หลินสวินใคร่ครวญพลางก้าวเท้าเดินออกนอกเมือง
เขากับเซี่ยงเสี่ยวหยวนและเยวี่ยตู๋ชิวได้ตกลงกันแล้ว ว่าครั้งนี้จะแยกกันเคลื่อนไหว
เหตุผลง่ายมาก เขาไม่อยากให้เคราะห์สังหารของตนทำให้ทั้งสองต้องเดือดร้อน
ฟุ่บ!
นอกเมือง เงาร่างของหลินสวินพริบไหวคราหนึ่งก็มาอยู่บนฟ้าดาราแล้ว มุ่งหน้าไปยังโบราณสถานทวยเทพที่ราวกับปีกผีเสื้อนั่น
ในฟ้าดาราตอนนี้สามารถเห็นเงาร่างผู้ฝึกปราณได้ทุกแห่งหน มหาจักรพรรดิ มกุฎมหาจักรพรรดิ บรรพจารย์มรรค… เห็นบ่อยจนชินตา
และด้านหน้าสุดยิ่งมีกลิ่นอายอมตะที่น่ากลัวไร้ขอบเขตสิบกว่าสายปรากฏอยู่ นั่นต้องเป็นระดับอมตะที่เพิ่งเข้ามาเมืองจรดฟ้าในช่วงนี้อย่างแน่นอน!
ดวงตาดำของหลินสวินหดรัดลงเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่อยู่ เขาในตอนนี้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปแล้ว ย่อมไม่มีใครจำได้
แต่ก็ไม่กล้าประมาท หากถูกมองฐานะออก บรรดาคู่ต่อสู้ที่เห็นเขาเป็นศัตรูคงจะฉวยโอกาสนี้ลงมืออย่างไม่ลังเล
ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่เมืองจรดฟ้า
ฟ้าดาราสว่างไสวทั้งผืน งดงามสะดุดตา รุ้งเทพแต่ละสายพุ่งไปยังโบราณสถานทวยเทพปิดคลุมจักรวาลแถบนี้ รุ่งโรจน์เรืองรอง
“เร็ว ไปตามรอยแตกนี้ก็สามารถเข้าสู่โบราณสถานทวยเทพได้ทันที!”
เสียงตะโกนดังมาจากข้างหน้า
ก็เห็นเงาร่างมากมายเคลื่อนย้ายไปตามรอยแตกที่แผ่ออกมาจากโบราณสถานทวยเทพด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ
ระหว่างทางไม่ได้เจออันตรายใดๆ ไม่นานก็หายไปในโบราณสถานทวยเทพ
“สมควรตาย! โบราณสถานทวยเทพขัดขวางพวกเราไม่ให้เข้าไป!”
พลันนั้นเสียงเดือดดาลสายหนึ่งดังกึกก้องจักรวาล ตรงหน้าสุด ระดับอมตะที่ผมหนวดขาวดั่งหิมะ เงาร่างสูงใหญ่สีหน้าอึมครึม
“ข้าลองดู”
ขณะเดียวกันชายชุดเขียวคนหนึ่งก็เอ่ยปาก
ฟุ่บ!
เขาสะบัดแขนเสื้อ สมบัติชิ้นหนึ่งปรากฏกลางอากาศ เป็นประทับทองแดงที่แสงไหลเคลื่อนเรืองรอง เคลือบด้วยทองเซียนสว่างไสวบางๆ ชั้นหนึ่ง งดงามสะดุดตา แผ่กลิ่นอายอมตะ
ทันทีที่ประทับทองแดงปรากฏ ท้องฟ้าพลันทรุดตัว อานุภาพแข็งแกร่งจนทำให้บรรพจารย์มรรคยังหวาดหวั่น แต่ละคนขนลุก เพราะมันสามารถบดขยี้พวกเขาได้
ชายชุดเขียวเป็นระดับอมตะคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ทันทีที่ลงมือก็หมายโจมตีรอยแตกนั่นออก บุกเข้าโบราณสถานทวยเทพ
เคร้ง!
ทว่าเรื่องที่พาให้คนตกใจเกิดขึ้นแล้ว รุ้งเทพลึกลับสายหนึ่งพุ่งออกมา อบอวลมาจากรอยแตกนั่น และซัดประทับทองแดงสะเทือนในคราเดียว
ควรรู้ว่าแม้แต่ท้องฟ้ายังถล่มลงภายใต้ประทับทองแดงนี้ แต่ตอนนี้สมบัตินี้กลับถูกซัดปลิวออกไปอย่างง่ายดาย!
ที่น่ากลัวคือหลังจากนั้น รอยแตกนั่นส่องแสง กฎเกณฑ์น่ากลัวกวาดประกายแสงที่งดงามแถบนั้นออกมา โจมตีใส่ประทับทองแดงนั่นอีกครั้ง
ปัง!
เสียงก้องกระหึ่มสะเทือนฟ้าดินดังขึ้น ประทับทองแดงที่แผ่กลิ่นอายอมตะนั่นได้รับความเสียหาย!
สมบัตินี้เห็นชัดว่าไม่ธรรมดา จากกลิ่นอายอมตะที่ประทับอยู่เรียกได้ว่าเป็นศาสตรามรรคอมตะ ในโลกยอดนิรันดร์ สมบัติระดับนี้ก็เรียกได้ว่าน่ากลัวและหายากอย่างที่สุด
แต่ตอนนี้ประทับทองแดงของชายชุดเขียวคนนี้กลับถูกทำลายแล้ว ทำเอาผู้คนเห็นแล้วต่างปวดใจ เสียดายอย่างแท้จริง
แต่ก็เพราะเช่นนี้ ทุกคนถึงตระหนักว่าไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้าโบราณสถานทวยเทพได้!
ตูม!
มีระดับอมตะอีกคนลงมือ แต่ไม่กล้าเรียกสมบัติออกมาเพราะกังวลว่าจะถูกทำลาย เพียงปลดปล่อยอภินิหารหนึ่งออกมา
รอยแตกนั่นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แสงประกายอันตรายแถบหนึ่งผุดขึ้นสลายพลังอภินิหารของเขา ทั้งยังมีพลังสะท้อนกลับที่แข็งแกร่งยิ่งสายหนึ่งปลดปล่อยออกมา ม้วนซัดไปยังระดับอมตะนั่น
เขาหลบเลี่ยง แต่ฟ้าดาราที่อยู่ด้านหลังกลับถล่มทลายในพริบตา สรรพสิ่งกลายเป็นฝุ่นผง เห็นดังนี้ระดับอมตะทุกคนต่างหวาดหวั่น หน้าเปลี่ยนสีอย่างยิ่ง
“ทุกท่าน พวกเราร่วมมือกันโจมตี!” มีระดับอมตะตะโกน
ตัวตนระดับพวกเขา ในหมู่ผู้ฝึกปราณที่มาเมืองจรดฟ้าในช่วงที่ผ่านมานี้ เรียกได้ว่าเป็นพวกที่ศักยภาพแข็งแกร่งที่สุดกลุ่มหนึ่ง
เผชิญหน้ากับมหาศุภโชคอย่างโบราณสถานทวยเทพ พวกเขาจะจำยอมหยุดเท้าเพียงเท่านี้ได้อย่างไร
“ดี สหายยุทธ์ทุกท่านลงมือพร้อมกันเถอะ!”
มีคนตอบรับ
ครู่ต่อมาระดับอมตะกลุ่มหนึ่งกระตุ้นมรรควิถีแห่งตน สำแดงพลังอภินิหารอันร้ายกาจ รวมพลังเข้าโจมตีรอยแตกใหญ่สายหนึ่งกลางอากาศ!
แต่สุดท้ายล้วนถูกพลังของโบราณสถานทวยเทพสลายไป ทั้งยังปลดปล่อยแสงมรรครุ้งเทพที่น่ากลัวออกมา กดข่มจนระดับอมตะเหล่านี้ถอยหนีไม่หยุด!
คราวนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่า ระดับอมตะถูกโบราณสถานทวยเทพปฏิเสธ ไม่สามารถรองรับพวกเขาเข้าไปได้
ระดับจักรพรรดิหลายคนลอบถอนหายใจโดยไม่ได้นัดหมาย หากให้พวกเขาเข้าไปช่วงชิงวาสนากับระดับอมตะ นั่นไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย
ตอนนี้ดียิ่ง ระดับอมตะไม่สามารถเข้าไปได้ เช่นนั้นศุภโชคในสมรภูมิทวยเทพก็ถูกกำหนดให้ไม่มีวาสนากับพวกเขา!
“รีบไป”
“เสียเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว หากเส้นทางนี้หายไปจะไม่สามารถเข้าไปได้อีก”
“ไป!”
…ผู้ฝึกปราณมากมายเปิดฉากเคลื่อนไหว เคลื่อนย้ายผ่านฟ้าดารา ไม่นานก็หายไปในโบราณสถานทวยเทพ
“หลินสวินคนนั้นเล่า เหตุใดจึงไม่เห็นเขา แน่จริงก็ไสหัวออกมา!”
พลันนั้นขณะที่หลินสวินตั้งใจจะเคลื่อนไหว เสียงเกียจคร้านหนึ่งดังก้องในจักรวาล ประหนึ่งฟ้าร้องอย่างไรอย่างนั้น
ไกลๆ ชายชุดเทาคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นอย่างนักเลง สายตากลับกวาดมองรอบๆ ราวกับคมดาบ ดูอวดดีหาใดเปรียบ
เป็นหนานเทียนเจิงแห่งตระกูลหนานนั่นเอง!
“โวยวายอยู่ที่นี่ทำไม หากทำให้เจ้าหมอนั่นตกใจหนีไป หลบเข้าไปในเมืองจรดฟ้าไม่ยอมออกมา ก็จะไม่มีโอกาสสังหารเขาอีกแล้วไม่ใช่หรือ”
เฒ่าชราผมเงินหนานหย่งเชียงขมวดคิ้ว ต่อว่าหนานเทียนเจิงประโยคหนึ่ง “รีบเคลื่อนไหว อย่าพลาดวาสนาครั้งนี้ ขอเพียงหลินสวินกล้าปรากฏตัวค่อยล่าสังหารเขาก็ยังไม่สาย”
“ข้ากังวลว่าเขาจะหนีไม่ยอมเข้ามาอย่างไรเล่า ใครจะรู้ว่าเขาจะกล้าปรากฏตัวในโบราณสถานทวยเทพหรือไม่” หนานเทียนเจิงเอ่ยงึมงำ
แม้จะพูดเช่นนี้เขาก็ยังเคลื่อนไหวทันที ไม่นานก็หายไปแล้ว
ห่างออกไปดวงตาดำของหลินสวินเรียบเฉย จำหนานเทียนเจิงคนนี้ไว้แล้ว
ขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นว่าพวกคนตระกูลหนานอย่างหนานหย่งเชียง หนานเทียนเจิง ไม่ได้เคลื่อนไหวเพียงลำพัง แต่เคลื่อนไหวพร้อมกับผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิอมตะอีกสามตระกูล อย่างตระกูลกู้ ตระกูลลี่ และตระกูลอวิ๋น กำลังพลยิ่งใหญ่อย่างที่สุด
เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีเงาร่างของอวิ๋นมู่เจอ
หลินสวินส่ายหน้า เริ่มเคลื่อนไหวโดยไม่เสียเวลา
แต่ตอนที่เขาเข้าใกล้รอยแตกที่แผ่ออกมาจากโบราณสถานทวยเทพ กลับถูกต่อต้านและปฏิเสธ
หลินสวินขมวดคิ้ว ไม่ได้ฝืนปะทะ
ก่อนเคลื่อนไหว เขาให้นกกระจอกเขียวอยู่ที่โรงเตี๊ยม แต่ในเจดีย์ไร้สิ้นสุดยังมีศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อและอาจารย์อาคงเจวี๋ย…
เหตุการณ์นี้ทำให้หลินสวินอดสงสัยไม่ได้ จะเป็นเพราะศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อหรืออาจารย์อาคงเจวี๋ยหรือไม่
วู้ม…
แต่ไม่รอหลินสวินตอบสนอง พลังที่คลุมเครือสายหนึ่งกระจายออกมาจากร่างเขา เข้าสลายการปฏิเสธของรอยแตกนั่น
หลินสวินนัยน์ตาหดรัดโดยพลัน นี่คือพลังของตำราหยกศุภโชค!
‘ในตำราหยกศุภโชคสั่งสมพลังระเบียบมรรคเซียนของยุคก่อน และโบราณสถานทวยเทพนี้ก็คงอยู่มาตั้งแต่ยุคก่อน หรือระหว่างสองสิ่งนี้จะมีความเกี่ยวโยงบางอย่าง’
หลินสวินคล้ายขบคิด เขาไม่ชักช้า ก้าวขึ้นไปยังรอยแตกโดยตรง ชั่วพริบตาก็เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศไปแล้ว
โบราณสถานทวยเทพที่ประหนึ่งปีกผีเสื้อ ความจริงคือธารดาราที่ไพศาลพร่างพราวแถบหนึ่ง มีกระแสกาลเวลาพลุ่งพล่านอยู่ภายใน
ยามเคลื่อนย้ายไป ทั้งร่างดูเล็กจ้อยเป็นพิเศษ เหมือนเม็ดทรายที่จมอยู่ในกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ ถูกม้วนเข้าไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้
หลินสวินรู้สึกเพียงว่าภาพตรงหน้ามืดลง และพลันเสียการรับรู้ไป ราวกับจมสู่ความมืดมนแรกกำเนิด
ผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่…
หลินสวินเพียงรู้สึกว่าร่างกายดิ่งลง พลังผนึกที่ไม่อาจต้านทานได้กดใส่ร่าง ทำให้มรรควิถีทั้งหมดของเขาถูกกดข่มรุนแรง ไม่สามารถโคจรได้
เขาพลันลืมตาขึ้น ในครรลองสายตาเป็นหมอกเซียนขาวโพลนเวิ้งว้าง ยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้ว ใต้เท้าเป็นแผ่นหินเขียวที่เปียกชื้นแข็งกระด้าง
แผ่นหินเขียวกระดำกระด่าง กลิ่นอายกาลเวลาน่าตกใจ
บริเวณใกล้เคียงเงียบสงัด มองไม่เห็นฟ้าดิน รอบๆ ขาวโพลนทั้งแถบ
‘ที่แท้ก็เป็นพลังระเบียบฟ้าดินของที่นี่…’
หลินสวินสังเกตเห็นทันทีว่าพลังที่กดข่มอยู่บนร่างผนึกมรรควิถีทั้งหมดของเขาไว้ มาจากฟ้าดินที่ลึกลับแห่งนี้ แต่ไม่ได้มีอันตรายใด
เพียงแต่กลับไม่สามารถใช้พลังปราณได้
แม้แต่จิตรับรู้ยังไม่สามารถแผ่ขยายออกไปได้
นี่ทำให้หลินสวินขมวดคิ้ว ไม่สามารถใช้พลังปราณได้ หากพบเจออันตรายอะไร… นั่นก็จบเห่อย่างสิ้นเชิงแล้ว
หลังสัมผัสเงียบๆ ครู่ใหญ่หลินสวินถึงก้าวเท้าไปข้างหน้า
แผ่นหินเขียวใต้ฝ่าเท้าขนาดสองฉื่อกว่า เหมือนเส้นทางสายหนึ่งที่เชื่อมไปยังส่วนลึกของหมอกเซียนสีขาวนั่น
โชคดีที่ระหว่างทางไม่ได้เกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไร และไม่มีเรื่องเหนือคาดหมายใดๆ นอกจากเส้นทางหินเขียวที่เหมือนไร้สิ้นสุดใต้ฝ่าเท้า ก็เหลือเพียงแค่หมอกอบอวลที่มีอยู่ทุกแห่งหน
‘นี่คือโบราณสถานทวยเทพจริงหรือ’
หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็มๆ หลินสวินค่อยๆ ขมวดคิ้ว เดินมาถึงตรงนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่เห็นอะไรสักนิด ทุกอย่างล้วนเงียบสงัด เหมือนฟ้าดินนี้เหลือเพียงแค่เขาคนเดียว
“นี่มันที่บ้าอะไรกันแน่”
จนกระทั่งหนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ทันใดนั้นในส่วนลึกของหมอกขาวไกลๆ เสียงก่นด่าที่เผยความเดือดดาลเสียงหนึ่งดังขึ้น
แต่ไม่นานก็เงียบหายไป
หลินสวินลอบกล่าวในใจ ‘คงไม่ใช่ว่าทุกคนที่เข้าสู่โบราณสถานทวยเทพล้วนกำลังเดินหน้าบนเส้นทางหินเขียวนี้เหมือนตนหรอกนะ’
หากเป็นเช่นนี้ ก็ถือว่าปลอดภัย
อย่างน้อยพลังปราณของทุกคนก็อยู่ในสภาพถูกกำราบ ต่อให้เจอศัตรูก็ไม่ต้องกลัวอะไร
ไม่นานก็มีเสียงดังขึ้นอีกระลอกหนึ่ง
“น่าแปลก ในโบราณสถานทวยเทพเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เหตุใดนอกจากเส้นทางหินเขียวใต้เท้าก็ไม่มีอย่างอื่นอีก”
“พลังผนึกบนร่างกายยังไม่สลาย ทำให้คนไม่สบายใจจริงๆ…”
“รีบไปเถอะ บางทีรอออกจากที่บ้าๆ นี่ได้ ทุกอย่างอาจกลับคืนสู่ปกติ”
……
ได้ยินเสียงเหล่านี้ในใจหลินสวินยิ่งสงบ ในเมื่อสถานการณ์ของทุกคนเหมือนกัน แน่นอนว่าไม่ต้องกังวลอันตรายอะไร
“สวรรค์! นี่… นี่คืออะไร”
“เป็นตำหนักเซียนใจกลางที่สูงส่งของยุคก่อนในตำนานหรือ”
“เร็วเข้า!”
ในหมอกไกลๆ เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นระลอกหนึ่ง เหมือนพบทิวทัศน์ที่สุดยอดบางอย่าง
หลินสวินเองก็อดเร่งฝีเท้าไม่ได้
ไม่นานภาพตรงหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนไป หมอกขาวโพลนเบาบางลง สามารถมองเห็นภาพจากไกลๆ ได้อย่างชัดเจน
สิ่งที่สะท้อนเข้าตาเป็นอันดับแรก ก็คือตำหนักเซียนที่ตั้งอยู่บนชั้นเมฆ เหมือนสร้างจากทองเซียน ปลดปล่อยแสงเซียนที่เรืองรองไร้สิ้นสุด!
………………………