เซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวตึงเครียดอย่างที่สุด

พวกเขาไม่ได้เสียอาการเช่นนี้มาหลายปีแล้ว รู้สึกเพียงว่าใจเคว้งลอยอยู่ตรงลำคอ แทบจะกลั้นหายใจ รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก

ตอนแรกทั้งสองไม่ได้คาดหวังในตัวหลินสวินแม้แต่น้อย

ด้วยบนบันไดหินเก้าสิบเก้าขั้นนั้นมีซากศพน่ากลัวนอนอยู่ทั่ว หลังจากทุกตนฟื้นคืนชีพล้วนแข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการ

ถึงขั้นว่าพวกเขายังเตรียมใช้ไพ่ตายพร้อมไปช่วยหลินสวินตลอดเวลา

แต่ความสามารถของหลินสวินกลับอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาโดยสิ้นเชิง หรือกล่าวได้ว่า ทำลายการคาดเดาของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า!

ก่อนหลินสวินจะไปถึงบันไดขั้นที่สามสิบหก

พวกเขาคิดว่านี่คือปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง ถูกอานุภาพที่หลินสวินสำแดงออกมาทำให้ตื่นตะลึง

กระทั่งหลินสวินก้าวขึ้นไปทีละขั้นด้วยท่วงท่าสง่างาม จิตใจของพวกเขาจึงถูกดึงดูด ตกตะลึงอย่างต่อเนื่อง ยากจะนิ่งสงบ

เวลานี้พวกเขาล้วนใจหายใจคว่ำแทนหลินสวิน มีความคิดจะเผยไพ่ตายไปช่วยหลินสวินอยู่หลายครั้ง

แต่เมื่อหลินสวินบุกไปถึงขั้นที่เก้าสิบ…

สิ่งที่พวกเขาสัมผัสได้คือแรงโจมตีที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างหนึ่ง เป็นแรงสะเทือนราวกับถูกล้มล้างการคาดเดาทั้งหมด!

สาเหตุที่ปาฏิหาริย์คือปาฏิหาริย์ เป็นเพราะไม่ใช่ความจริง

แต่เมื่อปาฏิหาริย์เปลี่ยนเป็นความจริง ทุกอย่างก็ดูสั่นสะเทือนใจคนเป็นพิเศษ

กระทั่งหลินสวินบุกตะลุยโรมรัน อาบเลือดตลอดทางจนมาถึงขั้นที่เก้าสิบเก้า เซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวเหลือเพียงความรู้สึกเดียว…

งุนงง!

เห็นร่างแยกมหามรรคร่างแล้วร่างเล่าของหลินสวินพังทลาย เห็นตัวเขาเปื้อนเลือด ห้ำหั่นไม่คิดชีวิต เห็นว่าเขาไม่มีความคิดถอยหนีแม้เพียงเสี้ยว…

ความรู้สึกประหลาดปั่นป่วนอยู่ในใจของทั้งสองคน ราวกับคลื่นซัดพลิกสมุทร

ต่อให้ผ่านความยากลำบากนองเลือดและความเป็นตาย ยังสาบานว่าแม้สิ้นชีพก็ไม่หันกลับ!

เจตจำนงเช่นนั้น ความอาจหาญนั่น ท่าทีที่มองความเป็นตายเหมือนเมฆที่ลอยล่องไร้ความหมายนั้น ราวกับอสนีบาตสายหนึ่งฟาดผ่านจิตใจของทั้งสองคน ทิ้งภาพประทับที่ไม่อาจลบล้างไว้

แต่ตอนนี้ทั้งสองคนยังไม่อาจผ่อนคลาย

ด้วยหลินสวินเจอคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดคนหนึ่งแล้ว

อาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ กลิ่นอายราวกับเซียน

ขั้นที่เก้าสิบเก้า แม้ว่าชายผู้นั้นจะตัวคนเดียว แต่อานุภาพนั้นกลับน่ากลัวถึงขั้นไม่อาจคาดเดาได้!

หน้าคฤหาสน์ ตำราหยกขาวดุจหิมะมีละอองแสงลายมรรคปริศนาไหลวน แวววาวเปล่งประกาย คล้ายไม่กังวล หรือกล่าวได้ว่ามั่นใจในตัวชายชุดขาวบนขั้นที่เก้าสิบเก้ามาก

ตอนนี้หลินสวินบาดเจ็บสาหัส สีหน้าซีดเผือด เลือดที่อาบไปทั้งตัวล้วนไหลออกมาไม่หยุด

เมื่อเห็นชายชุดขาวคนนี้ หลินสวินก็มั่นใจในทันที ต่อให้ตนสู้ตายก็ไม่อาจสั่นคลอนอีกฝ่ายได้แม้เพียงนิด

แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

อยู่เหนือคำว่าแข็งแกร่งที่หลินสวินเข้าใจอย่างสิ้นเชิง ถึงขั้นไม่กล้ามั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นระดับอมตะหรือไม่

ด้วยมองตื้นลึกไม่ออกแต่แรก

ยามเผชิญหน้ากับเขา ก็เหมือนมดปลวกเผชิญหน้ากับเทพแท้จริงองค์หนึ่ง!

ส่วนชายชุดขาวคนนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับหลินสวินที่บุกมาถึงขั้นที่เก้าสิบเก้าก็แค่ดีดนิ้วมือครั้งหนึ่ง

การเคลื่อนไหวเรียบง่ายแผ่วเบา

เหมือนต้องการดีดมดปลวกตัวหนึ่งให้กระเด็น

นี่คือการดูถูกอย่างยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย!

แต่ในสายตาของเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิว พริบตาที่ชายชุดขาวลงมือ ล้วนรู้สึกเพียงจิตใจปวดแสบ จิตวิญญาณเหมือนถูกฉีกกระชาก การรับรู้ทั้งหมด ภาพทั้งมวลล้วนหายไป

ขาวโพลนทั้งแถบ

เมื่อผ่านพริบตานี้ไป ทั้งสองคนไม่เห็นร่างของหลินสวินบนบันไดขั้นที่เก้าสิบเก้าแล้ว!

ชายชุดขาวอึ้งงัน มองปลายนิ้วของตัวเองอย่างสงสัย จากนั้นจึงหันหลังกลับ มองหลินสวินที่ยืนอยู่หน้าคฤหาสน์หยกขาวนั่นแล้ว

คล้ายยากจะเชื่อ

คล้ายตกตะลึงจนพูดไม่ออก

ตึง!

พลังของชายชุดขาวหายวับไป หวนคืนสู่ความเงียบสงัด ร่วงลงไปกองกับพื้น รักษาท่าทางยามสิ้นชีพเหมือนยุคก่อน

เวลานี้หลินสวินเหมือนได้ยินเสียงถอนใจยาวดังขึ้น แต่กลับไม่กล้าแน่ใจว่าตนคิดไปเองหรือไม่

ด้วยอาการบาดเจ็บของเขาในตอนนี้รุนแรงเกินไปจริงๆ

เพื่อขึ้นบันไดหินเก้าสิบเก้าขั้นนี้ เขาต้องสำแดงอภินิหารหยุดเวลาภายใต้สถานการณ์ที่บาดเจ็บสาหัส ทำให้เขามีความรู้สึกว่ามรรควิถีทั้งตัวล้วนแห้งเหือด

วู้ม…

ห่างไปไม่ไกลตำราหยกขาวดุจหิมะส่งเสียงครวญเหมือนถูกทำให้ตกตะลึง กลายเป็นแสงขาวสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในคฤหาสน์หยกขาวนั้นทันที

‘สำนักเซียนยอดยุทธ์…’

สายตาหลินสวินมองแผ่นป้ายเหนือคฤหาสน์ใหญ่คราหนึ่ง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ หยิบโอสถเทพเยียวยาที่ล้ำค่าหายากออกมาสองสามขวดแล้วกลืนเข้าไปทั้งหมด

จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในคฤหาสน์ใหญ่

เมื่อเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวคืนสติกลับมา ก็พบว่าบนบันไดหินเก้าสิบเก้าขั้นนั้นไม่มีเงาร่างของหลินสวินแล้ว

มีแค่ซากศพของชายชุดขาวนั่นกองอยู่ตรงนั้น รักษาท่าทางเดิมไว้

บนบันไดทั้งเก้าสิบเก้าขั้นล้วนคืนสู่สภาพเดิมเหมือนตอนแรก ซากศพกองพะเนินก่ายกันยุ่ง คล้ายเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“คงไม่ใช่ว่าพี่หลิน…” เยวี่ยตู๋ชิวสีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่

เซี่ยงเสี่ยวหยวนกล่าวตัดบททันควัน “เป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่เห็นหรือว่าตำราหยกลึกลับนั่นก็หายไปด้วย ข้าสงสัยว่าในตอนท้าย พี่หลินมีโอกาสสูงที่จะใช้ไพ่ตายก้นหีบบางอย่าง ทำให้ก้าวผ่านบันไดหินขั้นที่เก้าสิบเก้านั้นได้สำเร็จ กระทั่งเข้าไปในตำหนักยอดยุทธ์นั่นแล้ว!”

นางเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “พวกเราก็รออยู่ที่นี่เถอะ หากพี่หลินมีชีวิตอยู่ เขาต้องกลับมาแน่”

เยวี่ยตู๋ชิวพยักหน้า

ตำหนักยอดยุทธ์

หมอกเซียนอบอวล เงียบสนิทไร้สุ้มเสียง

พื้นดินปูด้วยหินลับประหลาดสีดำ ผ่านการชะล้างของเวลาจนเปลี่ยนเป็นพร่างพร้อยไม่เหลือสภาพ

เมื่อผ่านเสาหินต้นหนึ่ง หลินสวินสังเกตเห็นภาพมรรคเร้นลับมากมายสลักอยู่บนนั้น เห็นชัดว่าเป็นภาพแนะการฝึกปราณ แต่ล้วนขาดหายและเลือนรางแล้ว

จากการแยกแยะอย่างถี่ถ้วน หลินสวินก็มองออกโดยคร่าวๆ ว่าภาพมรรคแต่ละภาพนี้ล้วนสื่อถึงระดับการฝึกปราณอย่างหนึ่ง

นี่คือระบบการฝึกปราณของยุคก่อน

ชื่อของแต่ละระดับล้วนมีนัยลึกล้ำ เต็มไปด้วยความอัศจรรย์เกินคาดเดา

อย่างจวนม่วง ศาลเหลือง โอสถทองสองลักษณ์ นิพพาน นรกแปลงผู้เที่ยงแท้ เซียนปฐพีทลายเคราะห์…

เหนือขึ้นไปก็คือระบบมรรคเซียน มีระดับเซียนสวรรค์ ระดับเซียนลึกลับ เซียนทองต้าหลัว เซียนอริยะ…

น่าเสียดาย ภาพชี้แนะการฝึกปราณที่บันทึกอยู่ในภาพมรรคพวกนั้นล้วนแตกหักสูญหาย ทำให้หลินสวินได้แต่ตีความจากตัวอักษร ไม่อาจรู้นัยเร้นลับโดยละเอียดของแต่ละระดับได้

‘ยุคก่อนถูกเรียกว่ายุคเซียนยุทธ์ แน่นอนว่าสิ่งที่เสาะหาคือนัยเร้นลับมหามรรคซึ่งเกี่ยวกับมรรคเซียน ที่แท้เซียนในตำนานก็มีอยู่จริง แต่กลับอยู่ในยุคก่อน…’

หลินสวินสำรวจดูเล็กน้อยแล้วเดินต่อไปข้างหน้า

เขาค้นหาร่องรอยของตำราหยกลึกลับนั่นต่อไป ป้องกันตัวตลอดเวลา ไม่กล้าเผลอเรอ ใครจะรู้ว่าสถานที่ผีสิงนี่ยังมีอันตรายอื่นอยู่อีกหรือไม่

ไม่ทันไรหลินสวินพลันได้ยินเสียงสนทนาหนึ่งดังมาจากส่วนลึกของหมอกเซียน

เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นฟ้าดินพลิกตลบ ภาพแปรเปลี่ยนมากมาย แสงประกายนานัปการพวยพุ่ง ยังมีไอแรกกำเนิดโหมกระหน่ำด้วย

ราวกับมาถึงอีกโลกหนึ่งในชั่วขณะเดียว!

นี่คือลานมรรคเก่าแก่สง่างามแห่งหนึ่ง หมอกเซียนอบอวล ปักษาเซียนเริงระบำ สัตว์มงคลปรากฏตัว

ผู้ฝึกปราณทั้งหมดสวมเสื้อขนนก นั่งขัดสมาธิอยู่ในลานมรรค

บนที่นั่งหน้าสุดของลานมรรค มีชายบุคลิกแปลกตาคนหนึ่งนั่งอยู่ ร่างอบอวลด้วยหมอกเซียนมากมาย

เหนือศีรษะเขาสะท้อนสัญลักษณ์กระบี่เซียนเล่มหนึ่ง มีอานุภาพสะเทือนทั่วหล้า

ภาพเหตุการณ์ช่วงหนึ่งที่หลงเหลือมาจากยุคก่อน!

หลินสวินใจสะท้าน รับรู้ว่าตัวเองเข้ามาในเขตแดนมายาที่น่าเหลือเชื่อแห่งหนึ่งแล้ว ก็เหมือนหวนกลับไปสู่กาลเวลานิรันดร์ในอดีตของยุคก่อน

‘มหาเคราะห์มาเยือนแล้ว สำนักเซียนยอดยุทธ์ของข้าก็ยากจะวางตัวอยู่เหนือปัญหา ตั้งแต่วันนี้ไปข้าจะใช้กระบี่ยอดยุทธ์กำราบบ่อผนึกมาร ใช้ชีวิตของข้าไขว่คว้าโอกาสรอดเสี้ยวหนึ่งในด่านเคราะห์ หวังเพียง… ทำให้สำนักเซียนยอดยุทธ์ของข้าอยู่รอดต่อไปท่ามกลางยุคสมัยผันเปลี่ยนได้…’

ชายบุคลิกแปลกตาเอ่ยปาก แววตาเผยความเด็ดเดี่ยว คล้ายกำลังเตรียมการล่วงหน้า

‘เจ้าสำนัก!’

เงาร่างมากมายในลานมรรคร้องตะโกนพร้อมกัน สีหน้าเศร้ารันทด

‘การแปรเปลี่ยนของยุคสมัยนี้ไม่มีใครต้านทานได้ ทั้งไม่มีขุมอำนาจใหญ่แห่งใดต้านได้เช่นกัน ยุคสมัยนี้… ถูกลิขิตให้จ่อมจมและดับสิ้นในมหาเคราะห์แห่งยุคสมัยแล้ว…’

แววตาของชายที่ถูกเรียกว่าเจ้าสำนักเจือความเศร้าอาดูร

จากนั้นเขาก็เอ่ยเรียก ‘เหวยหมิงจื่อ เจ้ามาควบคุมตำราหยกศุภโชค’

ชายคนหนึ่งก้าวออกมา บุคลิกองอาจห้าวหาญ โดดเด่นเหนือผู้อื่น สวมเสื้อขนนกสีรุ้ง เท้าเปลือยเปล่า ผมยาวสยายประบ่า

หลินสวินใจสะท้าน เป็นเจ้าหมอนั่นจริงๆ! คนที่เกือบชิงร่างตนในดินแดนลี้ลับแห่งสมรภูมิร้อยศึก!

‘เจ้าสำนัก’ เหวยหมิงจื่อเผยสีหน้าโศกเศร้า

‘เดิมทีด้วยคุณสมบัติและมรรควิถีของเจ้าย่อมดูแลสำนักยอดยุทธ์ได้นานแล้ว น่าเสียดาย เคราะห์แห่งยุคสมัยมาอย่างกะทันหันและผิดปกติเกินไป…’

เจ้าสำนักยอดยุทธ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อ

ตำราหยกขาวดุจหิมะเล่มหนึ่งปรากฏ แวววาวเปล่งประกายเหมือนทำจากหยกงามที่กระจ่างบริสุทธิ์ที่สุดบนโลก แสงเซียนพวยพุ่งเหลือคณา

‘ตำราหยกศุภโชคนี้เป็นมรดกตกทอดจากบรรพจารย์ของข้า ในนั้นบันทึกนัยเร้นลับระเบียบมรรคเซียนชั้นสูงเกินคาดเดา เจ้าเก็บไว้ให้ดี หากสำนักเซียนยอดยุทธ์ของพวกเรารอดพ้นจากเคราะห์แห่งยุคสมัยนี้ไปได้ ข้าหวังว่า… สำนักเซียนยอดยุทธ์ในมือเจ้าจะสืบทอดต่อไปไม่ขาดช่วง คงอยู่ไปชั่วนิรันดร์’

เจ้าสำนักยอดยุทธ์กล่าวกำชับ

‘ขอรับ!’

เหวยหมิงจื่อสีหน้าเคร่งครัด ก้าวเข้าไปรับตำราหยกศุภโชคที่มีแสงเซียนไหลวนนั่น

ตูม!

เมื่อดูถึงตรงนี้ ทิวทัศน์เบื้องหน้าหลินสวินพลันเปลี่ยนไปในทันที ภาพทั้งหมดล้วนสลายหายไป

แต่ยังไม่รอให้ทัศนวิสัยของเขาคืนกลับมา ก็มาอยู่ในเขตแดนมายาน่าเหลือเชื่ออีกแห่ง

นี่คือซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง สรรพสิ่งล้วนร่วงโรย

เสียงหัวเราะร่าดังก้องฟ้าดินราวกับอสนีบาต…

‘สำนักเซียนยอดยุทธ์จบสิ้นแล้ว! จบสิ้นแล้ว…’

เงาร่างของเหวยหมิงจื่อยืนอยู่บนซากปรักหักพัง สีหน้าบิดเบี้ยว หัวเราะร่าเหมือนคลุ้มคลั่ง

‘เจ้าสำนักหนอเจ้าสำนัก กระทั่งเคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือนเจ้าถึงมอบตำราหยกศุภโชคให้ข้า เจ้า… คิดจริงหรือว่าข้าจะรับน้ำใจ’

‘พวกเจ้าตายหมดแล้ว… ฮ่าๆๆ… ตายแล้วก็ดี! บนโลกนี้มีแค่ข้าเหวยหมิงจื่อที่รอดจากการดับสิ้นของยุคสมัย ทั้งไม่มีใครทำให้ข้าต้องอดกลั้นและก้มหัวอีก!’

‘ภายหน้าข้าจะก่อตั้งสำนักเซียนยอดยุทธ์อีกครั้ง ตั้งยอดสำนักใหญ่ที่ข้าเป็นผู้ถือครองเพียงคนเดียว!’

ท่ามกลางเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งนั้นแฝงความปรีดาไร้สิ้นสุด ราวกับความโกรธแค้นที่สะสมมาหลายปีระบายออกมาทั้งหมดในตอนนี้

หลินสวินอดประหลาดใจไม่ได้ เหวยหมิงจื่อนี่ถึงกับเสียสติเช่นนี้ หากเจ้าสำนักยอดยุทธ์คนนั้นเห็นท่าทางนี้ของเขา เจ้าตัวจะผิดหวังและเดือดดาลเพียงใด

ทันใดนั้นเงาร่างสูงใหญ่หยิ่งผยองปรากฏอยู่บนซากปรักหักพังนี้

เสียงของเหวยหมิงจื่อที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพลันหยุดลง

เมื่อหลินสวินเห็นเงาร่างสูงใหญ่หยิ่งผยองนี้ ดวงตาล้วนเบิกโพลง เผยสีหน้ายากจะเชื่อ

…………………..