บรรยากาศอึดอัดกำลังแผ่ขยาย ฟ้าดินแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยไอสังหารดุจกระแสน้ำอย่างเงียบเชียบ
แม้ผู้คุ้มกันจวนเจ้าเมืองเหล่านั้นจะสีหน้าเคร่งเครียดและหวาดหวั่นใจหาใดเทียบ แต่ไม่มีใครถอยร่น
ว่ากันถึงแก่น ตั้งแต่ตอนที่พวกเขาเป็นผู้คุ้มกันจวนเจ้าเมืองนั้น ชะตาชีวิตของพวกเขาก็หาใช่สิ่งที่ตนจะควบคุมได้แล้ว
หลินสวินสีหน้าไม่ไหวหวั่นเช่นเคย
เขาจะไม่ถอย
เมื่อเข้าไปในจวนเจ้าเมือง ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แต่ก็ในตอนที่หลินสวินกำลังจะเอ่ยปาก เสียงเรียบเฉยเสียงหนึ่งดังขึ้น “คนที่ตายไปเมื่อครู่คือมือสังหารน้ำค้างจากแดนเร้นนภาจริงๆ”
พร้อมกับเสียงนี้ ไป๋เจี้ยนเฉินผู้มีผมขาวดุจหิมะ ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเด็กหนุ่มก็เดินมาจากไกลๆ
“คารวะใต้เท้าเจ้าเมือง!” ผู้คุ้มกันจวนเจ้าเมืองเหล่านั้นต่างถอนหายใจโล่งอก การเผชิญหน้ากับหลินสวินทำให้พวกเขากดดันยิ่งนัก และการปรากฏตัวของไป๋เจี้ยนเฉินก็ทำให้พวกเขาหาที่พึ่งพิงได้
“พวกเจ้าถอยไปเถอะ ข้าอยากคุยกับเขาตามลำพัง”
ไป๋เจี้ยนเฉินทอดสายตามองไปยังหลินสวิน
พลันนั้นผู้คุ้มกันที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็รับคำสั่งจากไป
“พวกเราหาที่ดื่มกันสักจอกสองจอกดีไหม” ไป๋เจี้ยนเฉินเอ่ย
หลินสวินคิดๆ แล้วพยักหน้าตอบรับ
……
ในหอสุราแห่งหนึ่ง
กับแกล้มสองจาน เหล้าเก่าหนึ่งไห
หลินสวินกับไป๋เจี้ยนเฉินนั่งตรงข้ามกัน
ไป๋เจี้ยนเฉินรินเหล้าให้หลินสวินจอกหนึ่งถึงค่อยเอ่ยว่า “จะไปพรุ่งนี้แล้วหรือ”
หลินสวินเอ่ย “ได้เวลาไปแล้ว ไม่เช่นนั้นเกรงว่าข้าจะกลายเป็นตัวหายนะที่ทุกคนในจวนเจ้าเมืองต่อต้าน”
ไป๋เจี้ยนเฉินหลุดหัวเราะ ชนจอกกับหลินสวินแล้วแหงนหน้าดื่มจนหมด เขาลิ้มรสสุราที่อยู่ในปากพลางเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะเป็นด่านนภาอมตะด่านไหนก็มีกฎของด่านนั้นๆ อยู่ แต่ผู้ที่ถูกกฎผูกมัด โดยทั่วไปไม่ใช่พวกร้ายกาจอะไร ส่วนผู้ที่ละเมิดกฎ แทบจะเป็นผู้ที่มีเบื้องลึกเบื้องหลังทั้งนั้น อย่างเช่นผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิอมตะ ต่อให้ฆ่าคนในเมือง แม้แต่เจ้าเมืองยังทำได้แค่ปิดตาข้างหนึ่ง”
หลินสวินเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดไป๋เจี้ยนเฉินอยู่บ้าง
“ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่า ต่อให้เจ้าไม่ได้มาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะของโลกยอดนิรันดร์ แต่ข้าก็สามารถปิดตาข้างหนึ่งได้เหมือนกัน”
ไป๋เจี้ยนเฉินยิ้มเอ่ย “เรื่องนี้ย่อมมีสาเหตุ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ข้าไม่ได้มั่นใจไปเสียหมดว่าจะสามารถรั้งเจ้าอยู่ในเมืองยอดยุทธ์ได้”
นี่เท่ากับยอมรับพลังต่อสู้ของหลินสวินแล้ว!
“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว” หลินสวินเอ่ย
ไป๋เจี้ยนเฉินยิ้มเอ่ยว่า “ข้าเชื่อในการตัดสินของข้า อีกอย่างเรื่องในคืนนี้ ข้าสามารถบอกได้ว่าสาเหตุที่น้ำค้างกล้าลงมือ ก็เพราะได้รับความยินยอมจากข้า”
หลินสวินนัยน์ตาหดรด มองไปที่ไป๋เจี้ยนเฉินโดยพลัน
ไป๋เจี้ยนเฉินดูเรียบเฉยและสงบนิ่งนัก เอ่ยว่า “ตั้งแต่ตอนที่เจ้ากับพวกเหวินเทาเลวี่ยสู้กันอยู่ในเมืองเมื่อหลายวันก่อน น้ำค้างก็คิดจะลงมือแล้ว ข้าเป็นคนออกหน้ายับยั้งนางไว้เอง หาไม่แล้วการลอบสังหารคราวนี้จะเกิดเร็วขึ้น”
หลินสวินนิ่วหน้า “เช่นนั้นคืนนี้ล่ะ”
ไป๋เจี้ยนเฉินยิ้มเอ่ย “สามารถกำจัดภัยคุกคามที่แอบแฝงอยู่จากในเมืองยอดยุทธ์ สำหรับเจ้าแล้วน่าจะเป็นเรื่องดีถึงจะถูก”
“แต่ถ้าเกิดข้าประสบเคราะห์ล่ะ” หลินสวินเอ่ย
ไป๋เจี้ยนเฉินดื่มเหล้าจอกหนึ่งแล้วถึงกล่าวง่ายๆ ว่า “ถ้าเจ้าประสบเคราะห์ ข้าก็สามารถรายงานผลงานให้คนผู้หนึ่งได้พอดี”
หลินสวินยิ่งไม่เข้าใจ เลิกคิ้วเอ่ยว่า “นอกจากน้ำค้างคนนี้ ยังมีคนอยากจัดการข้าอีกหรือ มิหนำซ้ำมีแต่ข้าตาย ถึงให้ผู้อาวุโสเช่นท่านไปรายงานได้หรือ”
ไป๋เจี้ยนเฉินพยักหน้า ดวงตาปรากฏแววซับซ้อนน่าประหลาดสายหนึ่ง “ไม่ผิด”
“พูดแบบนี้ ผู้อาวุโสก็ต้องการจัดการข้าหรือ” หลินสวินถาม สีหน้าดูอารมณ์ไม่ออก พูดอีกอย่างก็คือไม่มีคลื่นความรู้สึกใดๆ
ไป๋เจี้ยนเฉินหัวเราะหยัน “ในเมืองยอดยุทธ์แห่งนี้ ถ้าข้าอยากข้าฆ่าเจ้าจริงๆ ยามน้ำค้างลงมือ คงเคลื่อนกำลังพลทั้งหมดของจวนเจ้าเมืองวางตาข่ายปิดล้อมไปพร้อมกันแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น บางทีเจ้าอาจมีไพ่ตายอะไรอยู่ แต่เจ้าคิดว่าข้าไป๋เจี้ยนเฉินจะไม่มีหรือ”
หลินสวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “แต่ในสายตาข้า ต่อให้ผู้อาวุโสใช้ทุกวิถีทาง ก็ไม่มีทางรั้งข้าไว้ได้ แม้จะใช้ไพ่ตายที่ข้าไม่รู้บางอย่าง… ก็ไม่ได้”
ไป๋เจี้ยนเฉินอึ้งไป คล้ายผิดคาดอยู่บ้าง จ้องมองหลินสวินอยู่พักหนึ่งถึงยิ้มขื่นเอ่ยว่า
“ดังนั้นเจ้าก็มองออกแล้วว่าที่ตอนนั้นข้าไม่ได้ทำเช่นนี้ สาเหตุก็อย่างที่พูดเมื่อครู่ ในใจไม่ได้มั่นใจว่าจะชนะเจ้าอย่างเบ็ดเสร็จ”
หลินสวินถอนใจเบาๆ “ว่ากันถึงที่สุด เพียงเพราะผู้อาวุโสไม่มั่นใจ ถึงได้ล้มเลิกความคิดที่จะจัดการข้าใช่หรือไม่”
ไป๋เจี้ยนเฉินร้องอืมแล้วกล่าวว่า “แม้ข้าจะรู้ว่านี่จะทำให้เจ้าต่อต้านและมองข้าเป็นศัตรู แต่ถึงอย่างไรก็เป็นความจริง ข้าย่อมไม่ปิดบัง”
กล่าวจบเขาก็ดื่มเหล้าอีกจอกหนึ่ง จากนั้นถึงเอ่ยทอดถอนใจ “บนโลกนี้ไม่เคยมีเรื่องดีอย่างไม่มีสาเหตุ ข้าในฐานะเจ้าเมือง ที่ยอมพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าก็มีสาเหตุอยู่สองประการ”
“ข้อแรก ข้าดูออกว่ายายหนูโยวหรันนั่นมองเจ้าเป็นสหาย มีไมตรีให้ไม่น้อย ส่วนจะเป็นความรักอย่างชายหญิงหรือไม่ ข้าก็ไม่สะดวกใจจะเดาเอง แต่แค่เรื่องนี้ข้าก็ไม่อยากทำให้เจ้าลำบากมากเกินไป หาไม่เมื่อหลายวันก่อนก็คงไม่แทรกแซงการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูล”
“ข้อสอง เจ้ามีความลับอยู่กับตัวมากเกินไป ทำให้ข้าไม่อาจมองขาด แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ ข้าแค่รู้ว่าพลังที่เจ้ามีคงแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคาดไว้ ถ้าภายหน้ามีชีวิตรอดไปได้ จะต้องประสบความสำเร็จอันเยี่ยมยอดเป็นแน่ การเป็นศัตรูกับเจ้าเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ สู้พูดให้ชัดเจนไปเลยเสียดีกว่า ต่อให้ทำให้เจ้ารู้สึกต่อต้านในใจ อย่างน้อย… ภายหน้าก็จะไม่คิดแค้นข้า”
ถ้อยคำนี้พูดออกมาอย่างชัดเจนกระจ่างแจ้ง
หลินสวินฟังจบก็ต้องยอมรับเช่นกัน ว่าหลังจากรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว เขาก็ไม่อาจมีความคิดในแง่ลบกับไป๋เจี้ยนเฉินได้อีกจริงๆ
“เช่นนั้นผู้อาวุโสจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าใครอยากฆ่าข้าอีก ถึงขั้นยังทำให้ผู้อาวุโสไม่อาจปฏิเสธได้” หลินสวินเอ่ยถาม
ไป๋เจี้ยนเฉินถอนหายใจเฮือกยาว ยกจอกเอ่ยว่า “ดื่มเหล้าก่อน”
หลินสวินไม่ได้ซักต่อ ยกจอกร่วมดื่มกับอีกฝ่าย
กระทั่งดื่มสุราหมดไปไหหนึ่ง จู่ๆ ไป๋เจี้ยนเฉินก็เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าในเมืองยอดยุทธ์แห่งนี้ ใครสามารถทำให้ข้ากลุ้มใจกับการจัดการเจ้าได้ขนาดนี้”
“ย่อมเป็นคนที่กระทั่งผู้อาวุโสยังยากจะล่วงเกิน” หลินสวินเอ่ย
ไป๋เจี้ยนเฉินยิ้มน้อยๆ ก่อนหยัดตัวลุกขึ้นเอ่ยว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าควรไปได้แล้ว ถ้าวันหน้าเจ้ารอดชีวิตและปรากฏตัวที่น่านฟ้าที่เจ็ด ข้าจะเชิญเจ้ามาดื่มเหล้าด้วยกันอีกครั้งแน่”
เขาหันหลังจะจากไป
หลินสวินคล้ายเดาอะไรได้ เอ่ยขึ้นว่า “อวิ๋นมู่เจอหรือ”
ไป๋เจี้ยนเฉินชะงักเท้า หัวเราะลั่นอย่างอดไม่ได้ ไม่ได้ตอบกลับ แต่เปลี่ยนเรื่องไปว่า
“บนโลกนี้ไม่มีเรื่องดีอย่างไม่มีสาเหตุ ก็ย่อมไม่มีเรื่องร้ายอันไร้ที่มาที่ไปเช่นกัน เรื่องนี้ย่อมมีเหตุผล แต่ข้าเดาไม่ออก ตอนนี้ก็คร้านจะไปคาดเดาอีก วันหน้า… เจ้าก็ไปถามหาเหตุผลเอาเองเถอะ”
เขาตรงดิ่งจากไป
ผมขาวดุจหิมะปลิวไสว เดินเข้าไปในราตรีอันมืดมิด
“ผู้อาวุโส อีกไม่นานมารเทพตี้สือที่อยู่ในโบราณสถานมหามรรคก็จะหลุดออกมา ท่านต้องระวังด้วย” หลินสวินลุกขึ้น มองส่งอีกฝ่ายจากไป
ไป๋เจี้ยนเฉินโบกมือโดยไม่หันหลังมา แสดงออกว่ารู้แล้ว
กระทั่งเงาร่างของเขาหายลับไป หลินสวินถึงนั่งลงอีกครั้ง สั่งเหล้าอีกกามาดื่ม
ขณะที่ค่อยๆ ขบคิดคำพูดของไป๋เจี้ยนเฉินเมื่อครู่ สีหน้าของหลินสวินก็แปรเปลี่ยนไม่ว่างเว้น
เขาเพิ่งรู้เอาตอนนี้ ว่าเบื้องหลังการปรากฏตัวครั้งนี้ของน้ำค้าง ถึงกับยังมีความจริงอันพิสดารเช่นนี้ซ่อนอยู่!
‘เป็นเขาจริงๆ หรือ…’
หลินสวินนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เขาได้พบอวิ๋นมู่เจอในงานเลี้ยงคราวก่อน นึกย้อนทุกการกระทำของตนในตอนนั้นโดยละเอียด แต่กลับคิดไม่ออกว่าตนไปล่วงเกินมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่บารมีสาดส่องในน่านฟ้าที่เจ็ดผู้นี้ตรงไหนกันแน่
‘ข้าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเจ้ามาประมาณหนึ่ง ชื่นชมเจ้านัก ถ้าภายหน้าพบกับความยุ่งยากอะไร สามารถแจ้งชื่อข้าไปได้ คิดว่าในแดนใหญ่พันศึกแห่งนี้ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง’
‘จำไว้ว่าข้าชื่ออวิ๋นมู่เจอ’
เงาร่างชุดหยกที่รูปลักษณ์หล่อเหลากับเสียงนั้น เหมือนยังอยู่ตรงหน้า
แต่หลินสวินกลับตระหนักได้ว่าชายหนุ่มที่ดูเหมือนสง่างามเปล่งประกาย สุภาพอ่อนน้อมผู้นั้น เป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะมีเจตนาสังหารตนมานานแล้ว
‘บนโลกนี้ไม่เคยมีเรื่องร้ายอันไร้ที่มาที่ไป เรื่องนี้ย่อมมีเหตุผล…’ หลินสวินนึกถึงคำพูดที่ไป๋เจี้ยนเฉินเอ่ยก่อนจากไป จมสู่ภวังค์
ครู่ใหญ่เขาก็ดื่มสุราในการวดเดียวหมดแล้วหมุนตัวจากไป
“นกกระจอกเขียว ช่วยข้าเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับอวิ๋นมู่เจอผู้นี้ที ยิ่งละเอียดยิ่งดี”
กลางราตรี หลินสวินเดินมือไพล่หลังไปบนถนนในเมือง
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ารู้จักคนผู้นี้” นกกระจอกเขียวประหลาดใจ
“คนผู้นี้เป็นถึงหนึ่งในสิบมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิในน่านฟ้าที่เจ็ด ถ้าเจ้าไม่รู้จัก นั่นถึงเรียกว่าผิดปกติ” หลินสวินยิ้ม
ขณะที่พูดเขาก็เดินเข้าไปใกล้ร้านค้าร้านหนึ่งแล้ว
ในโบราณสถานมหามรรคเขาได้รับทรัพย์หลังศึกมามาก จึงคิดจะเอาสมบัติที่ใช้ไม่ได้เหล่านั้นมาขายทิ้งทั้งหมด
“ได้” นกกระจอกเขียวรับปาก
ราตรีอันเนิ่นนานผ่านไปในที่สุด เมืองยอดยุทธ์ต้อนรับวันใหม่
หลินสวินตื่นขึ้นในห้องในโรงเตี๊ยมแล้วมุ่งหน้าไปจวนเจ้าเมืองทันที นำมุกบรรจุมรรคที่ได้มาจากวิญญาณร้ายระดับจักรพรรดิซึ่งจำเป็นต่อการผ่านการทดสอบออกมา
ผู้คุ้มกันจวนเจ้าเมืองต่างสีหน้าซับซ้อน สายตาที่มองหลินสวินเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนถึงขั้นกริ่งเกรง
เมื่อคืนเพราะได้รับการยืนยันจากเจ้าเมืองไป๋เจี้ยนเฉิน ทำให้พวกเขารับรู้ได้ในที่สุด ว่ามือสังหารน้ำค้างแห่งแดนเร้นนภาพผู้เป็นดั่งตำนานคนนั้นถูกหลินสวินฆ่าจริงๆ
นี่จึงทำให้ยามเผชิญหน้ากับหลินสวิน พวกเขาจึงไม่กล้าเผอเรอสักนิด
ไม่นานนักหลินสวินก็ได้รับป้ายยืนยันสำหรับเปิดค่ายกลเคลื่อนย้าย และมุ่งหน้าจากไป
เส้นทางแห่งจักรพรรดิยากลำบาก
และการเดินทางในแดนใหญ่พันศึกย่อมยังอีกยาวไกลนัก
สำหรับหลินสวินแล้ว เมืองยอดยุทธ์เป็นแค่ด่านหนึ่งในการเดินทางครั้งนี้ บนหนทางข้างหน้า เขายังต้องเผชิญอันตรายและความท้าทายนับไม่ถ้วนที่มาเยือน
แต่หลินสวินไม่หวั่นกลัว
วันนั้น เขาก็เดินทางจากไป
“ดาวพิฆาตนี่ไปสักที…”
หลังจากผู้คุ้มกันจวนเจ้าเมืองที่เฝ้าค่ายกลเคลื่อนย้ายมองดูเงาร่างหลินสวินหายลับไป ต่างถอนหายใจโล่งอกอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
จากนั้นแววตาของพวกเขาก็ปรากฏแววทอดถอนใจ
ชายหนุ่มจากทางเดินโบราณฟ้าดาราคนหนึ่งกลับสร้างชื่อเสียงโด่งดังปานนี้ได้ หากวันหนึ่งเขาไปถึงโลกยอดนิรันดร์ได้จริงๆ จะเปล่งรัศมีสะดุดตาปานไหนกัน
‘หลินสวินเอ๋ยหลินสวิน คนตระกูลเหวิน เหิงและลั่วที่ไม่ได้กลับมาจากโบราณสถานมหามรรคเหล่านั้น เกรงว่าจะถูกเจ้าฆ่าหมดแล้วกระมัง…’
‘และหายนะที่โบราณสถานมหามรรคซึ่งถูกสยบลงนั่น จะเกี่ยวกับเจ้าด้วยหรือไม่’
‘ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะตั้งตาคอยวันที่เจ้ารอดไปถึงโลกยอดนิรันดร์…’
ที่จวนเจ้าเมือง ไป๋เจี้ยนเฉินปรารภอยู่ในใจ ผมขาวราวหิมะทั้งหัวปลิวไสวไปกับสายลม
——