กลางห้วงอากาศฟ้าดารานอกโบราณสถานมหามรรค

พวกหลินสวินไม่ได้รอนานนัก ก็เห็นเด็กหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่งเยื้องย่างกลางอากาศ มือหนึ่งถือแส้ เดินผ่อนคลายเหมือนเดินเล่นในสวนออกมาจากโบราณสถานมหามรรคที่อยู่ไกลลิบ

เมื่อได้เห็นภาพนี้หลินสวินก็ลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ ระแวดระวังขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

เขาหวาดกลัวและระแวงศิษย์พี่สี่ที่นิสัยใจคอสุดโต่ง เดาใจได้ยากผู้นี้ หากอีกฝ่ายไม่คิดจะทำตามคำสัญญาก่อนหน้านี้ต่อ เภทภัยที่ตามมาย่อมไม่มีที่สิ้นสุด

หลิงเสวียนจื่อเดินไม่กี่ก้าวก็มาอยู่ตรงหน้าพวกหลินสวินอย่างรวดเร็ว เขายิ้มมองเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิว เอ่ยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า

“พวกเจ้าสองคนเป็นเพื่อนศิษย์น้องเล็กของข้าคนนี้หรือ ดีมาก เหตุการณ์ที่พวกเจ้าช่วยศิษย์น้องเล็กของข้าโดยไม่สนตัวเองก่อนหน้านี้ ข้าได้เห็นทั้งหมด สิ่งเหล่านี้เป็นคำขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าจะไม่รังเกียจ”

ขณะที่พูดหลิงเสวียนจื่อก็พลิกฝ่ามือ มุกบรรจุมรรคของวิญญาณร้ายระดับบรรพจารย์สิบกว่าเม็ดปรากฏออกมา แล้วจึงส่งให้พวกเขา

เซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวต่างอึ้งไป ออกจะทำตัวไม่ถูก

บุคคลที่แข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการได้ผู้นี้ ก่อนหน้านี้บุกไปถึงโบราณสถานมหามรรคที่ใครๆ ก็มองว่าเป็นที่ตายเพียงลำพัง และตอนนี้ไม่เพียงกลับมาอย่างไร้รอยขีดข่วน มิหนำซ้ำยังเอามุกบรรจุมรรคที่มีคุณลักษณะหายากกำโตออกมาด้วย!

“รับไว้เถอะ”

หลิงเสวียนจื่อยิ้มพลางยัดเยียดสมบัติเหล่านั้นให้ทั้งสองคน จากนั้นจึงมองที่หลินสวิน

เขาลูบจมูก ถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็ก ถึงกับมองข้าด้วยสายตาระแวงระวังเช่นนี้เชียวหรือ”

หลินสวินชี้ไปไกลๆ เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ไปคุยกันตามลำพังไหม”

หลิงเสวียนจื่อรับปากอย่างยินดี “พอดีเลย ข้าก็มีหลายเรื่องอยากถกกับเจ้า”

ทันใดนั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องก็เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศออกมาไกลๆ

เซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวสบตากัน ต่างไม่รบกวนอย่างรู้กาลเทศะ

เพียงแต่ในใจเกิดความคิดมากมายอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ของหลินสวินคนนี้… ตกลงเอาชนะมารเทพตี้สือที่ถูกผนึกอยู่ในส่วนลึกของบ่อน้ำโบราณนั่นได้หรือไม่กันแน่

และเหตุใดหลินสวินถึงดูไม่ใคร่ชอบศิษย์พี่ที่ลุ่มลึกยากหยั่งถึงของเขาผู้นี้

……

“ตอนนั้นสมัยอยู่ที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ท่านก็สามารถหลุดจากการกำราบของเจดีย์ไร้สิ้นสุดได้แล้วหรือ” หลินสวินเอ่ยตามตรง

หลิงเสวียนจื่อยิ้มเอ่ย “ข้ายังนึกว่าศิษย์น้องเล็กอย่างเจ้ารู้มานานแล้วเสียอีก”

หลินสวินนิ่วหน้าเอ่ยว่า “ข้ากำลังพูดจริงจัง ศิษย์พี่สี่อย่าทำหน้าทะเล้นดีกว่า”

หลิงเสวียนจื่อมุมปากกระตุก ทันใดนั้นก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เก็บกลั้นความไม่สบอารมณ์ในใจเอาไว้ แล้วพยักหน้าจริงจัง “ใช่แล้ว เดิมทีก่อนหน้านี้ก็เป็นข้าเข้าไปในเจดีย์ไร้สิ้นสุดเอง หนึ่งเพราะยินดีพนันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ สอง เพราะอยากเห็นเสียหน่อยว่าในยอดสมบัติที่อาจารย์เหลือไว้ให้ชิ้นนี้ จะซ่อนมรรคไว้กี่มากน้อย”

หลินสวินหนังตากระตุก “เช่นนั้นท่านมองออกหรือไม่”

หลิงเสวียนจื่อถอนใจเบาๆ คล้ายทอดถอนใจ ส่ายหัวเอ่ยว่า “สมบัตินี้เป็นเช่นตัวอาจารย์ อ่านไม่ออก ทั้งยังมองไม่ขาด”

หลินสวินร้องอ้อคำหนึ่ง จู่ๆ ก็ถามว่า “หลายปีนี้ ทุกการเคลื่อนไหวของข้าอยู่ในสายตาท่านหมดเลยหรือ”

หลิงเสวียนจื่อลูบจมูกเอ่ยว่า “เดาได้นานแล้วว่าเจ้าจะถามเช่นนี้ ศิษย์น้องเล็กเอ๋ย ศิษย์พี่อย่างข้าไม่ใช่พวกย่องเบาที่สับปลับวิปริต อีกอย่าง ภาพลักษณ์ของข้าในใจเจ้าย่ำแย่ขนาดนี้เชียวหรือ”

หลินสวินเลิกคิ้ว “ข้ากำลังถามท่านอยู่ ไม่ใช่ท่านมาถามข้า”

หลิงเสวียนจื่อชูมือทั้งสองขึ้น ท่าทางยอมแพ้ เอ่ยว่า “ได้ เจ้าถาม ข้าตอบ ใครให้เจ้า… เป็นศิษย์น้องเล็กของข้าเล่า”

สิ่งที่เผยออกมาจากน้ำเสียงมีแต่ความจนใจ

เห็นได้ชัดว่าศิษย์น้องเล็กผู้นี้ยังอคติกับศิษย์พี่อย่างเขา!

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นการเผชิญหน้ากับมารเทพตี้สือที่ถูกผนึกอยู่ในบ่อน้ำโบราณผู้นั้น หลิงเสวียนจื่อย่อมไม่อาจเก็บกลั้นความรู้สึกในใจได้เช่นนี้ กล้าปฏิบัติกับเขาเช่นนี้ ฝ่ามือคงฟาดไปนานแล้ว

แต่ยามเผชิญหน้ากับหลินสวิน…

เขาก็ทำได้เพียงบีบจมูกอดกลั้นเอาไว้

เมื่อเห็นหลิงเสวียนจื่อว่าง่าย กลั้นอารมณ์ปิดปากเงียบ ในใจหลินสวินกลับยิ่งระแวดระวัง เอ่ยว่า “ท่านมีพลังแข็งแกร่งปานนี้ ทั้งยังไม่เกรงกลัวการกำราบของเจดีย์ไร้สิ้นสุด ทำไมถึงไม่คิดจากไป หรือท่านไม่รู้ว่าพอข้าได้พบศิษย์พี่รองหรืออาจารย์ ก็จะให้พวกเขามาจัดการ”

หลิงเสวียนจื่อปากท่าทางท้อแท้ เอ่ยอย่างมีใจแต่ไร้แรง “ในเมื่อยินดีพนันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ไง ยิ่งไปกว่านั้น จ้งชิวอยากฆ่าข้ายังฆ่าไม่ได้ ส่วนอาจารย์ย่อมไม่มีทางฆ่าข้า”

นัยที่แฝงในถ้อยคำนี้ชัดเจนนัก เขาไม่กลัวศิษย์พี่รองจ้งชิว ทั้งยังเชื่อมั่นว่าอาจารย์ไม่มีทางฆ่าเขาโดยเด็ดขาด

“จริงหรือ” หลินสวินถาม

หลิงเสวียนจื่อเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ศิษย์น้องเล็ก ข้าต้องถกเรื่องในอดีตของคีรีดวงกมลของพวกเรากับเจ้าสักหน่อยแล้ว”

“ต่อให้ข้าเข้าสำนักช้ากว่าศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สามไปก้าวหนึ่ง แต่ในบรรดาผู้สืบทอดทั้งคีรีดวงกมล ผู้ที่ทำให้ข้ากลัวได้มีแต่ศิษย์พี่ใหญ่เพียงคนเดียว”

“ผู้ที่ทำให้ข้าหมดทางสู้ได้ คือศิษย์พี่สาม”

“ผู้ที่ทำให้ข้าไม่ชอบใจที่สุด คือศิษย์พี่รอง”

หลินสวินประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ “ทำไมท่านถึงไม่ชอบใจศิษย์พี่รอง”

“หยิ่งผยองเกินไป”

หลิงเสวียนจื่อหรี่ตาลง แววไม่พอใจหนักหน่วงปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา “ข้าหลิงเสวียนจื่อได้รับการยอมรับจากอาจารย์ว่าเป็นเลิศในหมื่นกาล แต่ยังไม่หยิ่งผยองเท่าเขา สรุปคือ ข้าเห็นเขาก็อยากอัดเขาแล้ว”

หลินสวิน “…”

นี่มันเหตุผลพิสดารพันลึกจริงๆ

“ทำไมศิษย์พี่สามถึงทำให้ท่านหมดทางสู้” หลินสวินถาม

รอยยิ้มเจื่อนฉายขึ้นในแววตาหลิงเสวียนจื่อ เอ่ยว่า “รอเจ้าได้พบศิษย์พี่สามก็ให้นางเล่าให้เจ้าฟังเถอะ สรุปแล้ว นางเป็นคนที่ทำให้คนอื่นอยากแค้นยังแค้นไม่ลง”

หลินสวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ศิษย์พี่สี่ ข้าขอถามเป็นข้อสุดท้าย แค่เพราะยินดีพนันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้จริงหรือ”

หลิงเสวียนจื่อจ้องหลินสวินอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะเย้ยตัวเองแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็ก ข้าถามเจ้าหน่อย ถ้าข้าจะผิดสัญญา เจ้า… สามารถรั้งข้าไว้ได้หรือ”

หลินสวินส่ายหัว

หลิงเสวียนจื่อเผยรอยยิ้มเจิดจ้า ยื่นมือไปโอบไหล่หลินสวินแล้วเอ่ยว่า “พูดอย่างนี้แล้วกัน ต่อให้ข้าเป็นมหามารอันดับหนึ่งในโลก แต่ข้าย่อมไม่มีทางทำร้ายคนของคีรีดวงกมลของพวกเรา นี่เป็นข้อกำหนดของข้า และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ตอนนั้นอาจารย์แค่กำราบข้าไว้ เจ้าเชื่อหรือไม่ไม่สำคัญ รอภายหน้าเจ้าก็จะเข้าใจเอง”

ขณะที่พูดเขาก็ตบไหล่หลินสวินเบาๆ

หลินสวินนิ่วหน้า เหลือบมองหลิงเสวียนจื่อที่ท่าทางไม่สนใจโลก เอ่ยว่า “ถ้าท่านหลอกข้า ข้ารับรองว่าจะไม่เรียกท่านว่าศิษย์พี่สี่อีก”

หลิงเสวียนจื่อแข็งทื่อไปทั้งตัว โอดครวญทันที “ศิษย์น้องเล็ก เพื่อเจ้าแล้วศิษย์พี่เกือบเอาชีวิตเข้าแลกกับเจ้าสวะเฒ่าจอมคร่ำครวญนั่นเลยนะ พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องจะเชื่อใจกันหน่อยไม่ได้หรือ”

พูดพลางตัวเขาเองก็เปลี่ยนเป็นร่าเริงขึ้นก่อน หัวเราะแหะๆ เอ่ยว่า “เจ้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าสวะเฒ่านั่นมันดันเป็นคนดวงซวยที่สุดในโลก ถูกสวมหมวกเขียวอี๋ให้ไม่ว่า ยังถูกกำราบทั้งเป็นมาชั่วกาลอีก ฮ่าๆๆ ตอนนั้นข้าเกือบอดไม่ได้เก็บเขามาแล้ว…”

เขากุมท้องหัวเราะเสียงดังขึ้นมา “อืม ก่อนข้าไปยังทิ้งอักษรคำหนึ่งไว้ให้เขา คิดดูแล้วเกรงว่าชาตินี้เขาคงลืมข้าไม่ได้แล้ว แบบนี้ก็ดี ล่วงเกินคีรีดวงกมลของพวกเรา จะปล่อยเขาไปง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร”

หลินสวินพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง แววตาพิกล

นั่นเป็นถึงมารเทพตี้สือ!

บุคคลที่น่ากลัวจนไม่อาจจินตนาการได้ผู้หนึ่ง แล้วทำไมพอพูดออกมาจากปากศิษย์พี่สี่แล้วถึงกลายเป็นแมลงน้อยน่าสงสารที่ถูกสวมหมวกเขียวตัวหนึ่ง

“เฮ้อ ไม่พูดถึงเขาแล้ว ศิษย์น้องเล็กเจ้าต้องระวังหน่อย ด้วยมรรควิถีของเจ้าเฒ่าสวะคนนี้ เกรงว่าใช้เวลาไม่กี่ปีก็จะหลุดออกมาได้ ถึงตอนนั้นเขาต้องมาหาเจ้าทันทีแน่”

หลิงเสวียนจื่อเก็บรอยยิ้มเอ่ยว่า “อีกอย่างเจ้าก็วางใจได้ ขอแค่ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวพันถึงการหลู่เกียรติของคีรีดวงกมล ข้าจะไม่ออกมารบกวนเจ้าอีก เว้นแต่…”

“เว้นแต่อะไร” หลินสวินถาม

“เว้นแต่เจ้าขอให้ข้าลงมือ” หลิงเสวียนจื่อกะพริบตาปริบๆ บนใบหน้าหล่อเหลามีแต่รอยยิ้มที่ปิดไม่มิด

“ท่านว่าจะเป็นไปได้หรือ” หลินสวินเผยสีหน้าหลุดขำ

การปะทะกับมารเทพตี้สือคราวนี้ ต่อให้เป็นช่วงที่เกือบประสบเคราะห์ เขาก็ไม่คิดจะอาศัยพลังของหลิงเสวียนจื่อ

ไม่ใช่อคติ แต่เพราะไม่เคยคิดไว้อยู่แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีตอนนั้นเขาก็เตรียมจะใช้อภินิหารหยุดเวลาฝ่าวงล้อมออกไปอยู่แล้ว

หลิงเสวียนจื่อไม่สนใจสักนิด สีหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม “ศิษย์น้องเล็กเย่อหยิ่งเสียจริง น่าสรรเสริญนัก เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงเปลี่ยนวิธีแล้ว”

“วิธีอะไร”

“ข้าขอร้องให้เจ้ายอมให้ข้าช่วยไง”

พูดจบหลิงเสวียนจื่อก็หัวเราะร่าขึ้นมา เงาร่างเปลี่ยนเป็นแสงหายลับไปในเจดีย์ไร้สิ้นสุดอย่างรวดเร็ว

หลินสวินอึ้งไป สักพักหนึ่งจึงถอนใจเบาๆ ลอบเอ่ยในใจว่า หวังว่าจะเป็นเพราะยินดีพนันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้อย่างที่ท่านพูดจริงๆ

พอมองไปไกลๆ อีกครั้ง ความปั่นป่วนในโบราณสถานมหามรรคสงบลงไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบได้ ถึงกับไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายชั่วร้ายเหล่านั้นอีก

เทียบกับก่อนหน้านี้เงียบสงัดลงไปมาก

‘ดูท่า เป็นไปได้สูงยิ่งว่ามารเทพตี้สือนั่นจะเสียเปรียบครั้งใหญ่ภายใต้น้ำมือศิษย์พี่สี่ จึงจำศีลซ่อนตัวไปอีกครั้ง’

หลินสวินส่ายหัว หมุนตัวเดินไปหาพวกเซี่ยงเสี่ยวหยวน

เรื่องโบราณสถานมหามรรคไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว

เรื่องสำคัญตอนนี้ คือรีบกลับไปเมืองยอดยุทธ์

……

เมืองยอดยุทธ์

ในเมืองวังเวง บรรยากาศอึดอัดหาใดเทียบ

หลายวันมานี้ เนื่องจากกังวลว่าภัยพิบัติในโบราณสถานมหามรรคจะกระทบมาถึงเมืองยอดยุทธ์ จึงมีผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรรีบร้อนจากไป

และหลังจากผู้ฝึกปราณที่เข้าร่วมการทดสอบเหล่านั้นอาบเลือดฝ่าวงล้อมกลับมายังเมืองยอดยุทธ์ ข่าวที่นำกลับมายิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกตระหนกและหนักใจยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะวันนี้ การต่อสู้ในโบราณสถานมหามรรคนั้นปิดคลุมฟ้าดิน ประกายเลือดพุ่งกระจาย แผ่ขยายไปในห้วงอากาศ เสียงคำรามกราดเกรี้ยวประหนึ่งอสนีบาตเก้าชั้นฟ้า

ต่อให้อยู่ในเมืองยอดยุทธ์ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทำลายล้างน่าครั่นคร้ามนั่นอยู่ไกลๆ

ทุกคนต่างรู้สึกคล้ายฟ้าจะถล่มลงมาแล้ว

แต่ที่ทำให้ทุกคนคิดไม่ถึงก็คือ เมื่อเวลาผ่านไป ภัยพิบัติที่นองเลือดปั่นป่วนนั้นกลับไม่ได้แผ่ขยายออกมาจากโบราณสถานมหามรรค

มิหนำซ้ำยังค่อยๆ นิ่งเงียบลง!

ในขณะเดียวกันก็มีผู้เข้าร่วมการทดสอบรอดชีวิตกลับมามากยิ่งขึ้น

นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ

ต่อให้เป็นเจ้าเมืองไป๋เจี้ยนเฉินที่เตรียมต่อสู้ไว้ก่อนแล้ว ยังคิดไม่ถึงว่าภัยพิบัติที่กำลังจะม้วนตลบมาอย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้ จะสงบลงไปแบบนี้ได้อย่างไร

ความรู้สึกที่มอบให้ออกจะเหมือนฟ้าร้องลั่นแต่ฝนดันน้อย

หรือจะเกิดเหตุไม่คาดฝันบางอย่างขึ้นกับเรื่องนี้

ไป๋เจี้ยนเฉินเดาไม่ออก

แน่นอนว่าไม่เกิดภัยพิบัติขึ้น ย่อมเป็นเรื่องดีเท่าฟ้าสำหรับทั้งเมืองยอดยุทธ์!

“อะไรนะ หลินสวินคนเดียวดึงดูดวิญญาณร้ายส่วนใหญ่ในนั้น ถึงทำให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบเหล่านั้นมีโอกาสรอดกลับมาหรือ”

พอข่าวหลินสวินถูกล้อมโจมตีเป็นชั้นๆ ในโบราณสถานมหามรรคกระจายออกไป ทั้งเมืองยอดยุทธ์ต่างก็สะท้านสะเทือน หลายคนยังทำใจเชื่อได้ยาก

“แล้วตัวหลินสวินเล่า”

ทั้งยังมีคนนับไม่ถ้วนสนใจสวัสดิภาพและความเป็นความตายของหลินสวิน

——