บรรยากาศเงียบสงัดขึ้นมา
เสียงดนตรีเป็นระลอกหายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ได้
ทั้งหมดเป็นเพราะชายหนุ่มชุดหยกที่มาเยือนกะทันหันผู้นั้น
เขาไม่ธรรมดามากจริงๆ แววตาลุ่มลึก สง่างามโดดเด่น ทุกการเคลื่อนไหวต่างผสานมหามรรค ให้ความรู้สึกใช้ร่างเป็นมหามรรค ไร้ช่องโหว่ให้โจมตีได้
“ขออภัย มาขัดอารมณ์สุนทรีย์ของทุกท่านแล้ว”
ชายหนุ่มดูสงบนิ่งนัก เมื่อมาถึงก็กุมมือคารวะให้พวกหลินสวินเล็กน้อยก่อน สีหน้าเจือแววขอโทษ ไม่ได้มีท่าทางแข็งกร้าวดุดันแต่อย่างใด
แต่ใครก็ดูออกว่าภายใต้รูปลักษณ์ถ่อมตนของชายหนุ่มนั้น มีความถือดีและมั่นใจอย่างสมบูรณ์
เผิงเทียนเสียงเหมือนจำฐานะของอีกฝ่ายได้จึงลุกขึ้นยืน สีหน้าถึงกับตึงเครียดอย่างหาได้ยาก มีความสำรวมและยำเกรงเพิ่มขึ้นมา เอ่ยว่า “สหายยุทธ์… ไม่ต้องเกรงใจ”
ถึงกับเสียอาการอยู่บ้าง!
ชายหนุ่มชุดหยกยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ข้าจำเจ้าได้ อัจฉริยะในตระกูลเผิงสายตรง”
เผิงเทียนเสียงรู้สึกตกใจที่ได้รับการจดจำอย่างห้ามไม่อยู่ เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “สหายยุทธ์ก็รู้จักข้าหรือ”
ราวกับว่าการถูกชายหนุ่มชุดหยกจำได้เป็นเรื่องที่ทำให้ภูมิใจในตัวเองได้เรื่องหนึ่ง
ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าชายหนุ่มชุดหยกผู้นี้มีที่มาไม่ธรรมดา เผิงเทียนเสียงมีชาติกำเนิดในเผ่าจักรพรรดิอมตะ แต่ต่อหน้าอีกฝ่าย ท่าทางสูงส่งอย่างแต่ก่อนกลับหายไปโดยสิ้นเชิง
“เจ้าจะไม่รอให้ข้ากินข้าวมื้อนี้ให้หมดหน่อยหรือ”
ไม่ทันรอให้ชายหนุ่มชุดหยกพูดอะไรอีก จู่ๆ ตู๋กูโยวหรันก็เอ่ยปาก น้ำเสียงเย็นชา
“โยวหรัน ธุระเร่งด่วน ข้าได้แต่ต้องทำเช่นนี้”
ชายหนุ่มชุดหยกหัวเราะเจื่อน “ผู้นำตระกูลบัญชามาแล้วว่าถ้าไม่เจอเจ้าภายในสิบวันก็จะมากล่าวโทษข้า นิสัยใจคอของผู้เฒ่าอย่างเขา… เจ้าคงรู้ดีที่สุด”
ตู๋กูโยวหรันขมวดคิ้วงามแน่น เอ่ยอย่างว้าวุ่นว่า “ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ ต้องให้ข้ากลับไปให้ได้หรือ”
ชายหนุ่มชุดหยกถอนใจยาว “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้จริงๆ”
“คงไม่ได้คิดจะให้ข้าไปดูตัวผูกด้ายแดงกระมัง” ตู๋กูโยวหรันหดหู่อยู่บ้าง
ขณะที่พูดนางก็ลุกขึ้นเอ่ยว่า “ช่างเถอะ กลับก็กลับ อย่างมากก็แอบหนีออกมาอีกก็พอ”
ชายหนุ่มชุดหยกมุมปากกระตุกอย่างยากสังเกตเห็น ไม่ได้ปริปากพูดอะไร
‘พี่หลิน ทำได้แค่รอเจ้าไปถึงโลกยอดนิรันดร์แล้วค่อยหาโอกาสตอบแทนบุญคุณเจ้าแล้ว รอเจอกันคราวหน้า อย่าตกใจเด็ดขาดเชียว’
ตู๋กูโยวหรันเดินออกไปด้านนอก ตอนผ่านข้างกายหลินสวินก็ขยิบตาให้เขาอย่างไหลลื่น แววตาไหลเคลื่อนเจือแววเจ้าเล่ห์
การสื่อจิตที่นางใช้มีเพียงหลินสวินคนเดียวที่ได้ยิน
พอเสียงเงียบลงตัวนางก็หายลับไปจากโถงแล้ว
“คนผู้นี้คงจะเป็นสหายยุทธ์หลินสวิน”
ชายหนุ่มชุดหยกกำลังจะจากไป ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นมาได้จึงชะงักเท้าลง สายตามองไปที่หลินสวิน
หลินสวินพยักหน้า “ไม่ผิด”
ชายหนุ่มชุดหยกยิ้มเอ่ย “ข้าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเจ้ามาประมาณหนึ่ง ชื่นชมเจ้านัก ถ้าภายหน้าพบกับความยุ่งยากอะไร สามารถแจ้งชื่อข้าไปได้ คิดว่าในแดนใหญ่พันศึกแห่งนี้ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง”
ถ้อยคำเขาดูคล้ายถ่อมตน แต่กลับมีความถือดีอย่างสมบูรณ์
หลินสวินอึ้งไป แล้วจึงยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้ เอ่ยว่า “ขอรับน้ำใจไว้”
“จะไปไหม” ที่นอกโถง เสียงรำคาญใจของตู๋กูโยวหรันดังขึ้น
“จะไปแล้ว”
ชายหนุ่มชุดหยกพลันหัวเราะเบิกบานใจแล้วเดินออกไปนอกโถง แต่เสียงของเขากลับดังขึ้นในโถงว่า “จำไว้ว่าข้าชื่ออวิ๋นมู่เจอ”
เสียงยังดังก้อง แต่ตัวเขาจากไปแล้ว
“เจ้าหมอนี่สง่างามผิดธรรมดา น่าชื่นชม” เยวี่ยตู๋ชิวรำพึง
แม้อวิ๋นมู่เจอจะปรากฏตัวเพียงครู่สั้นๆ แต่พลานุภาพกับความสง่างามอันไร้รูปนั้นทำให้เขายังละอายว่าตนด้อยกว่าอย่างห้ามไม่ได้
ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าคนผู้นี้เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด
“เพราะเขาคืออวิ๋นมู่เจอ เป็นตำนานมรรคจักรพรรดิคนหนึ่งในโลกยอดนิรันดร์ เป็นหนึ่งในสิบมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิแห่งน่านฟ้าที่เจ็ด ฝึกปราณไม่ถึงเจ็ดพันหกร้อยปีก็กำราบทั่วหล้า ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่านับไม่ถ้วนยังต้องก้มหัวให้!”
เผิงเทียนเสียงพึมพำ แววตาฉายความคลั่งไคล้และความเคารพจากใจจริง “รู้ไหมว่ามกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างเขา ถ้ามาเยือนตระกูลเผิงของข้า ท่านปู่ข้าที่ปิดด่านอยู่ไม่รู้นานเพียงไหนผู้นั้นยังต้องมาต้อนรับทันที!”
คำพูดเดียวทำให้เยวี่ยตู๋ชิวสูดหายใจเฮือก สั่นสะท้านอยู่ในใจ
ต่อให้เดาออกอยู่ก่อนแล้วว่าอวิ๋นมู่เจอไม่ธรรมดา แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าบารมีของอีกฝ่ายจะถึงกับตระการตาได้ปานนี้!
“ที่แท้ก็เป็นหนึ่งในสิบมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิของน่านฟ้าที่เจ็ด มิน่าแม้กริยาวาจาจะสุภาพอ่อนน้อม แต่สายตากลับมีแววโอหังหาใดเปรียบ…”
เซี่ยงเสี่ยวหยวนก็เอ่ยอย่างอดตกตะลึงไม่ได้ เห็นชัดว่าเคยได้ยินคำร่ำลือมาบ้าง
จู่ๆ หลินสวินก็เอ่ยถาม “ในโลกยอดนิรันดร์ มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิมีน้อยมากหรือ”
“น้อยสิ! น้อยมาก ในมกุฎมหาจักรพรรดิหมื่นคนยังยากจะหาตำนานเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นสักคน”
เผิงเทียนเสียงพูดโดยไม่ต้องคิด “ว่ากันว่าระหว่างมกุฎมรรคากับกับการบรรลุบรรพจารย์ มีเพียงจุดเปลี่ยนแจ้งมรรคที่หนึ่งในหมื่นยังหาไม่ได้อยู่ จุดเปลี่ยนแจ้งมรรคเช่นนี้ มกุฎมหาจักรพรรดิทั่วไปแตะไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้เก่งพอจะครอบครองไว้ได้ แต่ในตอนแจ้งมรรคก็จะผ่านด่านเคราะห์ที่เหนือความคาดหมาย!”
“ด่านเคราะห์นี้ถูกมองว่าเป็น ‘เคราะห์ยอดมรรค’ ในประวัติศาตร์โลกยอดนิรันดร์ บุคคลเย้ยฟ้าที่น่ากลัวเหลือประมาณไม่รู้เท่าไรก็ตายอยู่ใต้เคราะห์นี้!”
“และอวิ๋นมู่เจอก็คือผู้ที่ผ่านเคราะห์ยอดมรรค ในสายตาของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนในโลกยอดนิรันดร์แล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับทวยเทพ”
หลินสวินถึงได้เข้าใจ
เมื่อก่อนเขารู้ว่าถ้าหมายจะบรรลุมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดินั้นยากลำบากเป็นที่สุด แต่กลับคิดไม่ถึงว่าต่อให้อยู่ในโลกยอดนิรันดร์ บุคคลเช่นนี้ก็ยังน้อยยิ่งกว่าน้อย
“พูดแบบนี้ ในน่านฟ้าทั้งหกในอดีตก็ไม่มีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิเช่นนี้หรือ” เยวี่ยตู๋ชิวถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“มี”
เผิงเทียนเสียงเอ่ย “แต่ทุกครั้งที่บุคคลเช่นนี้ปรากฏตัว จะต้องถูกขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อมตะที่มาจากน่านฟ้าที่แปดนำทางไปฝึกปราณที่น่านฟ้าที่แปดทันที”
เยวี่ยตู๋ชิวหน้าเปลี่ยนสีอย่างห้ามไม่อยู่ ยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดต่างชิงตัวบุคคลเช่นนี้ทั้งนั้น เพียงคิดก็รู้ว่าระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดินี้พิเศษปานไหน
“เฮ้อ จะว่าไปหกน่านฟ้าแรกไม่มีทางเทียบกับน่านฟ้าที่เจ็ดได้อยู่ดี น่านฟ้าที่แปดยิ่งไม่มีทางเทียบติด ว่ากันถึงแก่นแล้ว ยังเป็นเพราะความต่างของทรัพยากรฝึกปราณ”
เผิงเทียนเสียงถอนใจยาว “อย่างที่น่านฟ้าที่เจ็ด สามารถรวบรวมพลังระเบียบระดับสวรรค์ได้ เพียงพอให้เผ่าจักรพรรดิอมตะเผ่าหนึ่งใช้ไม่มีหมด อย่างน้อยหลังจากก้าวล้ำระดับบรรพจารย์ไปสู่มรรคาอมตะ ก็ไม่ต้องห่อเกี่ยวใจกับการหลอมกฎเกณฑ์อมตะ”
“ในน่านฟ้าที่แปดยังมีพลังระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าถือกำเนิดอยู่ด้วย!”
“ส่วนในหกน่านฟ้าแรก อย่าว่าแต่ระเบียบระดับสวรรค์เลย ขนาดระเบียบระดับปฐพียังไม่ค่อยพบ เผ่าจักรพรรดิอมตะบางเผ่าถึงกับหลั่งขัดแย้งหลั่งเลือดเพราะจะช่วงชิงพลังระเบียบ”
เผิงเทียนเสียงรำพึงรำพัน เซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวก็ฟังจนไม่อาจสงบใจได้
ด้านหลินสวินกลับครุ่นคิดเรื่องหนึ่งอยู่
พลังระเบียบที่ตนครอบครองไม่ได้น้อย อย่างเพลิงหงส์ระเบียบ ระเบียบนิพพาน รวมถึงระเบียบนรกขุมทมิฦที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยระเบียบนิพพาน ระเบียบโลกมรรคเซียน…
อีกทั้งยังมี ‘อู๋ซวง’´วิญญาณระเบียบที่ดำรงมาตั้งแต่ยุคก่อนดวงหนึ่ง
และจากคำพูดของเผิงเทียนเสียง แค่ในแง่จำนวนของพลังระเบียบมี ไม่ใช่ว่าตนจะ… ‘มั่งมี’ กว่าเผ่าจักรพรรดิอมตะมากมายที่อยู่ในหกน่านฟ้าแรกหรอกหรือ
“พี่เผิง จะเสียมารยาทถามได้ไหมว่าอวิ๋นมู่เจอผู้นี้กับแม่นานโยวหรันเกี่ยวข้องกันอย่างไร” เยวี่ยตู๋ชิวถามอย่างอดไม่ได้
“คงถือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้อง ตามที่ข้ารู้มาแม่ของโยวหรันก็มาจากตระกูลอวิ๋นที่อวิ๋นมู่เจออยู่”
ความเศร้าใจปรากฏขึ้นในแววตาเผิงเทียนเสียง ถ้าเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องจริงๆ เช่นนั้นก็คงดีไหมนะ
ไม่นานนักงานเลี้ยงครั้งนี้ก็จบลง
หลินสวินไม่ถึงกับเศร้าใจอะไร ใจเขาอยากให้ตู๋กูโยวหรันถูกพาตัวไป จะได้ไม่ก่อเรื่องให้ตนอีก
ถึงกับว่าก่อนหน้านี้ถ้าเกิดอวิ๋นมู่เจอเป็นคนที่มีนิสัยใจคอหยิ่งผยองดิบเถื่อนคนหนึ่ง เกรงว่าเพียงแค่ในงานเลี้ยงครั้งนี้ยังก่อความวุ่นวายอะไรก็ได้แล้ว
“ต่อไปพี่หลินจะทำอย่างไร”
ก่อนไปเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวเอ่ยถาม
“ต้องเดินหน้าต่ออยู่แล้ว” หลินสวินยิ้มพลางเอ่ยตอบ
ภัยพิบัติในโบราณสถานมหามรรคแห่งนั้นเหมือนถูกสยบลงแล้ว แต่ความจริงแล้วมารเทพตี้สือผู้นั้นยังไม่ตาย จะระเบิดขึ้นอีกเมื่อไรก็ได้
จะอยู่เมืองยอดยุทธ์แห่งนี้ต่อก็ไม่ปลอดภัยแล้ว
“พี่หลิน สู้เคลื่อนไหวกับเราดีกว่าไหม” เยวี่ยตู๋ชิวเอ่ยเชิญ
“นั่นสิ พวกเราก็คิดจะจากไปในช่วงใกล้ๆ นีเหมือนกัน” เซี่ยงเสี่ยวหยวนทอดสายตามองหลินสวิน เจือแวววาดหวัง
คราวนี้หลินสวินปฏิเสธแล้ว
ไม่ใช่เขาไม่อยากไปด้วยกัน แต่ไม่อยากให้ทั้งสองมาพลอยติดร่างแหด้วยอีก
ถึงอย่างไรตระกูลลั่วก็รู้ว่าเขาปรากฏตัวในแดนใหญ่พันศึกนานแล้ว บนหนทางข้างหน้าจะต้องไม่ยอมเลิกราแน่
ในขณะเดียวกันขุมอำนาจตระกูลเหวินและเหิงก็ควรค่าให้ระวัง
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยาก ความจริงแล้วยังมีเรื่องลับอยู่ ขอให้ทั้งสองท่านเข้าใจด้วย” หลินสวินเอ่ยขอโทษ
แม้เซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวออกจะผิดหวัง แต่ก็พอจะเดาได้กลายๆ ว่า เรื่องลับที่หลินสวินพูดมาคืออะไร รำพึงในใจอย่างอดไม่ได้
“พี่หลิน เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรักษาเนื้อรักษาตัวดีๆ ไม่แน่ว่าในภายหน้าในด่านนภาอมตะเหล่านั้น พวกเราจะยังได้พบกันกันอีก” เซี่ยงเสี่ยวหยวนเอ่ยยิ้มจางๆ
“ใช่ ไม่ต้องกังวลว่าทางข้างหน้าจะไร้พวกพ้อง!” เยวี่ยตู๋ชิวพยักหน้า
“เฮ่ย พวกเจ้าจะไม่ถามถึงแผนของข้าหน่อยหรือ”
เผิงเทียนเสียงที่เงียบเชียบอยู่ตลอดร้อนรนขึ้นอย่างอดไม่ได้แล้ว พูดเองเออเองขึ้นมาว่า “ข้าน่ะ คิดจะกลับไปที่โลกยอดนิรันดร์ทันทีเพื่อชิงโอกาสที่จะได้ไปฝึกที่น่านฟ้าที่เจ็ด เช่นนี้แล้ว ข้าก็จะได้พบกับโยวหรันอีก…”
พูดจนจบ เขาก็เผยสีหน้าตั้งตาคอยอย่างห้ามไม่อยู่
หลินสวินยังสูดหายใจเย็นอย่างอดไม่ได้ เจ้าหมดนี่ผ่านอุปสรรคมามากมายขนาดนี้ยังไม่ถอดใจ น้ำใจเช่นนี้ช่างน่าสรรเสริญ!
หลินสวินโจมตีอีกฝ่ายไม่ลง ตบไหล่เขาแล้วฝืนพูดว่า “ทำให้ดีที่สุด ลงมือเท่าที่ได้”
เผิงเทียนเสียงแววตาแน่วแน่ “ข้าทำแน่!”
ราตรีดุจน้ำหมึก
ในระหว่างที่พวกหลินสวินบอกลากัน
หน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณค่ายหนึ่งที่จวนเจ้าเมือง
ไป๋เจี้ยนเฉินยิ้มพลางกุมมือ “ทั้งสอง ข้าคนแซ่ไป๋จะไม่รั้งพวกเจ้าไว้แล้ว ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ”
ภายในค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ตู๋กูโยวหรันพึมพำอย่างอ่อนแรงว่า “ท่านอาไป๋ ข้ายอมให้มีอุปสรรคเกิดขึ้นไปตลอดทางนี้ดีกว่า”
ไป๋เจี้ยนเฉินเงียบไป
เขาจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่า ตู๋กูโยวหรันไม่ได้อยากกลับบ้านเช่นนี้
“ต่อให้มีอุปสรรคก็มีข้าอยู่ ไม่ชักช้าหรอก” อวิ๋นมู่เจอที่อยู่อีกด้านหนึ่งยิ้มเบิกบาน สง่างามหล่อเหลา
ตู๋กูโยวหรันกลอกตา
ไป๋เจี้ยนเฉินกับอวิ๋นมู่เจอมองหน้ายิ้มให้กัน
ครู่ต่อมาค่ายกลเคลท่อนย้ายก็ส่งเสียงขึ้นท่ามกลางเสียงดังสนั่นอันพิสดาร
และในขณะเดียวกัน เสียงอวิ๋นมู่เจอก็ดังขึ้นในโสตประสาทของไป๋เจี้ยนเฉิน ‘อาไป๋ ภายหน้าข้าไม่อยากเห็นหลินสวินนั่นปรากฏตัวในโลกยอดนิรันดร์ เรื่องเล็กเช่นนี้ข้าหวังว่าท่านจะช่วยได้ วันหน้า ข้าจะต้องตอบแทนอย่างงาม’
รอยยิ้มบนใบหน้าไป๋เจี้ยนเฉินแข็งค้าง
เขากำลังจะพูดอะไร ภายในค่ายกลเคลื่อนย้าย อวิ๋นมู่เจอก็ยิ้มน้อยๆ หายลับไปกับตู๋กูโยวหรันแล้ว
——