้างไม่มีความลับติดตัว
ทั้งสามคนเคลื่อนไหวต่อ ไม่นานก็เจอประตูห้วงอากาศที่ซ่อนอยู่ในหมอกควัน กลางยอดเขามหึมาที่วิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์นั่นจำศีลอยู่
“ที่นี่แหละ หลังจากเข้าไปในนั้นก็เท่ากับเข้าสู่เขตผนึกซึ่งเป็นสถานที่ซ่อนวาสนาแห่งนั้นแล้ว จากประสบการณ์ในปีนั้นของท่านพ่อข้า ระหว่างทางนี้จะไม่สงบสุขแล้ว”
เซี่ยงเสี่ยวหยวนพูดพลางพลิกมือหยิบดาบบินเขียวมรกตที่เล็กบางดุจใบหลิวเล่มหนึ่งออกมา เสียงวู้มดังขึ้น มันลอยอยู่ตรงหน้านาง แผ่แสงอสนีสีเขียวคมกริบชวนประหวั่นหลากสาย น่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่ง
ดาบอสนีเขียว!
ศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ของเซี่ยงเสี่ยวหยวน
“ทะยาน”
เยวี่ยตู๋ชิวสะบัดมือ น้ำเต้าเปลือกเหลืองใต้ฝ่าเท้าโฉบพุ่งหมุนวน เปลี่ยนเป็นขนาดเท่าฝ่ามือทันที ลอยอยู่กลางฝ่ามือ กลิ่นอายแรกกำเนิดอบอวลออกมาจากปากน้ำเต้า น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
หลินสวินก็เรียกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งออกมา
จากนั้นทั้งสามคนจึงก้าวเข้าไปในประตูห้วงอากาศนั้นพร้อมกัน
…
เมื่อพวกเขาเพิ่งจากไปได้ไม่นาน
ฟุ่บ!
งูตัวเล็กสีแดงก่ำ ขนาดหนาเท่าตะเกียบปรากฏตัวกลางยอดเขามหึมานี้
“ฟ่อๆ…”
นัยน์ตาของงูตัวเล็กสีแดงสดฉายแววตกใจ จากนั้นก็หายไปกลางอากาศในพริบตา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
ส่วนลึกของเขตผนึกแห่งหนึ่ง
บ่อเก่าแก่ที่มีหมอกควันลึกลับพวยพุ่ง ในความรางเลือนมีเสียงคำรามเหมือนเทพมารดังออกมาจากส่วนลึกของบ่อเก่าแก่ พาให้ผู้คนใจสั่นระรัว
ข้างบ่อเก่าแก่มีกระบี่เล่มหนึ่งปักอยู่เฉียงๆ ตัวกระบี่ย้อมด้วยกลิ่นคาวเลือด เมื่อไหร่ก็ตามที่เสียงคำรามเหมือนเทพมารนั้นดังขึ้น ตัวกระบี่จะสั่นสะเทือนเล็กน้อย ส่งเสียงครวญเยียบเย็นเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกำลังสยบตัวตนน่ากลัวบางอย่างที่อยู่ในส่วนลึกของบ่อเก่าแก่นั่น
ฟุ่บ!
งูตัวเล็กสีเลือดที่หนาเท่าตะเกียบนั้นปรากฏตัวแล้ว
มันมองกระบี่อาบเลือดที่ปักเฉียงอยู่ข้างบ่อเก่าแก่นั้นอย่างหวาดกลัวหาใดเปรียบก่อน จากนั้นจึงส่งเสียงสื่อจิตคลุมเครืออย่างรวดเร็ว
‘ฝ่าบาท ร่างและจิตวิญญาณของราชันเฟยถัวถูกคนสังหารแล้ว’
หมอกควันสีดำชวนประหวั่นพวยพุ่งออกมาจากบ่อเก่าแก่ทันที ในความรางเลือนมีเสียงเยียบเย็นหนึ่งดังขึ้น “เฟยถัวคอยเฝ้าทางเข้า ‘แดนเซียนยอดยุทธ์’ ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ไม่เคยเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ทำไมถึงถูกสังหาร”
เสียงนั้นดังครั่นครืนเหมือนกระบี่เทพเสียดกระดูก
งูตัวเล็กสีเลือดตกใจจนตัวสั่นงันงก
“ในแดนเซียนยอดยุทธ์มี ‘ประทับ’ วาสนาดับสิ้นซ่อนอยู่ ให้คนอื่นชิงไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นต่อให้พวกเราหลุดออกไปก็ไม่อาจฟื้นคืนจากสภาพครึ่งคนครึ่งผีนี้ได้อย่างสมบูรณ์!”
ในบ่อเก่าแก่นั้นมีเสียงเยียบเย็นเสียดกระดูกดังขึ้นอีกครั้ง
งูตัวเล็กสีเลือดอดกล่าวไม่ได้ “ฝ่าบาท ข้าน้อยจะเรียกชุมนุมขุนพลเทพคนอื่นมุ่งหน้าไปแดนเซียนยอดยุทธ์นั้น แล้วฆ่ามือสังหารที่ปลิดชีพราชันเฟยถัวนั่นซะ!”
“ช้าก่อน!”
เสียงเยียบเย็นในบ่อเก่าแก่ดังขึ้น “เจ้าพาขุนพลเทพห้าคนมุ่งหน้าไป ประจำการอยู่หน้าทางเข้าแดนเซียนยอดยุทธ์ หากผู้ฝึกปราณที่สังหารเฟยถัวนั่นมีความสามารถนำ ‘ประทับยุคสมัย’ ออกมาได้จริง พวกเจ้าก็ชิงสมบัตินี้มาซะ!”
งูตัวเล็กสีเลือดอึ้งไปก่อน จากนั้นจึงหมอบคลานลงกับพื้นพลางกล่าวชื่นชม “ฝ่าบาททรงปรีชา!”
ชิ้ง!
เสียงกระบี่ครวญเยียบเย็นไร้ขอบเขตสะท้อนก้อง ส่วนลึกของบ่อเก่าแก่นั้นมีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นทันที
ขณะเดียวกันงูตัวเล็กสีเลือดหวีดร้องอย่างตื่นตระหนก คล้ายถูกปราณกระบี่ไร้รูปสายหนึ่งฟาดฟัน กระเด็นลอยออกไปอย่างแรง
“กระบี่ยอดยุทธ์บัดซบนี่ รอข้าหลุดออกไปได้เมื่อไหร่จะบดขยี้มันเป็นเสี่ยงๆ!” ส่วนลึกของบ่อเก่าแก่มีเสียงคำรามอย่างเดือดดาลหาใดเปรียบดังขึ้น ทั้งมีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดเจืออยู่รางๆ
กระบี่ที่ปักเฉียงอยู่ข้างบ่อเก่าแก่นั้นสั่นคลอนเล็กน้อย ตัวกระบี่เผยไอสังหารอำมหิตไร้ใดเปรียบ
…
นี่คือสถานที่ประหลาดแห่งหนึ่ง
ดูรกร้างว่างเปล่าเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีต้นหญ้าเจริญเติบโต สภาพภูมิประเทศกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยกลิ่นอายความตาย
ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน มันล้วนมืดครึ้มอยู่ตลอด มีหมอกควันอบอวล ทัศนียภาพมืดมน อยู่ท่ามกลางความอึมครึม
พวกหลินสวินก้าวสู่พื้นที่แถบนี้ ทั่วบริเวณหดหู่ไปทั้งแถบ เหมือนว่าไม่เคยมีใครเข้ามาหลายแสนปี เงียบสงัดไร้สุ้มเสียง
ตามที่เซี่ยงเสี่ยวหยวนกล่าวมา ในอดีตเขตผนึกแห่งนี้ไม่ได้เป็นเช่นนี้ ปีนั้นยามบิดาของนางเข้ามาเคยเจอวิญญาณร้ายที่เหี้ยมโหดน่ากลัวมากมาย ทั้งนกปีศาจ สัตว์ปีศาจ เผ่าโบราณ ร่างวิญญาณ… ถึงขั้นมีวิญญาณร้ายที่แปรสภาพจากอาวุธและสมบัติด้วย!
ตอนนั้นขบวนของบิดานางมีสิบกว่าคน ล้วนเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิชั้นหนึ่งแห่งยุค แต่หลังจากเข้ามาในนี้ ตลอดทางกลับทยอยมีคนล้มตายและสิ้นชีพ กระทั่งมาถึงสถานที่ซ่อนวาสนานั้น สุดท้ายแล้วจึงเหลือเพียงสามคน!
เมื่อรู้เรื่องพวกนี้หลินสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้
เห็นชัดว่าหลายปีหลังจากพวกบิดาของเซี่ยงเสี่ยวหยวนจากไป สถานที่แห่งนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
พวกเขามุ่งหน้ามาหนึ่งก้านธูปแล้วยังไม่เจออันตรายใดๆ ถึงขั้นไม่เจอแม้แต่วิญญาณร้ายสักตัว
ระหว่างทางมีแค่กระดูกขาวโพลนหลายท่อน ซากศพเน่าเปื่อยมากมายปรากฏอยู่บนพื้นตลอด หมอกควันอบอวลมองเห็นเป็นระยะๆ เงียบสงัดน่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง
ซูม!
แสงเทพสายหนึ่งพุ่งวาบแล้วหายวูบไปไกล
ต่อให้อยู่ในหมอกหนาทบเป็นชั้นก็ไม่อาจหนีพ้นสายตาของพวกหลินสวินได้ ล้วนถูกทุกคนจับจ้อง
ห่างออกไปหลายพันลี้ มีเงาแสงเจิดจรัสขาวโพลนพาดผ่านฟ้าดินเงียบสงัด
ทั้งสามคนตามไปทันที
เบื้องหน้าหมอกควันหนาขึ้นจนอึมครึมเหมือนชั้นเมฆปกคลุม กระดูกบนพื้นมากมายเน่าเปื่อยมานานแล้ว เมื่อเหยียบย่ำลงไปจะเกิดเสียงดังกรอบแกรบ เสื่อมสลายไปในพริบตา
“เป็นตำราหยกเล่มหนึ่ง!”
พวกหลินสวินเบิกตากว้าง ล้วนเผยสีหน้าประหลาด
ในจิตรับรู้ของพวกเขา เงาแสงขาวดุจหิมะสายนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง เป็นตำราหยกขนาดเท่าฝ่ามือเล่มหนึ่ง
ตำราหยกเหมือนมีจิตวิญญาณ ทะลวงผ่านกลางหมอกควันกว้างใหญ่ คล้ายกำลังหาอะไรอยู่
สมบัติชั้นดี!
พวกหลินสวินสบตากันครั้งหนึ่ง ล้วนไล่ตามต่อไป
หลังจากมุ่งหน้าไปครู่หนึ่ง หมอกควันสีเทาที่ปกคลุมฟ้าดินกลับเบาบางลง เห็นภาพเส้นขอบฟ้าที่ไม่มีต้นหญ้าเจริญเติบโตบ้างแล้ว
ทันใดนั้นตำราหยกขาวดุจหิมะนั่นตกลงไปบนซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง
ตูม!
วิญญาณร้ายเครือเถาต้นหนึ่งพุ่งออกมาจากซากปรักหักพังนั้น ปลดปล่อยกลิ่นอายระดับบรรพจารย์ที่น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบออกมา แต่ตอนนี้ต้นเครือเถานี่กลับส่งเสียงร้องแหลมพรั่นพรึง เพิ่งปรากฏตัวก็คิดจะหนีเตลิด
เวลานี้ตำราหยกขาวโพลนมีประกายศักดิ์สิทธิ์ดุจภาพฝันลวงตาไหลวน ในความรางเลือนเหมือนมีอักษรปริศนามหามรรคปรากฏ ครอบคลุมวิญญาณร้ายเครือเถานั่นไว้ภายใน
ท่ามกลางเสียงระเบิดหนาหนักระลอกหนึ่ง วิญญาณร้ายเครือเถานั่นเหมือนถูกสูบพลังไปจนหมด แหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านลอยล่อง
หลังจากสูบพลังของวิญญาณร้ายเครือเถานี้แล้ว ตำราหยกขาวดุจหิมะส่ายไปมาเหมือนเมาสุรา สาดแสงประกายดุจสายฝน
ครู่ใหญ่ตำราหยกขาวดุจหิมะจึงกลับมาเหมือนเดิม มุ่งต่อไปยังที่ห่างไกล
“สมบัตินี้ถึงกับกลืนกินพลังของวิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์!?” เยวี่ยตู๋ชิวสูดหายใจสะท้าน ดวงตาพลันแข็งค้าง
น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
“ดูท่าว่าหลายปีมานี้ เหล่าวิญญาณร้ายที่กระจายอยู่ในเขตผนึกแห่งนี้ เกรงว่าคงถูกตำราหยกนี่กัดกินเป็นอาหารแล้ว”
แววประหลาดไหวเคลื่อนในดวงตาสีดำของหลินสวิน นี่เป็นสมบัติอะไรกัน ถึงกับดูดพลังของวิญญาณร้ายเป็นอาหารเพื่อเสริมพลังตนหรือ
“พวกเจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ ทิศทางที่สมบัตินี้พุ่งไปเป็นสถานที่ซ่อนวาสนาที่พวกเราเสาะหา”
เซี่ยงเสี่ยวหยวนกล่าว
ทั้งสามคนสบตากันครั้งหนึ่งแล้วไล่ตามต่อ
บนเวิ้งฟ้าขมุกขมัวนั้นค่อยๆ มีสีเลือดแดงก่ำเป็นเส้นริ้ว ต่อมาสีเลือดนั้นเข้มขึ้นเรื่อยๆ ฟ้าดินถูกย้อมเป็นสีเลือดเร้นลับอย่างหนึ่ง
เวลานี้เองพวกหลินสวินใจกระตุกวูบ เห็นว่าบนเวิ้งฟ้านั้นมีดวงจันทร์สีแดงฉานเก้าดวงปรากฏ สาดแสงสีแดงประหลาด
“เป็นจริงดังคาด เหมือนกับข้อสันนิษฐานในปีนั้นของท่านพ่อข้า เมื่อมีจันทร์โลหิตเก้าดวงกลางนภา วาสนาที่ซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้จะปรากฏ!”
นัยน์ตาเซี่ยงเสี่ยวหยวนฉายแววอัศจรรย์
“ตำหนักเทพ… ถึงกับมีตำหนักเทพหลังหนึ่งด้วย!”
เยวี่ยตู๋ชิวร้องเสียงหลง
นั่นคือตำหนักโอ่อ่าหลังหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดิน เต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา แผ่กลิ่นอายทรงพลังและน่าเกรงขามออกมา
จันทร์โลหิตเก้าดวงลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือตำหนัก แสงโลหิตแดงก่ำที่สาดลงมา อาบไล้ตำหนักเก่าแก่นี้ไว้ภายใน เผยกลิ่นอายนองเลือดชวนขนพองสยองเกล้าอย่างหนึ่ง
เซี่ยงเสี่ยวหยวนก็อึ้งค้างไปอย่างอดไม่ได้ ในเบาะแสที่บิดาของนางเหลือทิ้งไว้ ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตำหนักเทพหลังนี้สักประโยค
เห็นชัดว่าตำหนักเทพนี้เพิ่งปรากฏในภายหลัง!
“หรือนี่คือแดนแห่งวาสนาที่ไม่ได้ปรากฏเมื่อปีนั้น” เซี่ยงเสี่ยวหยวนนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง สภาวะจิตปั่นป่วนขึ้นมา
…………………….