เสียงหัวเราะเกรียวกราวเสียดหู อันที่จริงเป็นเพราะท่าทางของชายบัณฑิตคนนั้นแย่มากเกินไป
ก่อนหน้านี้เหน็บแนมและเยาะหยันหลินสวิน มีความสุขบนความทุกข์คนอื่น แต่เมื่อหลินสวินปรากฏตัว กลับขี้ขลาดตาขาวขึ้นมาทันที ช่างน่าอับอายจริงๆ
“หลินสวิน เจ้าคอยก่อนเถอะ! ข้าจะกระจายข่าวที่เจ้ามาเมืองจรดฟ้าออกไป!”
ชายบัณฑิตสายตาอาฆาต ทิ้งประโยคนี้ไว้อย่างร้ายกาจแล้วหมุนตัวหายไปในประตูเมือง
ทุกคนนอกประตูเมืองมองหน้ากันไปมา ไ
การกระทำนี้เท่ากับล่วงเกินหลินสวินอย่างสิ้นเชิง! เจ้าหมอนี่ไม่กลัวตายหรือ
หลินสวินกลับยิ้มน้อยๆ ไม่ได้สนใจ
สายตาของเขามองไปบนประตูเมือง ตรงนั้นประทับสัญลักษณ์ลึกลับที่หมอกเซียนแผ่อวล สุริยันม่วงค้ำฟ้า แผ่กลิ่นอายอมตะออกมาเป็นสายๆ
สัญลักษณ์นี้เป็นตัวแทนพลังของวิญญาณระเบียบที่นามว่า ‘เฮ่าเทียน’ ควบคุมดูแลเมืองจรดฟ้ามานานมากแล้ว รักษากฎในเมือง
ตอนนี้ ขณะที่สายตาหลินสวินมองไป ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ร่างของ ‘อู๋ซวง’ ที่หลับใหลอยู่ในระเบียบนิพพานสั่นอย่างยากจะสังเกตคราหนึ่ง เหมือนสัมผัสได้ถึงบางอย่าง
แทบจะในเวลาเดียวกัน บนประตูเมืองนั่น ในสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนเจตจำนงของ ‘เฮ่าเทียน’ ปรากฏคลื่นระเบียบน่ากลัวกะทันหัน
สุริยันสีม่วงเหมือนจะพุ่งออกจากหมอกเซียนคละคลุ้ง!
แต่เมื่อระเบียบนิพพานโคจร หญิงสาวชุดขาวอู๋ซวงก็จมสู่การหลับไหลอีกครั้ง ส่วนพลังระเบียบของเฮ่าเทียนก็สลายไปเช่นกัน
เหตุการณ์นี้ทำให้หลินสวินเลิกคิ้ว ในใจรับรู้ได้รางๆ ว่าเฮ่าเทียนนี่คงเหมือนอู๋ซวง ไม่ถึงกับมีสติปัญญา แต่กลับสามารถโคจรและใช้พลังระเบียบแห่งตน
หรือพูดอีกอย่างว่า ทั้งสองล้วนเป็นร่างแปลงของระเบียบฟ้าดิน ประหนึ่งร่างวิญญาณ
เพียงแต่หลินสวินดูไม่ออกว่าเฮ่าเทียนและอู๋ซวงใครแข็งแกร่งกว่ากัน
ถึงอย่างไรคนหนึ่งคือร่างวิญญาณที่ถือกำเนิดในระเบียบมรรคสวรรค์ของยุคก่อน
ส่วนอีกคน ว่ากันว่าเป็นวิญญาณระเบียบที่เผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหนึ่งของน่านฟ้าที่เก้าทิ้งเอาไว้
อานุภาพที่ทั้งสองมี ยากจะตัดสินจริงๆ
“พี่หลิน ครั้งนี้เจ้าก็จะไปโบราณสถานทวยเทพด้วยหรือ” มีคนอดเข้าไปทักทายไม่ได้ แม้ไม่รู้จัก กลับเต็มไปด้วยมารยาท เผยความเคารพ
หลินสวินพยักหน้า “หากโอกาสเหมาะย่อมไม่พลาด”
เห็นหลินสวินท่าทางสบายๆ หลายคนที่อยู่บริเวณนั้นก็กรูกันเข้ามา ผู้แข็งแกร่งย่อมน่าเคารพนับถือ ยิ่งไปกว่านั้น หลินสวินยังไม่ใช่คนที่ผู้แข็งแกร่งทั่วไปจะเทียบได้
“สหายยุทธ์หลิน เล่าศึกใหญ่ในด่านนภาอมตะที่สามสิบหกของเจ้าให้ฟังหน่อยได้หรือไม่ ผู้แข็งแกร่งตระกูลลั่วในจวนเจ้าเมืองนั่นถูกเจ้าฆ่าจริงหรือ”
มีคนถามพร้อมสายตาแฝงความประหลาดใจ
หลินสวินอึ้งไป แล้วยิ้มกล่าว “ไม่ว่าข้าจะเป็นคนทำหรือไม่ อย่างไรตระกูลลั่วก็เห็นข้าเป็นคนร้ายไปแล้ว”
เมื่อแปดปีที่แล้วเขาเดินทางไปถึงด่านนภาอมตะที่สามสิบหก แต่วันที่เข้าเมืองกลับถูกจวนเจ้าเมืองระดมกำลังประกาศจับและล้อมสังหาร
เหตุผลคือ ผู้ที่ปกครองจวนเจ้าเมืองคือลั่วอวิ๋นเฟิง ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งของตระกูลลั่ว
ขณะเดียวกันเขาก็เป็นอาห้าของลั่วหลิง!
การล้อมสังหารครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าวางแผนมานานแล้ว จัดวางกำลังอย่างรอบคอบ ยิ่งใช้พลังกระบวนค่ายกลผนึกที่ปกคลุมทั้งเมือง
ตอนนั้นหลินสวินตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายโดยไม่ทันตั้งตัว สุดท้าเพราะอาศัยเพลิงระเบียบดับสูญ ถึงเปิดทางออกมาได้
และจากวันนั้นเป็นต้นมา หลินสวินเปิดฉากตอบโต้อันโหดร้ายรุนแรง แค่เจ็ดวันก็ล้างจวนเจ้าเมืองด้วยเลือดไปรอบหนึ่ง
หลังจากนั้นหลินสวินถึงรู้ว่า ลั่วอวิ๋นเฟิงคนนี้ กับพวกจอมจักรพรรดิไร้นาม จักรพรรดิสวรรค์ดำรง ลั่วซิงเฟิงที่ตายในทางเดินโบราณฟ้าดารา ล้วนเป็นผู้อาวุโสตระกูลลั่วรุ่นเดียวกัน
“พี่หลิน เท่าที่ข้ารู้ ตลอดทางนี้เจ้าล่วงเกินผู้ยิ่งใหญ่เผ่าจักรพรรดิอมตะไปไม่รู้เท่าไหร่ ไม่กลัว… ถูกแก้แค้นหรือ” มีคนถาม
นี่ก็คือสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่เข้าใจ
เพราะเท่าที่พวกเขารู้ หลินสวินไม่ได้มีที่มายิ่งใหญ่อะไร ทั้งมาจากสถานที่ตกต่ำอย่างทางเดินโบราณฟ้าดารา เหตุใดเขาจึงกล้าอาละวาดเช่นนี้
“ใช่แล้ว มีคนรวบรวมข่าวได้ว่า เผ่าจักรพรรดิอมตะที่พี่หลินล่วงเกินระหว่างทางนี้ มีสิบหกคนมาจากน่านฟ้าที่หก มีสองคนมาจากน่านฟ้าที่เจ็ด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พี่หลินไม่เป็นห่วงว่าหลังจากเข้าสู่โลกยอดนิรันดร์ จะถูกมองเป็นเป้าหมายร่วม เป็นศัตรูกับคนทั้งโลกหรือ”
หลินสวินเอ่ยอย่างประหลาดใจ “มีมากขนาดนี้เชียว”
ระหว่างทางนี้เขาเข่นฆ่าต่อเนื่อง ผ่านการต่อสู้นองเลือดไม่รู้เท่าไหร่ ตัวเขาเองยังไม่ได้นับอย่างจริงจังขนาดนี้ ว่าที่แท้แล้วตนล่วงเกินเผ่าจักรพรรดิอมตะไปมากน้อยเท่าไหร่
สีหน้าของทุกคนบริเวณนั้นชะงักงัน เกือบจะกลอกตาใส่ คนอื่นหากล่วงเกินเผ่าจักรพรรดิอมตะมากมายขนาดนี้ คงกินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่งไม่ติดไปนานแล้ว
แต่เจ้าหมอนี่กลับผ่อนคลาย ไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำ!
นี่จะกล้าเกินไปหรือเปล่า…
“สหายยุทธ์หลิน ได้ยินว่าเรื่องที่เมืองยอดยุทธ์พินาศเหมือนจะเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือ เพราะเคยมีคนกล่าวว่าตอนที่มารเทพตี้สือหลุดออกมา ก็ประกาศกร้าวว่าหากใครสามารถให้เบาะแสของเจ้าได้ก็จะได้รับศุภโชค”
ไม่ทันไรมีคนถามถึงเรื่องที่เคยสร้างความฮือฮาในแดนใหญ่พันศึก
หลินสวินนวดหว่างคิ้ว เอ่ยว่า “ข้าเป็นเพียงแค่คนตัวเล็กๆ ที่ยังไม่ได้บรรลุบรรพจารย์ จะทำให้เมืองยอดยุทธ์พินาศได้อย่างไร เรื่องนี้เป็นฝีมือของมารเทพตี้สือ ไม่เกี่ยวกับข้า”
คนตัวเล็กๆ ที่ยังไม่บรรลุจักรพรรดิหรือ
ทุกคนเพียงรู้สึกเหมือนถูกไม้ตีหนักๆ เกือบถ่มน้ำลายออกมาอย่างอดไม่อยู่ แม้เจ้ายังไม่บรรลุบรรพจารย์ แต่บรรพจารย์ที่เจ้าฆ่า… น้อยหรือ!?
“สหายยุทธ์หลิน ตอนนี้ในเมืองมีคนไม่น้อยประกาศออกมา ว่าหากเจ้ากล้าเข้าไปในโบราณสถานทวยเทพจะทำให้เจ้าไม่สามารถออกมาได้อีก…”
“สหายยุทธ์หลิน เล่าเรื่องของเจ้าในด่านนภาอมตะที่สี่สิบห้าหน่อยได้หรือไม่ ได้ยินว่ามกุฎจักรพรรดิหญิงที่ประหนึ่งเทพธิดาคนหนึ่งถูกเจ้าฟันเป็นเศษเนื้อกองหนึ่งอย่างไร้ปรานีหรือ นี่… ออกจะ… เหี้ยมไปหน่อยกระมัง”
เสียงต่างๆ ดังขึ้น ตั้งคำถามกับหลินสวิน ทำให้บริเวณประตูเมืองดูคึกคักอย่างที่สุด
ช่วยไม่ได้
หลายปีมานี้หลายเรื่องที่หลินสวินทำฮือฮาเกินไป เต็มไปด้วยความสะท้านสะเทือนและปริศนา ตอนนี้เจ้าตัวปรากฏตัวขึ้น แน่นอนว่าย่อมกลายเป็นฝ่ายที่ถูกซักไซ้
หลินสวินปิดปากเงียบอย่างรู้ตน เดินไปยังประตูเมืองทันที
คำถามเหล่านี้แน่นอนว่าเขารู้คำตอบ แต่เรื่องเหล่านี้มีเหตุผลมากมาย ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้จริงๆ
เงาร่างของเขาเพิ่งเข้าประตูเมืองไพศาลที่สูงหลายพันจั้ง
เสียงที่แฝงความเย็นชาเฉยเมยก็ดังขึ้น “หลินสวิน วันตายของเจ้ากำลังจะมาถึงแล้ว!”
หลินสวินหันหน้าไป และเห็นเงาร่างหนึ่งยืนนิ่งอยู่ในเมือง นี่เป็นชายที่หล่อเหลายิ่ง ผมสีเขียว ในดวงตามีปรากฏภาพประหลาดที่หมื่นกระบี่พวยพุ่ง
หลินสวินอึ้งไปครู่หนึ่งกว่าจะนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
จักรพรรดิกระบี่ชิงซวิ่น!
ระหว่างที่ข้ามฟ้าดารามุ่งหน้ามายังแดนใหญ่พันศึก หลินสวินเคยฆ่าบรรพจารย์ขั้นเก้าคนหนึ่งที่มีฉายามรรคว่า ‘จินเยี่ยน’
และในบรรดาของที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ก่อนตาย หลินสวินเจอคันฉ่องทองแดงสีม่วงบานหนึ่ง ในคันฉ่องเคยสะท้อนเงาร่างของจักรพรรดิกระบี่ชิงซวิ่น
เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับปรากฏตัวในด่านนภาอมตะที่สี่สิบเก้า จากเรื่องนี้สามารถดูออกว่าพลังต่อสู้ของคนผู้นี้ไม่ธรรมดาแน่
“อยากแก้แค้นให้ศิษย์พี่ของเจ้าหรือ” หลินสวินถาม ในดวงตาของอีกฝ่ายไม่ปกปิดความชิงชังฝังกระดูกสักนิด ทำให้เขาอึดอัดมาก
“เจ้าคิดว่าข้าจะโง่ถึงขั้นลงมือที่เมืองนี้หรือ”
จักรพรรดิกระบี่ชิงซวิ่นสีหน้าไร้อารมณ์ ความชิงชังฝังลึกไหวเคลื่อนในดวงตา “แต่ข้าจะดูเจ้าตายไปด้วยตาตัวเอง นอกเสียจากเจ้าจะไม่ไปสมรภูมิทวยเทพนั่น!”
พูดจบเขาก็หมุนตัวจากไป
หลินสวินมองดูอีกฝ่ายจากไปพลางยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ใส่ใจ
การเดินทางในแดนใหญ่พันศึกหลายปีมานี้ คนไม่รู้เท่าไหร่อยากฆ่าเขาให้ตาย แต่สุดท้ายคนที่รอดมาก็คือเขาหลินสวิน
‘หาที่พักก่อน จากนั้นค่อยสืบข่าว…’
ขณะที่คิดหลินสวินก็เดินตรงเข้าไปในเมือง
สิ่งก่อสร้างของเมืองจรดฟ้าล้วนเก่าแก่หาที่เปรียบไม่ได้ บรรยากาศเคร่งขรึม ถนนตัดสลับ พื้นที่กว้างใหญ่
สิ่งที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจคือ เมืองนี้กลับคึกคักและรุ่งเรืองอย่างหาใดเปรียบด้ เต็มไปด้วยทิวทัศน์ที่ผู้คนแน่นขนัดทุกแห่งหน
จากการชี้แนะของนกกระจอกเขียว เขาถึงได้รู้ว่าในฐานะด่านสุดท้ายของแดนใหญ่พันศึก เมืองจรดฟ้าเป็นสถานที่สำคัญที่เชื่อมกับโลกยอดนิรันดร์
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุด มีขุมอำนาจมากมายที่มาจากโลกยอดนิรันดร์เข้าสู่เมืองนี้ เปิดร้านค้าต่างๆ นานา เพื่อซื้อพวกสมบัติที่มีเพียงในแดนใหญ่พันศึกเท่านั้นจึงจะสามารถหาได้
สมบัติอย่างพวกมุกยมโลก มุกบรรจุมรรค แม้แต่ในโลกยอดนิรันดร์ก็เป็นทรัพยากรฝึกปราณที่ต้องแย่งกันซื้อ
นอกจากนี้ก็มีเผ่าจักรพรรดิอมตะไม่น้อยเปิดสำนักในเมืองจรดฟ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้ตัวผู้แข็งแกร่งเข้าขุมอำนาจตน!
ควรรู้ว่าคนที่สามารถเข้าสู่แดนใหญ่พันศึกได้ ผ่านการต่อสู้นองเลือดนับไม่ถ้วนมาถึงด่านนภาอมตะที่สี่สิบเก้าได้ ล้วนเป็นบุคคลแข็งแกร่งที่ยากจะหาตัวในหมื่นคน
บุคคลเช่นนี้ หากอยู่ในโลกยอดนิรันดร์ต้องโดดเด่นอย่างแน่นอน หากสามารถให้มาอยู่ใต้บังคับบัญชาในขุมอำนาจตนได้ ย่อมเป็นการซื้อขายที่มีแต่ได้อย่างแน่นอน
ถึงขั้นที่ในเมืองจรดฟ้ายังมีงานแย่งชิงผู้มีความสามารถโดยเฉพาะ ชื่อว่า ‘ชุมนุมประตูมังกร’
ผู้แข็งแกร่งที่มาจากแดนใหญ่พันศึกบางส่วน เพียงแค่แสดงความยินยอมว่าต้องการเข้าร่วมในขุมอำนาจ ชื่อของเขาก็จะปรากฏในชุมนุมประตูมังกร
ถึงตอนนั้นจะมีผู้ยิ่งใหญ่เผ่าจักรพรรดิอมตะมากมายดำเนินการ ‘เสนอราคา’ ที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง ใครก็ตามที่เปิดเงื่อนไขที่สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งจากแดนใหญ่พันศึกพอใจได้ ก็จะได้ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นมาอยู่ใต้อาณัติ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในชุมนุมประตูมังกรถึงขั้นเคยเกิดเรื่องที่ยักษ์ใหญ่อมตะท้องฟ้าที่แปดลงมือ สรรหาผู้มีความสามารถด้วยตัวเอง ฮือฮาไปชั่วขณะ
ได้รู้เรื่องพวกนี้ หลินสวินเองก็อดสะเทือนใจไม่ได้
ชุมนุมประตูมังกรนี้ เป็นกระดานกระโดดน้ำให้กับบุคคลชั้นยอดที่มาจากแดนใหญ่พันศึกอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้หลังจากพวกเขามาถึงโลกยอดนิรันดร์ ก็สามารถกลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเผ่าจักรพรรดิอมตะหนึ่งทันที
เช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องไปเดินเตร่และสำรวจด้วยตัวเองอีก และไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเพราะมาเยือนเป็นครั้งแรก ไม่คุ้นที่และผู้คน จะโดนรังแก
ตรงกันข้าม ได้ ‘ผู้มีความสามารถ’ เหล่านี้มา กลับเพิ่มเลือดสดใหม่ให้กับเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้น สามารถทำให้รากฐานพลังและขุมอำนาจของพวกเขายิ่งแข็งแกร่ง
ทว่าหลินสวินเองก็รู้ดีว่า ชื่อของตน แม้ปรากฏอยู่บนชุมนุมประตูมังกร ก็คงมีไม่กี่อิทธิพลกล้าสรรหา
——