บทที่ 2190
ซูจือหยูพูดโดยไม่เงยศีษะว่า “ไม่คืมหน้าอะไร จนป่านนี้ยังหาเขาจากกล้องบันทึกภาพไม่เจอเลย
ตู่ให่ชิงกล่าวอย่างจริงจั่งว่า “เรื่องบางเรื่อง ต้องอาศัยวาสนา วาสนาไม่ถึง ต่อให้ลูกหาอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ วาสนาถึง ลูกไม่ไปหาเขา
เขาก็จะปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าลูกเอง”
ซูจือหยูพูดโดยไม่ต้องหยุดคิด “หนูจะไม่ยอมเอาสิทธิ์ในการทำเรื่องใด ของตนเองมามอบให้กับวาสนา มันดูไม่น่าเชื่อถือ คนบนโลก
มากมายขนาดนี้ นอกจากเพื่อนบ้นที่อยู่หนัาประตูบำนตัวเองแล้ว คนสองคนที่เคยพบกันที่ต่างประเทศ ความเป็นไปได้ที่จะพบหน้ากันอีกโดย
อาศัยวาสนาและความบังเอิญนั้นแทบจะเป็นศูนย์ ถ้าไม่เริ่มลงมือหาเขาด้วยตัวเอง เกรงว่าชาตินี้ก็คงหาไม่เจอ”
พูดเสร็จ ซูจือหยูก็พูดด้วยใจคอแห้งเหี่ยวอยู่บ้าง “ความสามารถในการจดจำของคนก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น ไม่มีใครที่สามารถเพียงมองผ่าน
แล้วจะจดจำได้ไม่ม ของส่วนใหญ่ล้วนต้องอาศัยความจำที่ซ้ำไปซ้ำมาลึกขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะสามารถจดจำได้อย่างชัดเจน ก็เหมือนกับเนื้อหาท้าย
บทเรียนในตอนเด็ก….”
“เพียงไม่กี่วันที่เพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น หน้าตาของผู้มีพระคุณยังจำได้ซัดเจนอยู่ในสมอง แต่พอห่างไปหลายวันขนาดนี้ หน้าตาเขาก็ค่อยๆ
เลือนรางลง แม้หนูจะคิดผ่านภาพจำในส่วนสึกเพื่อทบทวนความทรงจำอยู่เรื่อยๆ แต่ในความเป็นจริงยังคงทำไมได้ หนูกลัวว่าหากผ่านไปอีกสัก
ระยะ หนูคงลืมไปแล้วว่าเขาหน้าตายังไง..”
พอพูดถึงตรงนี้ ซูอหยุก็เงยศีรษะขึ้นมา มองตู้ห่ชิงกับซูอเฟย แล้วถามว่า “เม่…พื่…พวกคุณสองคนเคยมิความรู้สึกแบบนี้ไหม บาง
ครั้งยิ่งอยากจำหน้าตาคนคนหนึ่งไว้ กลับยิ่งลืมได้ง่าย?”
ซูจือเฟยนิ่งคิด แล้วกล่าวว่า “แยกเป็นคนเถอะ หากคนที่เคยพบบ่อยๆ อย่างไรก็ลืมไม่ลง แต่คนที่เคยพบกันเพียงครั้งเดียว หากไม่นาน
มากนัก ในสมองก็จะนึกรูปพรรณสัณฐานไม่ออก เหลือเพียงภาพที่เลื่อนราง”
ตู่ไห่ซิงเองก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เมื่อกี้จือหยุพูดถูก ความทรงจำของคนต้องคอยเสริมให้ลึกซึ้งอยู่เรื่อยๆ ถึงจะสามารถจดจำไว้ในใจ
ได้”
ตอนที่พูดคำนี้ คนที่ในสมองเธอคิดถึงคือเย่ฉางอิง
เธอรักเย่ฉางอิงมาตลอดชีวิตเช่นี้ แต่ย่ฉางอิงจากโลนี้เกือขจะยี่สิปีแล้ว ถ้ไม่ใช่เพราะอาศัยว่าทุกวันคอยไปดูรูปถ่ายของเย่ฉางอิง
ในวัยหนุ่ม เยฉางอิงในสมองของเธอก็คงค่อยๆ เลือนหายไป
คิดมาถึงตรงนี้ ภายในใจเธอมากน้อยก็รู้สึกทอดถอนใจอยู่บ้าง นใดนั้นก็ถามซูจือหยูอีกว่า “จื่อหยูจ๊ะ ลูกสาธยายให้แม่ฟังอย่างคร่าวๆ
ได้ไหมว่าผู้มีพระคุณคนนั้นของลูกมีหน้าตาอย่างไร?”
ซูจือหยูนิ่งคิด แล้วกล่าวว่า “บรรยายหนึ่งคำก็คือหล่อ บรรยายสองคำก็คือหล่อมาก บรรยายสามคำก็คือหล่อลากดิน หากบรรยายสี่คำก็
คือทั้งเท่ทั้งหล่อ…”
ตู่ไห่ชิงส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ที่ลูกพูดมาต้องเว่อร์ขนาดนี้เซียวเหรอ?”
ซูจือหยุกล่าวอย่างจริงจัง “แม่ หนูไม่ได้พูดเว่อร์แม้แต่นิดเดี่ยวค่ะ เขาหนำาตาหล่อมาก ไม่เพียงหล่อ ยังเทเป็นที่สุดอีกด้วย!”
พูดเสร็จ ซูจือหยูก็เท้าคาง พูดด้วยหน้าตาลุมหลงว่า “ตอนนั้น ท่านนินจาใหญ่อิงะคนนั้นพานินจากลุ่มหนึ่งเพื่อวางแผนฆ่าเขา กลับกลาย
เป็นว่าถูกเขากำจัดต้หมดภายในสองสามกระบวนท่า เวลานั้นท่นนินจาใหญ่อิงะถูกทำให้ตกใจแบตาย ถามอย่างตัวสั่นระริกว่าเขาเป็นใคร
แม่เดาซิว่าเขาพูดว่ายังไง?”
ตู่ให่ซิงพยักหน้า ถามว่า “เขาพูดว่ายังไง?”
ซูจือหยูยืนขึ้น เลียนแบบท่ทางของเย่เฉินในตอนนั้น พูดด้วยหน้าตาเฉยชา “เขาบอกว่า ฉันคือพ่อของแก ต้องการชีวิตของแก!”
ตู่ไห่ซิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “คนคนนี้ยังอวดดีมากด้วย”
“ยิ่งกว่าอวดดีเสียอีก!” ซูจือหยูกล่าวอย่างจริงจัง “ช่างอวดดิสุดๆ ไปเลย! ฉันซูจือหยูโตมาจนป่านนี้ ยังไม่เคยเห็นใครอวดดีขนาดนี้มา
ก่อน! เขาไม่เห็นนินจาญี่ปุ่นที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาเหล่านั้นในสายตาโดยสิ้นเชิง ฆ่าพวกเขาอย่างกับหั่นฝักหั่นแตง เจ๋งเกินไปแล้ว!”
พูดเสร็จ เธอก็กลาวต่อด้วยความมโหอยู่บ้างว่า “ประเด็นสำคัญคือ หมอนี่ไม่มีรอยยิ้มให้กับหนูและพี่สักครั้ง หนูไปหาเขาเพื่อยืมมือถือ
โทรหาพ่อ หมอนี่ถึงกับบอกว่าอะไรนะของส่วนตัว ให้คนนอกยืมไม่ได้ ขี้งกมาก!”
ตู่ให่ชิงยิ้มกล่าวว่า “คนเขาก็ต้องป้องกันลูกไว้ก่อน ไม่อยากให้ลูกรู้เบอร์มือถือของเขา จนสิบหาฐานะของเขาเจอ”
“ถูก!” ซูจือหยูพูดอย่างฉุเฉียวว่า “หนูว่าคงใช่! เขาฉลาดป็นกรด ไม่ทิ้งเบาะแสไว้เลยกนิดเดียว! ก่อนไปหนูพูดกับเขาว่าไว้พบกันใหม่
ที่ไหนสักแห่ง เขาถึงกับพูดกับหนูประโยคหนึ่งว่จะไม่มีทางพบกันอีก พอมาคิดดูตอนนี้หนูยังคงโกรธมาก! มันลายศักดิ์ครีกันเกินไป! ดังนั้น
หนูจะต้องหาเขาให้เจอ เผชิญหน้ำเพื่อถามเขาว่า ไหนคุณพูดอย่างมั่นอกมั่นใจไม่ใช่เหรอว่าจะไม่ได้พบกันอีก? พบคุณหนูอย่างฉันอีกครั้ง ในใจ
รู้สึกอย่างไรบ้าง?”