ตอนที่ 2516 อภินิหารพรสวรรค์ขั้นที่สาม

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

หลังจากสงบลง ลั่วหลิงก็นึกขึ้นได้หลายอย่าง

หลินสวินในตอนนี้เป็นมกุฎมหาจักรพรรดิขั้นเจ็ดแล้ว ทั้งในโบราณสถานมหามรรคยังใช้พลังของตนคนเดียวสังหารบรรพจารย์จักรพรรดิที่มาจากตระกูลลั่ว ตระกูลเหวิน และตระกูลเหิงอย่างต่อเนื่อง!

อีกทั้งตัวเขายังมีพรสวรรค์หุบเหวกลืนกิน ถือครองห้องโถงมรรคาสวรรค์ ถ้าเขามีโอกาสรอดไปถึงโลกยอดนิรันดร์ได้จริงๆ…

ต่อให้ไม่อาจคุกคามตระกูลลั่วได้ทันที แต่ก็ต้องกลายเป็นภัยร้ายถึงตายที่ไม่อาจเพิกเฉยได้คนหนึ่งแน่!

และด้วยรากฐานพลังกับมรรควิถีที่หลินสวินมีในตอนนี้ ขอเพียงไม่ประสบเคราะห์ ความสำเร็จในวันหน้าต้องน่ากลัวหาใดเทียบแน่!

ยิ่งคิดในใจลั่วหลิงก็ยิ่งหนักอึ้ง

สายตานางมองไปที่หลินสวิน กำลังจะพูดอะไร

ก็เห็นหลินสวินเอ่ยว่า “เพื่อดำเนินการตามที่กล่าวไว้วันนี้ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่ก็ทำได้เพียงกำราบเจ้าไปก่อนแล้ว”

ปัง!

เสียงพูดไม่ทันเงียบลง ลั่วหลิงก็ถูกเล่นงานให้สลบไป

หลินสวินยื่นมือโบกออกไปคราหนึ่ง สมบัติที่อยู่กับตัวลั่วหลิงก็ถูกเก็บออกมาทั้งหมด ทั้งแหวนเก็บสมบัติ และสมบัติอื่นๆ…

สุดท้ายสายตาของหลินสวินก็หยุดอยู่ที่หินหยกแปลกประหลาดก้อนหนึ่ง

สิ่งนี้ดำขมุกขมัว พื้นผิวภายนอกเปื้อนคราบเลือดเล็กๆ รอยหนึ่ง ต่อให้แห้งไปนานแล้วแต่ยังแดงสดเปล่งประกายดังเดิม แผ่กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นออกมา

ครั้งแรกที่หลินสวินเห็นสิ่งนี้ก็สัมผัสได้อย่างประหลาด ว่ากลิ่นอายที่หลั่งไหลอยู่ในหินหยกแปลกประหลาดนี้ ถึงกับเหมือนกลิ่นอายของชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของเขา!

‘ดูท่า ก่อนหน้านี้ลั่วหลิงก็คงใช้สิ่งนี้มาสัมผัสร่องรอยของข้า….’ หลินสวินเล่นของชิ้นนี้อยู่ในมือ

แต่ไม่ว่าเขาจะใช้จิตรับรู้ไปสัมผัสอย่างไร กลับหาปริศนาอื่นไม่พบอีก จึงนิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้

เขานิ่งคิดดูแล้วกระตุ้นพลังชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด

ทันใดนั้นหินหยกสีดำก็ส่งเสียงฮูม คราบเลือดที่ประทับอยู่บนนั้นเหมือนฟื้นคืนชีวิต แปลงเป็นสายเลือดเป็นริ้วๆ แผ่ขยายอยู่ในลายของหินหยกสีดำ

ลายบนหินหยกสีดำค่อยๆ เกิดรอยแตกเป็นริ้วๆ จนเมื่อถึงท้ายที่สุด

เปรี๊ยะ!

หินหยกสีดำพลันระเบิดกระจุย

แสงเทพสะดุดตาอันไพศาลหาใดเทียบเจือกลิ่นอายกาลเวลาอันคลุมเครือ ขณะที่หลินสวินยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็ผุดเข้าไปในเส้นปราณหัวใจภายในร่างของเขา

โครม!

ทันใดนั้นในสมองหลินสวินเหมือนระเบิดออก ภาพการต่อสู้อันน่ากลัวหาใดเทียบภาพแล้วภาพเล่าปรากฏขึ้น

กลางฟ้าดารา บานประตูอันพร่างพราวหาใดเทียบบานหนึ่งเปิดออก เงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งอาบอยู่กลางเพลิงเทพสีทองอยู่ภายในประตู เพียงแค่ยื่นมือออกมาข้างหนึ่งก็ซัดร่างที่หมายจะกระโจนไปหาประตูนั้นให้กระเด็นไป

และร่างที่ถูกซัดถอยหลังนี้ก็คือเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ลั่วทงเทียน!

‘ฆ่า!’

พลังกลืนกินอันน่ากลัวไร้สิ้นสุดผุดขึ้นทั้งร่างลั่วทงเทียน มีกระแสกาลเวลากระจายออกมาจากร่างเขา ทำให้ฟ้าดาราแถบนั้นบิดเบี้ยว ยุบตัว และระเบิดกระจุยไม่หยุด…

กระแสกาลเวลาอันยุ่งเหยิงสาดกระเซ็นราวกับสายธารคลั่งม้วนตลบ พุ่งโจมตีไปยังประตูพร่างพราวนั้นพร้อมกับลั่วทงเทียน

พลังเช่นนั้นน่ากลัวเกินไป เกี่ยวโยงเข้ากับกฎเกณฑ์กาลเวลา คล้ายจะซัดให้ทุกสิ่งพังพินาศท่ามกลางวัฏจักร!

แต่คู่ต่อสู้ของเขาน่ากลัวยิ่งกว่า เพลิงเทพสีทองทั้งร่างลุกโหม สกัดกั้นอยู่ในประตูอันพร่างพราวเปล่งประกายนั้น ทุกอิริยาบถเปี่ยมอานุภาพชั้นยอด

ตูม!

การห้ำหั่นของทั้งสองทำให้ฟ้าดาราแห่งนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า เหลือเพียงประตูพร่างพราวเปล่งประกายเพียงบานเดียว

นอกประตูคือเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์

ในประตูคือเงาร่างสีทองนั้น

พลังที่ทั้งสองใช้ต่อสู้กันเกินกว่าจินตนาการของหลินสวินไปโดยสิ้นเชิง ไม่อาจเข้าใจได้สักนิด เป็นพลังที่เกี่ยวข้องกับอมตะ ทั้งยังเกี่ยวเนื่องกับกาลเวลา!

ครู่ใหญ่

ลั่วทงเทียนบาดแผลเต็มตัว แต่สุดท้ายก็ถล่มเงาร่างสีทองที่ขวางอยู่หน้าประตูนั้นกระจุยอย่างจัง

เพลิงเทพสีทองเต็มฟ้าสาดระบำกระจัดกระจาย

‘ประตูนิรันดร์นี้ก็ขวางการสังหารของข้าไม่ได้!’ ลั่วทงเทียนที่บาดแผลเต็มตัวส่งเสียงหัวเราะลั่นอย่างองอาจ

แต่พอเขาเหยียบย่างเข้าไปในประตูเปล่งประกายนั้นเพียงก้าวเดียว ระฆังมรรคที่อบอวลกลิ่นอายแรกกำเนิดใบหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับไว

แกร๊ง!

เสียงระฆังดังขึ้น

ภาพที่ปรากฏขึ้นในสมองหลินสวินระเบิดออกตามไปด้วย คล้ายว่ารับไม่ไหว สะท้อนพลังอันน่ากลัวหาใดเทียบออกมา

สภาวะจิตหลินสวินยังแทบพังทลาย จิตวิญญาณเจ็บปวด หน้าเปลี่ยนสีไปอย่างอดไม่ได้

นี่เป็นเพียงภาพที่เกิดขึ้นจากรอยประทับหนึ่งเท่านั้น แต่กลับยังเต็มไปด้วยอานุภาพน่ากลัวเช่นนั้น แค่คิดก็รู้ว่าพลังของระฆังมรรคใบนั้นจะน่าเหลือเชื่อปานไหน!

เมื่อหลินสวินสงบใจลง ภาพอีกภาพหนึ่งก็อุบัติขึ้นในสมอง

ท่ามกลางความว่างเปล่าอันไร้สิ้นสุด ลั่วทงเทียนเลือดอาบไปทั้งตัว เงาร่างคลุมเครือ คล้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างน่ากลัวหาใดเทียบ

ประตูเปล่งประกายบานนั้นหายลับไปแล้ว

แต่ไม่ไกลจากลั่วทงเทียนกลับมีเงาร่างหลายร่างปรากฏตัว กลิ่นอายแต่ละคนเปรียบดั่งนายเหนือหัวอมตะ สาดส่องทั่วหล้า โอหังเหนือโลก

หลินสวินมองไม่ออกสักนิดเพราะเงาร่างเหล่านั้นเปล่งประกายเกินไป ประหนึ่งเทพบนเก้าชั้นฟ้า ไม่อาจมองทะลุรูปโฉมของพวกเขาได้

‘เหอะๆ ตีชิงตามไฟหรือ คนอย่างพวกเจ้าไม่อาจเดินสู่นิรันดร์ด้วยตัวเอง กลับต้องการขัดขวางไม่ให้คนอื่นเข้าไป ไร้ยางอายขนาดไหน!’

ลั่วทงเทียนหัวเราะดังลั่น เสียงเผยความดูแคลนและถากถางอย่างไม่ปิดบังสักนิด

‘สหายยุทธ์ลั่ว ขอเพียงเจ้าทิ้นัยเร้นลับพรสวรรค์ของหุบเหวกลืนกินและส่งห้องโถงมรรคาสวรรค์มา พวกเราก็จะจากไป’

เงาร่างหนึ่งเอ่ยปาก เรียบเฉยและสงบนิ่ง ราวกับจอมสวรรค์กล่าวประกาศิต

คนอื่นๆ ต่างมองไปยังลั่วทงเทียน

‘นี่ก็คือโฉมหน้าของผู้ที่เป็นยักษ์ใหญ่อมตะของน่านฟ้าที่แปดหรือ ต่อให้ข้าตายก็ไม่มีทางยอมให้พวกเจ้าแตะต้องพลังเช่นนี้แน่!’

ลั่วทงเทียนหัวเราะลั่น

จากนั้นร่างของเขาพลันแปลงเป็นหุบเหว เคลื่อนขวางกลางความว่างเปล่านั้น ปกคลุมเงาร่างที่ประหนึ่งนายเหนือหัวอมตะเหล่านั้นไว้ภายใน

ตูม!

ครู่ต่อมาหุบเหวนั้นก็ระเบิดกระจุยกึกก้อง ห้วงอากาศไร้ขอบเขตยังปั่นป่วนไปด้วย

ภาพมาถึงตรงนี้ก็หายลับไป

หลินสวินอึ้งอยู่เช่นนั้น

‘นี่เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ตายแล้วหรือ…’ เขารู้สึกอารมร์ปั่นป่วน

ประตูเปล่งประกายนั้น เงาร่างที่มีเปลวเพลิงสีทองชโลมไปทั้งตัวนั่น หลินสวินเคยเห็นมานานแล้ว

นั่นเป็นภาพที่เขาได้เห็นเมื่อตอนที่เขาเปิดห้องโถงมรรคาสวรรค์ครั้งแรกสมัยอยู่หมู่บ้านเฟยอวิ๋น

เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ในตอนนั้นแกว่งหมัดทลายนภาคราม เปิดทวารดวงดาว เข้าต่อสู้กับขุนพลเทพทางดาราผู้หนึ่ง สุดท้ายไม่ได้รับชัยชนะ

และภาพในตอนนี้ เห็นชัดว่าเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์เปิดทวารดวงดาวอีกครั้ง ทั้งยังโจมตีสังหารขุนพลเทพทางดาราที่ทั้งร่างอบอวลไปด้วยเพลิงเทพสีทองผู้นั้นอีกครั้ง

แต่ในตอนที่เขาก้าวเข้าสู่ทวารดวงดาว กลับถูกระฆังมรรคที่อบอวลกลิ่นอายแรกกำเนิดเอาชนะ ได้รับบาดเจ็บสาหัส!

จากนั้นเคราะห์สังหารก็มาเยือน มีคนหมายชิงพลังและสมบัติของเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ไป

เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น หลินสวินก็ให้เสียวสันหลังวาบ เงาร่างดั่งจอมอมตะร่างแล้วร่างเล่านั่น แกร่งกล้าจนไม่อาจจินตนาการได้จริงๆ!

จากคำพูดของเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าเงาร่างเหล่านั้นต่างมาจากขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อมตะของน่านฟ้าที่แปด!

‘ทวารดวงดาว เดิมทีก็ถูกเรียกว่าประตูนิรันดร์ ส่วนการหายตัวไปของเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ ทั้งเกี่ยวข้องกับระฆังมรรคลึกลับที่ประตูนี้ใบนั้น และเกี่ยวพันกับขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อมตะของน่านฟ้าที่แปดอย่างแยกไม่ออก…’

หลินสวินพอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว

หืม?

ไม่ทันไรเขาก็สังเกตเห็น ว่าในชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดมีพลังอันลึกลับคลุมเครือเพิ่มขึ้นมา ปกคลุมพลังประทับเอาไว้

ขณะเดียวกันในใจหลินสวินพลันเกิดความกระจ่างอย่างหนึ่ง

ดาบกาลเวลา!

พลังลึกลับคลุมเครือนี้ถึงกับเป็นพลังอภินิหารดั่งต้องห้าม สามารถพลิกย้อนแสงสว่างและความมืด สามารถฟาดฟันมรรควิถีได้!

หลินสวินอดคิดขึ้นมาไม่ได้ ในการต่อสู้ของลั่วทงเทียนกับเหวยหมิงจื่อที่โบราณสถานมหามรรคครั้งนั้น เคยซัดให้เหวยหมิงจื่อกลับไปยังสมัยเป็นเด็กหนุ่มด้วยหมัดเดียว มรรควิถีทั้งตัวยังลดลงไปในสมัยเป็นเด็กหนุ่มตามไปด้วย!

อานุภาพของหมัดนั้นสวนกระแสกาลเวลา ตัดทอนมรรควิถี ดูน่าเหลือเชื่อถึงที่สุด

และตอนนี้เมื่อได้อภินิหาร ‘ดาบกาลเวลา’ มา หลินสวินก็รับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่อยู่ในหมัดนั้นของลั่วทงเทียน เกรงว่าจะเป็นพลังเช่นนี้!

แต่หลินสวินก็สังเกตได้เช่นกัน ว่าอภินิหาร ‘ดาบกาลเวลา’ ถูกผนึกไป ไม่มีทางที่ตัวเขาในตอนนี้จะแตะต้องได้

จากกลิ่นอายที่เขาสัมผัสได้ก็รับรู้ได้ทันที ว่ามีแต่ต้องปลุกพลังพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินขั้นที่สามเท่านั้นถึงจะปลดผนึกนี้ออก และได้รับมรดกดาบกาลเวลา

‘ที่แท้นี่ก็เป็นอภินิหารที่เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ขั้นที่สาม…’

หลังจากหลินสวินสงบใจลง ก็ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้

เกรงว่าลั่วหลิงจะคิดไม่ถึงสักนิด ว่านางดันจับพลัดจับผลู ‘มอบ’ วาสนาที่เกี่ยวข้องกับหุบเหวกลืนกินมาให้ถึงมือตนกระมัง

หินหยกสีดำแปลกประหลาดก้อนนั้นหายไปแล้ว

แต่หลินสวินรู้ดีว่าตั้งแต่ตอนนี้ อภินิหาร ‘ดาบกาลเวลา’ ได้กลายเป็นสิ่งที่ตนครอบครองไปแล้ว ขอเพียงตนปลุกพลังพรสวรรค์ขั้นที่สามขึ้นมา ก็จะครอบครองอภินิหารนี้ได้อย่างสมบูรณ์ทันที!

‘แต่ดาบกาลเวลานี้เป็นอภินิหารพรสวรรค์ที่เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ปลุกขึ้น ตอนที่พลังพรสวรรค์ขั้นที่สามของข้าตื่นขึ้นมา ก็น่าจะได้ครอบครองอภินิหารพรสวรรค์ที่ถือเป็นของตน…’

‘ถ้าสันนิษฐานเช่นนี้ จะไม่ได้หมายความว่านอกจากดาบกาลเวลาแล้ว ข้ายังสามารถครอบครองอภินิหารที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลาอีกอย่างหนึ่งหรือ’

พอหลินสวินคิดถึงตรงนี้ ความรู้สึกเฝ้าคอยแรงกล้าก็ผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

อภินิหารหยุดเวลาเย้ยฟ้าปานนั้น ดาบกาลเวลาจะแกร่งกล้าปานไหน แล้วตนจะปลุกอภินิหารใหม่เช่นไรขึ้นมาได้อีกกัน

หืม?

ทันใดนั้นนัยน์ตาหลินสวินก็หดรัด

กลิ่นอายอันตรายถึงชีวิตไหลทะลักเข้ามาเต็มห้องในชั่วพริบตา ราวกับกระแสน้ำที่อุบัติขึ้นกะทันหัน

เงาร่างหลินสวินพุ่งถลา อานุภาพทั้งร่างปะทุออกกึกก้องโดยพลัน

เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งยิ่งปรากฏขึ้นทันที

เคร้ง!!!

เสียงระเบิดดังลั่นจนหูแทบดับดังขึ้น พลังอันดุดันน่ากลัวกระแทกลงบนเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งจนตัวเตายังส่งเสียงสนั่นหวั่นไหว ถูกซัดจนสั่นโคลงแทบกระเด็นออกไป

ด้านหลินสวินรู้สึกเพียงว่าเลือดลมปั่นป่วน ร่างกายเจ็บปวดรุนแรง ส่งเสียงอู้อึดอัดออกมาอย่างอดไม่ได้

ทว่าเขาตอบโต้อย่างว่องไวยิ่ง หลบหนีทันที

แต่การจู่โจมอันดุดันน่าครั่นคร้ามนั้นกลับน่ากลัวหาใดเทียบ ราวกับอยู่ทุกที่ ไม่มีจุดไหนที่ไปไม่ถึง ไม่ว่าเขาจะหลบหนีเช่นไรก็สลัดไม่หลุด

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

เสียงปะทะสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นไม่หยุด เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นปราณกระบี่พิสดารประหนึ่งแส้เทพสายแล้วสายเล่าไหลหลั่งลงมา แน่นขนัดราวกับพายุคลั่งฝนกรรโชก อุบัติขึ้นกลางความว่างเปล่า จู่โจมมาจากสี่ทิศแปดด้าน เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งถูกฟันจนส่งเสียงหึ่งไม่หยุด ละอองแสงสาดกระเซ็น

หลินสวินในตอนนี้ยับเยินนัก ทั้งสถานการณ์ยังอันตราย เนื่องจากถูกชิงโอกาสสำคัญไป ทุกครั้งที่เขาหมายจะยืนทรงตัวให้มั่น ก็จะถูกปราณกระบี่แน่นขนัดกำราบไปทุกที เป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างเห็นได้ชัด

ถ้าไม่ใช่ว่ามีเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งขวางไว้ เกรงว่าจะไม่อาจรับการลอบสังหารที่มาเยือนกะทันหัน ทั้งยังโหดร้ายและดุดันถึงที่สุดครั้งนี้ได้!

——