ชายชุดแพรที่มาจากตระกูลฝูก็อึ้งงันไปครู่หนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ประหลาดใจมาก

“หลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าเป็นคนแรกที่ปฏิเสธตระกูลฝู น่าสนใจ เช่นนั้นก็ขออวยพรให้เจ้าสามารถรอดชีวิตในสมรภูมิทวยเทพได้แล้วกัน”

ครู่หนึ่งชายชุดแพรถึงกล่าวเรียบๆ “แน่นอน หากเจ้าเปลี่ยนใจก็สามารถมาหาข้าได้ ก่อนที่สมรภูมิทวยเทพสิ้นสุดลง ข้าจะอยู่ในเมืองนี้ตลอด”

เสียงยังดังก้อง แต่ตัวเขาหายไปแล้ว

ทันใดนั้นเสียงถอนหายใจระลอกหนึ่งดังขึ้นในที่นี้

เหมือนกำลังรู้สึกว่าการเลือกของหลินสวินไม่คุ้มค่า

คนตระกูลหนานอย่างพวกเฒ่าชราผมเงินกลับเหมือนยกภูเขาออกจากอก สีหน้าปรากฏรอยยิ้มหยันที่ราวกับเวทนา

แม้แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจการกระทำของหลินสวิน

ทว่าการปฏิเสธของหลินสวิน กลับเป็นสิ่งที่พวกเขาอยากเห็น!

“เหอะๆ สมรภูมิทวยเทพ ถึงตอนนั้น… ดูซิว่าเจ้าจะสามารถรอดชีวิตกลับมาได้หรือไม่…”

เฒ่าชราผมเงินพูดเนิบๆ สีหน้าไม่ปกปิดไอสังหารสักนิด

หลินสวินยิ้มขึ้นมา “เฒ่าสวะ เจ้าว่าหากข้ายื่นข้อเสนอหนึ่งกับตระกูลฝู ขอเพียงแค่ฆ่าพวกเจ้าให้หมดข้าก็จะยอมเข้าร่วมตระกูลฝู เจ้าเดาว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร”

“เจ้า…”

เฒ่าชราผมเงินตัวสั่น ใบหน้าชราอึมครึมไม่สามารถสงบได้

“ล้อเจ้าเล่นน่า ดูเจ้าตกใจขนาดนี้ คนตระกูลหนานของพวกเจ้าจะขี้ขลาดเกินไปหรือเปล่า” หลินสวินหัวเราะฮ่าๆ

สายตาของทุกคนบริเวณนั้นกล้วนแปลกพิกล

“เจ้าสวะ เจ้าคอยดูเถอะ!”

เฒ่าชราผมเงินโกรธจนแทบกระอักเลือด เส้นเลือดเขียวตรงหน้าผากเต้นตุบๆ ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งเอาไว้อย่างอาฆาตแล้วหมุนตัวจากไป

“เสี่ยวหยวน เจ้าหมอนั่นไม่เลวเลย ให้ลุงใช้อุบายนิดๆ หน่อยๆ สานสัมพันธ์ให้เจ้าดีหรือไม่”

ไกลออกไปหลิ่วเซียงเชวียที่เห็นทุกเหตุการณ์นี้อดยิ้มตาหยีกล่าวออกมาไม่ได้

เซี่ยงเสี่ยวหยวนเบิกตาโพลงทันที เพิ่งหมายจะพูดอะไรหลินสวินก็เดินเข้ามาจากไกลๆ แล้ว ในใจนางพลันลนลานขึ้นมา กระตุกชายเสื้อของหลิ่วเซียงเชวียอย่างแรงคราหนึ่งพลางรีบสื่อจิตว่า ‘ท่านลุง ขืนท่านยังกล้าพูดซี้ซั้ว ยามข้าเจอท่านแม่คราวหน้าจะฟ้องนางแน่’

ว่าพลางนางก็ยิ้มเดินเข้าไปรับ กล่าวว่า “พี่หลิน พวกเราเจอกันอีกแล้ว”

“ข้าบอกไว้แล้วว่าในแดนใหญ่พันศึกแห่งนี้จะต้องมีโอกาสเจอกันอีก” เยวี่ยตู๋ชิวเองก็เข้ามารับเช่นกัน

หลินสวินยิ้มพูด “สหายเก่าพบหน้า ควรจะเป็นเช่นใด”

เยวี่ยตู๋ชิวพูดออกมาทันที “ไม่เมาไม่กลับ!”

“อย่าเพิ่งรีบ ข้าจะแนะนำให้เจ้า นี่คือท่านลุงหลิ่วเซียงเชวียของข้า พวกเราสองคนสามารถมาถึงเมืองจรดฟ้าก่อนได้ ต้องขอบคุณความช่วยเหลือของท่านลุงข้า”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนแนะนำให้หลินสวิน

“คารวะผู้อาวุโส” หลินสวินประสานหมัดกล่าว

หลิ่วเซียงเชวียยิ้มเบิกบานพร้อมเอ่ยว่า “ไม่ต้องเกรงใจ ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานานแล้ว มา วันนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยง ดื่มกันให้สะใจ!”

……

ก็ในวันนั้น

ข่าวที่หลินสวินเข้าเมืองจรดฟ้ากระจายไปทั่วถนนเล็กใหญ่ราวกับติดปีก ดึงดูดความสนใจมากมาย

“หรือคนผู้นี้ไม่รู้ว่าในเมืองมีขุมอำนาจใหญ่ไม่น้อยประกาศกร้าวแล้วว่า ขอเพียงแค่เขากล้าเข้าร่วมสมรภูมิทวยเทพก็จะฆ่าเขาให้ตาย”

หลายคนไม่เข้าใจ คิดว่าหลินสวินใจกล้าเกินไป

“ตลอดทางของเขาสร้างความวุ่นวายโกลาหลขึ้นไม่รู้เท่าไหร่ ใครเคยเห็นเขากลัวบ้าง จากที่ข้าดู เขาตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะเข้าร่วมสมรภูมิทวยเทพ!”

“เหอะๆ เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเขาสามารถรอดชีวิตกลับมาได้หรือไม่แล้ว”

…และตอนที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งก็สะพัดไปทั่วเมืองอีกครั้ง

“อันดับของหลินสวินบนกระดานเร้นลับของศิลาศึกข้ามแดนอยู่ในร้อยอันดับแรก ตระกูลฝูที่เป็นหนึ่งในสิบยักษ์ใหญ่อมตะมาเชื้อเชิญด้วยตัวเอง!”

“แต่หลินสวินกลับปฏิเสธ!”

ข่าวนี้สร้างความฮือฮาไปทั้งเมืองทันที นำพาความแตกตื่นไม่รู้เท่าไหร่ แม้กระทั่งขุมอำนาจใหญ่เผ่าจักรพรรดิอมตะที่อยู่ในเมืองยังตกตะลึง รู้สึกยากจะเชื่อ

“ชื่ออยู่ในร้อยอันดับแรกบนกระดานเร้นลับ! ไม่ได้ปรากฏบุคคลชั้นเลิศเช่นนี้มานานเท่าไหร่แล้ว ไม่คิดว่าปาฏิหาริย์เช่นนี้กลับเกิดขึ้นกับหลินสวิน…”

ผู้คนไม่รู้เท่าไหร่รู้สึกตะลึง

หนึ่งร้อยอันดับแรกของกระดานเร้นลับ!

ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีเพียงบุคคลชั้นเลิศที่แข็งแกร่งที่สุดบนเส้นทางมกุฎจักรพรรดิที่สามารถฝากชื่อบนนั้นได้

ต่อให้เป็นในโลกยอดนิรันดร์ บุคคลชั้นเลิศเช่นนี้ก็มีให้เห็นน้อยมาก เรียกได้ว่าหนึ่งในหมื่นยังหาไม่เจอ

ไม่เช่นนั้นตระกูลฝูซึ่งเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่อมตะจะเป็นฝ่ายมาเชื้อเชิญได้อย่างไร

เพราะมีเพียงผู้แข็งแกร่งหนึ่งร้อยอันดับแรกบนกระดานเร้นลับ จึงมีคุณสมบัติเข้าตาขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อมตะ!

“แต่… แต่เขากลับปฏิเสธ!”

“บ้าไปแล้ว เจ้าหมอนี่บ้าไปแล้วแน่ๆ ตระกูลฝูออกปากด้วยตัวเองว่าจะช่วยเขาลบล้างบุญคุณความแค้นให้ แต่เขากลับยังปฏิเสธ ไม่ใช่บ้าแล้วเป็นอะไร”

“เฮ้อ หากข้าเป็นหลินสวิน เกรงว่าคงพยักหน้าตอบรับไปนานแล้ว คนผู้นี้… น่าโมโหจริงๆ…”

ในเมืองฮือฮา วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ทั่วทุกแห่งหน ยามพูดถึงอันดับของหลินสวินล้วนสะท้านอย่างไม่มีข้อยกเว้น เผยสีหน้ายากจะเชื่อ

และเช่นเดียวกัน ใครก็คิดไม่ถึงว่าวันแรกที่หลินสวินเข้าสู่เมืองจรดฟ้า จะสร้างแรงสะเทือนได้ขนาดนี้!

……

หอชำระหยก

หนึ่งในหอสุราขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองจรดฟ้า

ในโถงแห่งหนึ่ง

สาวใช้งดงามดุจผีเสื้อตอมดอกไม้นำสำรับเลิศรสจานแล้วจานเล่าเข้ามา และมีสาวใช้อีกคนยืนอยู่ข้างๆ คอยรินชาเติมสุรา

หลิ่วเซียงเชวียนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก ยกจอกไม่หยุด ดื่มกับหลินสวิน เซี่ยงเสี่ยวหยวน และเยวี่ยตู๋ชิวอย่างรื่นเริง พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศสนิทสนมกลมเกลียว

ชนจอกกันสามรอบ กับแก้มครบห้าอย่าง

สุดท้ายหลิ่วเซียงเชวียก็ทนความอยากรู้ไม่ไหว ถามว่า “สหายน้อย ขอถามสักคำ ตอนนั้นเหตุใดเจ้าต้องปฏิเสธตระกูลฝู แน่นอนว่าหากเจ้าไม่สะดวกพูดก็ไม่เป็นไร”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนและเยวี่ยตู๋ชิวเองก็มองไปยังหลินสวินเช่นกัน

หลินสวินยิ้ม ดื่มเหล้าในจอกจนหมดถึงเอ่ยว่า “ความจริงก็ไม่มีอะไรให้ปิดบัง ข้ามีอาจารย์มีสำนักตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว ย่อมอาจเข้าร่วมขุมอำนาจอื่นอีก”

สำนัก อาจารย์!

หลิ่วเซียงเชวียคล้ายขบคิด

เซี่ยงเสี่ยวหยวนและเยวี่ยตู๋ชิวกลับมีปฏิกิริยาทันควัน นึกถึงเหตุการณ์ยามอยู่ที่โบราณสถานมหามรรคของเมืองยอดยุทธ์

และนึกถึงศิษย์พี่ที่น่ากลัวเหนือจินตนาการของหลินสวิน ตัวตนแข็งแกร่งที่พุ่งเข้าไปถึงส่วนลึกของโบราณสถานมหามรรค ต่อสู้กับมารเทพตี้สือ!

ตอนนี้พวกเขาต่างได้ยินข่าวมาแล้ว ว่า ลังจากมารเทพตี้สือหลุดออกมา ภายใต้การถูกล้อมโจมตีด้วยระดับอมตะสิบกว่าคน ก็ยังถูกเขาสังหารไปหลายคน

การต่อสู้ครั้งนั้นยิ่งทำลายล้างทั้งเมืองยอดยุทธ์ ทำให้ด่านนภาอมตะที่เก้าล่มสลาย!

แค่คิดก็รู้ว่ามารเทพตี้สือแข็งแกร่งเพียงใด และเมื่อเทียบกันเช่นนี้ ก็สามารถดูออกว่าศิษย์พี่คนนั้นของหลินสวินเป็นพวกร้ายกาจที่แข็งแกร่งเพียงใด

“มิน่าพี่หลินถึงปฏิเสธ…” เยวี่ยตู๋ชิวเหมือนเข้าใจแล้ว แม้แต่ศิษย์พี่ยังเย้ยฟ้าเช่นนี้ รากฐานพลังของสำนักที่หลินสวินอยู่จะแข็งแกร่งเพียงใด

“ที่แท้ในใจสหายน้อย ฐานะของสำนักอาจารย์เห็นชัดว่าสำคัญกว่าตระกูลฝู ไม่เลว แค่จุดนี้ข้าก็ต้องขอชนเจ้าสักจอกแล้ว”

หลิ่วเซียงเชวียชูจอกพร้อมรอยยิ้ม ดื่มกับหลินสวิน

ในใจเขารู้ดีที่สุดว่าหลินสวินในตอนนี้ปัญหารุมเร้า ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้กลับยังคงตัดสินใจปฏิเสธตระกูลฝู เพียงแค่ความองอาจระดับนี้ ทอดสายตามองไปทั่วหล้า จะมีสักกี่คนที่สามารถทำได้

ในฐานะคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน หลายปีมานี้หลิ่วเซียงเชวียพบเจอผู้แข็งแกร่งที่มาจากโลกพันจักรวาลมามากมาย เพื่อให้เข้าร่วมเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลหนึ่งได้ ล้วนไม่เกี่ยงว่าต้องทิ้งตระกูลและสำนักที่อยู่เบื้องหลัง!

และนี่ก็ยิ่งทำให้การกระทำนี้ของหลินสวินหายาก

“พี่หลิน เช่นนั้นอันดับบนกระดานเร้นลับของเจ้าขึ้นสู่ร้อยอันดับแรกแล้วจริงหรือ” เยวี่ยตู๋ชิวถาม

เซี่ยงเสี่ยวหยวนกล่าวหยอกล้อ “เจ้าหมอนี่ เกรงว่าคงอยากถามอันดับที่แท้จริงของพี่หลินกระมัง”

หลินสวินเองก็ยิ้ม เรื่องนี้เขาปกปิดคนอื่นได้ แต่จะไม่ปิดบังสหายทั้งสองอย่างเซี่ยงเสี่ยวหยวนและเยวี่ยตู๋ชิว

เพียงแต่ตอนที่เขาเพิ่งจะอ้าปาก กลับถูกหลิ่วเซียงเชวียตัดบท

“สหายน้อย เรื่องของอันดับอย่าได้เปิดเผย รู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว ไม่เช่นนั้นจะถูกผู้คนมากมายคาดเดาพลังต่อสู้ของเจ้าผ่านอันดับ เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดอย่างยิ่ง”

คำพูดนี้ทำให้พวกเซี่ยงเสี่ยวหยวนตระหนักได้ว่าถามคำถามที่ไม่ควรถามออกไป ต่างอดพยักหน้ารัวไม่ได้

“ขอบคุณผู้อาวุโสมากที่ชี้แนะ” หลินสวินยกจอกเหล้าขึ้นคารวะหลิ่วเซียงเชวีย

หลิ่วเซียงเชวียดื่มหมดในรวดเดียวอย่างสะใจ

“พี่หลิน นี่คือข่าวที่พวกเราสองคนรวบรวมมาได้ในหลายวันนี้ บนนั้นบันทึกชื่อของขุมอำนาจที่หมายจะเล่นงานเจ้า”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนหยิบม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมายื่นให้หลินสวิน “น่าเสียดาย ข้าเองก็ไม่รู้ชัดว่าขุมอำนาจบางส่วนที่เห็นชัดๆ ว่าไม่มีความแค้นต่อเจ้า เหตุใดต้องประกาศกร้าวว่าจะจัดการเจ้าด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องระวัง”

นียน์ตาดำของหลินสวินหดรัดเล็กน้อย รับม้วนหยกมาพร้อมเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

“ก็เหมือนกับตระกูลหนาน ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาจะต้องพุ่งเป้ามาที่เจ้า แปลกเกินไปแล้วจริงๆ” เยวี่ยตู๋ชิวเอ่ย เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจอย่างยิ่ง

“สหายน้อยหลินสวินมาถึงเมืองจรดฟ้าวันแรก พูดเรื่องหมดสนุกพวกนี้ทำไม มาๆ ดื่มเหล้าต่อ”

เห็นว่าบรรยากาศอึมครึมเล็กน้อย หลิ่วเซียงเชวียจึงยิ้มกล่าว

“ใช่แล้ว ที่นี่คือเมืองจรดฟ้า ไม่ว่าใครคิดเล่นงานพี่หลินก็ไม่กล้าลงมือในเมืองนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีท่านลุงข้าอยู่ด้วยนะ”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนยิ้มพูด

หลิ่วเซียงเชวียหลุดขำออกมา กล่าวว่า “แต่ข้าสามารถช่วยสหายน้อยหลินสวินสืบดูได้สักหน่อย ว่าเหตุใดขุมอำนาจใหญ่เหล่านั้นจึงคิดเล่นงานเจ้า”

“เช่นนั้นรบกวนผู้อาวุโสด้วย”

หลินสวินยิ้มกล่าว

งานเลี้ยงครั้งนี้จนดึกดื่นถึงจบลง

หลินสวินหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งแล้วจองห้องพัก แต่ไม่ได้พักผ่อน กลับหยิบม้วนหยกที่เซี่ยงเสี่ยวหยวนให้เขาออกมา

ในม้วนหยกบันทึกชื่อขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะเล็กใหญ่สิบกว่าตระกูล

ส่วนใหญ่ล้วนคุ้นเคยมาก อย่างตระกูลเหวิน ตระกูลเหิง ตระกูลลั่ว ตระกูลจู้เป็นต้น ถูกพวกเขามองเป็นศัตรู หลินสวินก็ไม่ได้แปลกใจ

ในสิบแปดปีตั้งแต่ออกจากเมืองยอดยุทธ์จนถึงตอนนี้ ตลอดทางเขาต่อสู้มานับไม่ถ้วน ย่อมเลี่ยงการผูกแค้นไม่ได้ พิบัติเคราะห์เหล่านี้ถูกกำหนดให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แล้ว

กับเรื่องนี้เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ

ทว่าสิ่งที่หลินสวินคิดไม่ถึงคือ ในรายชื่อฉบับนั้นกลับมีขุมอำนาจบางส่วนที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยผูกพยาบาท ถึงขั้นไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันด้วยซ้ำ

ขุมอำนาจเหล่านี้ล้วนมาจากน่านฟ้าที่เจ็ด แบ่งเป็นเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลหนาน ตระกูลกู้ ตระกูลลี่ ตระกูลอวิ๋น!

รวมทั้งหมดสี่ตระกูล

เซี่ยงเสี่ยวหยวนยังบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าจักรพรรดิอมตะสี่ตระกูลนี้ไว้ในม้วนหยกอย่างละเอียดเป็นพิเศษ

ในน่านฟ้าที่เจ็ด ขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะทั้งสี่นี้ก็เรียกได้ว่าอยู่ปลายยอด ลือกันว่าเบื้องหลังพวกเขามีขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อมตะตระกูลหนึ่งอยู่…

ตระกูลตงหวง!

ดังนั้นพวกเขาจึงถูกเรียกว่า ‘สี่ตระกูลตงหวง’!

——