บรรพจารย์กระบี่หนานหย่งเชียงถึงกับตายแล้ว?
ผู้ชมการต่อสู้ทั้งหมดล้วนไม่กล้าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลชั้นสูงจากโลกยอดนิรันดร์เหล่านั้น หรือพวกกร้าวแกร่งจากโลกพันจักรวาลล้วนสีหน้าหวาดหวั่น
อานุภาพมรรคกระบี่ที่หนานหย่งเชียงสำแดงก่อนหน้านี้แข็งกร้าวน่าประหวั่นปานนั้น แทบทำให้คนที่อยู่ต่ำกว่าระดับบรรพจารย์คนใดก็ตามรู้สึกสิ้นหวัง
แต่กลับถูกหลินสวินสังหารในกระบี่เดียว!
นี่ไม่ใช่หมายความว่าความแข็งแกร่งของหลินสวินบรรลุถึงขั้นที่กำราบระดับบรรพจารย์ได้แล้วหรือ
ในหัวทุกคนผุดความคิดนี้ขึ้นมาในบัดดล
คนมากมายล้วนถูกความคิดของตัวเองทำให้สะดุ้งตกใจ
บรรพจารย์มรรคเปรียบดั่งปราการสวรรค์ หมื่นกาลตราบปัจจุบันแทบไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการข้ามระดับไปสังหารเขา แม้แต่มกุฎมหาจักรพรรดิที่มีถูกยกย่องว่าเป็นปีศาจแห่งยุคในโลกยอดนิรันดร์เหล่านั้น เกรงว่าอาจทำถึงขั้นนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
แต่หลินสวินกลับทำได้!
เขาทำลายปราการสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ได้ สร้างบันทึกระดับตำนานขึ้นในวันนี้!
ต่อให้เขาร่วงหล่นที่นี่ แต่ด้วยผลงานก็สามารถทำให้เขาทิ้งชื่อระบือกาล กลายเป็นตำนานที่คนรุ่นหลังเชิดชู
เวลานี้คนตระกูลหนานเหล่านั้นล้วนเหมือนบุพการีเสียชีวิต ไม่อาจยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้ได้
หนานเทียนป้าตายแล้ว หนานเทียนเจิงก็ตายแล้ว ถึงตอนนี้แม้แต่บรรพจารย์จักรพรรดิหนานหย่งเชียงที่แข็งแกร่งที่สุดในกองกำลังของพวกเขาก็ยังร่วงหล่น
แล้วพวกเขาจะเอาอะไรไปตั้งตนเป็นศัตรูกับหลินสวิน
ความรู้สึกสิ้นหวังและคับแค้นเศร้าโศกอย่างบอกไม่ถูกลุกลามในจิตใจคนตระกูลหนานเหล่านี้ พวกเขาสีหน้าระทดท้อ สั่นเทิ้มไปทั้งตัว
ทั่วลานเงียบกริบ ไร้ซึ่งสรรพเสียง
หลินสวินตรวจสอบทรัพย์หลังศึกแล้วหยิบกระบี่โบราณที่หนานหย่งเชียงเหลือทิ้งไว้ อดกล่าวทอดถอนใจไม่ได้
“กระบี่นี้ไม่ธรรมดา แต่กลับทำลายตัวเองเพราะการร่วงหล่นของผู้เป็นเจ้าของ ช่างน่าเสียดายจริงๆ…”
แม้จะพูดเช่นนี้เขาก็ยังโยนกระบี่เล่มนี้เข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง จริงอยู่ว่ากระบี่เล่มนี้พังเสียหาย แต่กลับมีกลิ่นอายวัตถุอมตะเป็นสายๆ สามารถเอามาทำเป็นสารหล่อเลี้ยงบำรุงให้กับเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งได้…
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนสลับไปมา สายตาที่มองหลินสวินล้วนเจือแววหวั่นเกรงและกังขาลึกๆ
ช่วงแรกสุดตอนที่เห็นหลินสวินปรากฏตัวอยู่โบราณสถานทวยเทพแห่งนี้ ทุกคนยังรู้สึกเหลือเชื่อ คิดว่าหลินสวินใจกล้าเทียมฟ้าชัดๆ เพื่อวาสนาแล้วถึงกับไม่สนใจแม้แต่ชีวิต
ไม่ต่างอะไรกับมาตายเปล่าสักนิด
แต่ตอนนี้ ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าทุกคนล้วนเดาผิด หลินสวินไม่ได้ใจกล้าจนไม่รักตัวกลัวตาย หากแต่มั่นใจเพราะมีฝีมือจริง!
มรรควิถีในตัวสามารถกำราบบรรพจารย์จักรพรรดิได้ ยังมีอะไรให้ต้องกลัวอีก
และเบื้องหน้าตำหนักเซียนใจกลางแห่งนี้ มีข้อจำกัดของกฎระเบียบมากมาย อย่างน้อยในศึกครองสังเวียนนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกล้อมโจมตี
และไม่ต้องกังวลว่าศัตรูจะดึงไพ่ตายออกมาใช้
เพราะทั้งหมดนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นเด็ดขาด!
และในสถานการณ์ต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง… ใครยังจะกล้าร้องท้าจะเอาชนะหลินสวินได้อีก
ยิ่งคิดในใจทุกคนก็ยิ่งหนักอึ้ง
สำหรับพวกเขาแล้ว หลินสวินที่ตอนนี้เอาชนะติดต่อกันได้สามครั้ง เหมือนจะกลายเป็นปราการสวรรค์กั้นขวางอยู่ตรงนั้น ชวนให้คนครั่นคร้าม
บรรยากาศเงียบสงัด เงียบจนน่ากลัว
พร้อมๆ กับเวลาที่เคลื่อนคล้อย ถึงกับไม่มีคนก้าวขึ้นไปท้าสู้อีก
เห็นชัดว่าล้วนถูกพลังต่อสู้ที่หลินสวินสำแดงก่อนหน้านี้ทำให้เสียขวัญแล้ว
“ภายในหนึ่งเค่อ หากไม่มีใครท้าสู้ ข้าคนแซ่หลินก็เท่ากับครองสังเวียนสำเร็จ สามารถตรงเข้าสู่ด่านที่สองได้แล้ว”
บนสมรภูมิทวยเทพ หลินสวินเอามือไพล่หลังเอ่ยปากราบเรียบ สายตากวาดมองคนตระกูลหนานพวกนั้นไม่หยุด
ทว่าแม้สีหน้าของคนตระกูลหนานจะเต็มไปด้วยแววเคียดแค้นและเดือดดาล แต่กลับไม่มีใครกล้าสบตาหลินสวินอีก
ส่วนผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ในที่นี้ล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันไป มองหน้าสบสายตากัน ไม่มีใครอยากไปท้าทายหลินสวินในเวลานี้
ต่อให้เป็นบรรพจารย์จักรพรรดิบางส่วนก็เลือกรอดูสถานการณ์ไปก่อน
ขณะนี้เวลาหนึ่งเค่อใกล้เข้ามาแล้ว กลับเห็นหลินสวินที่อยู่ในสมรภูมิทวยเทพ จู่ๆ ก็เดินไปยังทางเดินสีทองนั่น
พริบตานั้น หลักฐานยืนยันไอเซียนสามสายที่เขาได้มาจากการชนะสามศึกรวดก่อนหน้านี้ก็ปลดออกจากร่างเขา หายลับไปในสมรภูมิทวยเทพ
“เหตุใดเจ้าหมอนี่ถึงเป็นฝ่ายยอมแพ้เองเล่า”
ทุกคนดวงตาอึ้งค้าง เกือบคิดว่าตาลาย
กลับเห็นหลินสวินกล่าวกลั้วหัวเราะ “อย่างไรก็มีเวลาเจ็ดวัน ทุกท่าน ใครอยากขึ้นมาครองสังเวียนสมรภูมิทวยเทพก็เชิญได้เลย ส่วนข้าคนแซ่หลินจะรอสักหน่อย”
รอสักหน่อย?
ทุกคนเริ่มเข้าใจขึ้นมารางๆ แล้ว คนไม่น้อยยิ่งสูดหายใจสะท้าน สายตาที่มองทางคนตระกูลหนานเหล่านั้นล้วนเจือแววเวทนา
ที่หลินสวินทำเช่นนี้ เห็นชัดว่าไม่คิดจะปล่อยคนตระกูลหนานไปแม้แต่คนเดียว!
และอันที่จริงคนตระกูลหนานก็ไม่กล้าสู้กับหลินสวินอีก แต่ขอเพียงพวกเขากล้าขึ้นสังเวียนสมรภูมิทวยเทพ หลินสวินที่ละทิ้งการครองสังเวียนจะต้องก้าวไปท้าสู้ สำแดงอานุภาพเข่นฆ่าทันทีแน่นอน
และเวลาของศึกครองสังเวียนมีเพียงเจ็ดวันเท่านั้น ต่อให้คนตระกูลหนานอดกลั้นไม่ลงมือได้ แต่เมื่อพ้นเจ็ดวันไป ไหนเลยจะยังมีโอกาสเข้าไปในด่านที่สองอีก
และนี่เท่ากับว่าพวกเขาไร้วาสนากับศุภโชคในตำหนักเซียนใจกลางแล้ว
นี่ต่างหากคือจุดประสงค์ที่หลินสวินเลือกจะอยู่ต่อ!
“หลินสวิน เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!”
เห็นชัดว่าคนตระกูลหนานเหล่านั้นก็รับรู้แล้ว แต่ละคนโกรธจนตาแทบถลน เดือดดาลจนยั้งอารมณ์ไม่อยู่ แทบอยากแล่เนื้อหลินสวินทั้งเป็น
หลินสวินกล่าวกลั้วหัวเราะ “ขออภัย ก็ข้าอยากรังแกพวกเจ้า ทำให้พวกเจ้าถ้าไม่ตายก็ถูกคัดออก หากสามารถฆ่าให้หมดไม่เหลือแม้แต่คนเดียวได้ เช่นนั้นย่อมดีเข้าไปใหญ่”
ทุกคนล้วนเสียวใจวาบ
ถึงแม้สถานการณ์ในตอนนี้ของคนตระกูลหนานจะลำเค็ญ แต่ดีชั่วอย่างไรก็มีฐานะเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลตงหวงแห่งน่านฟ้าที่เจ็ด
หลินสวินทำเช่นนี้ เท่ากับไม่เห็นภัยคุกคามของตระกูลหนานอยู่ในสายตาชัดๆ!
“สหายยุทธ์หลิน เช่นนั้นพวกข้าก็จะขึ้นสังเวียนแล้วนะ”
มีคนอดส่งเสียงไม่ได้ เอ่ยถามเป็นการหยั่งเชิง
“เชิญทุกท่านตามสบาย ผู้ที่ไร้แค้นไร้พยาบาทกับข้าคนแซ่หลิน ข้าคนแซ่หลินย่อมไม่สร้างความลำบากให้” หลินสวินเอ่ยสบายๆ
นี่ทำให้คนไม่น้อยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่ก็มีคนสีหน้าไม่น่ามอง เพราะพวกเขาเคยมีความสุขบนคราวเคราะห์ของหลินสวิน ถึงขั้นที่ก่อนหน้านี้ยังคิดจะชมเรื่องสนุกและหัวเราะเยาะหลินสวิน
พวกเขาไม่มั่นใจยิ่งว่านี่เข้าข่ายการกระทำที่หลินสวินมองว่าเป็นศัตรูหรือไม่
ไม่ว่าอย่างไรผู้ฝึกปราณที่ไม่เคยเป็นอริกับหลินสวินเหล่านั้น หลังจากได้รับคำยืนยันจากหลินสวิน ต่างก็แย่งกันดำเนินศึกครองสังเวียน
การต่อสู้ดุเดือดอย่างมาก ถึงขั้นเกิดความขัดแย้งนองเลือด เกิดเหตุการณ์บาดเจ็บล้มตาย
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินไม่ได้สนใจ เขาแค่ยืนเฉยๆ อยู่ตรงนั้น มองดูอย่างสบายอารมณ์
และเมื่อเวลาเคลื่อนคล้อย สีหน้าคนตระกูลหนานเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูขึ้นมาทีละนิด มีหรือจะมองไม่ออกว่าหลินสวินหมายมาดจะจัดการพวกเขาแน่แล้ว!
หนึ่งวันผ่านไป สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว…
ในช่วงเวลานี้มีคนต่อสู้จนชนะเก้าศึกรวดไม่ขาดสาย สุดท้ายได้รับหลักฐานยืนยัน และถูกพลังผนึกของสมรภูมิทวยเทพห่อหุ้มก่อนอันตรธานหายไป
แต่คนส่วนใหญ่ล้วนพบเจอความพ่ายแพ้ ยิ่งกว่านั้นมีคนส่วนหนึ่งถูกสังหารในสมรภูมิทวยเทพแห่งนั้น
เมื่อได้เห็นภาพทั้งหมดด้วยตัวเอง ในใจหลินสวินก็อดทอดถอนใจไม่ได้ โบราณสถานทวยเทพอาจไม่มีเคราะห์สังหารที่เป็นอันตรายอะไรอยู่ แต่ลำพังแค่ศึกครองสังเวียนนี่ ก็สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณที่เข้าร่วมการแก่งแย่งเกิดการบาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือแล้ว!
นี่ยังเป็นเพียงแค่ลานประลองแห่งหนึ่งในนี้เท่านั้น สถานการณ์ทำนองเดียวกันต้องเกิดขึ้นในลานประลองอีกสี่สิบแปดแห่งที่เหลืออย่างแน่นอน
ความจริงหลินสวินก็สังเกตเห็นว่า แม้ผู้ฝึกปราณที่เข้าร่วมจะมีมาก แต่อย่างไรบรรพจารย์มรรคก็มีเพียงน้อยนิด มกุฎมหาจักรพรรดิขั้นแปดที่เรียกว่าแข็งแกร่งรองลงมาจำนวนก็น้อยมากเช่นกัน
กำลังหลักที่แท้จริงคือพวกมกุฎมหาจักรพรรดิขั้นเจ็ดเหล่านั้น รวมถึงบรรพจารย์ขั้นเก้าที่ประสบการณ์โชกโชนกลุ่มหนึ่ง
หากไม่เพราะถูกพวกตระกูลหนานเล่นงาน ด้วยพลังต่อสู้ของหลินสวิน หากคิดจะครองสังเวียนให้สำเร็จก็ไม่ถึงขั้นลำบากลำบนอะไร
แน่นอน สำหรับคนอื่นๆ ศึกครองสังเวียนนี้ล้วนเรียกได้ว่าอันตรายและเหี้ยมโหดยิ่ง
กระทั่งหกวันให้หลัง
ภายใต้การเฝ้าสังเกตของหลินสวิน ในหมู่ผู้ฝึกปราณเกือบเจ็ดร้อยคน สุดท้ายมีเพียงผู้ฝึกปราณห้าสิบกว่าคนที่คว้าชัยชนะเก้าครั้งติดต่อกัน และออกจากสมรภูมิทวยเทพเข้าสู่ด่านที่สองได้อย่างราบรื่น
อัตราการคัดออกระดับนี้สูงจนน่าตกใจอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินสวินคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง การประลองเจ็ดวัน หากลานประลองแต่ละแห่งมีผู้โดดเด่นเหนือธรรมดาเจ็ดสิบคน เช่นนั้นผู้ฝึกปราณที่ถูกคัดออกเหล่านั้นก็เป็นสิบเท่าของจำนวนนี้!
กระทั่งวันที่เจ็ดมาเยือน
ดวงดาวเจ็ดดวงที่ส่องแสงระยับเหนือเวิ้งฟ้าสมรภูมิทวยเทพนั่น เหลือเพียงดวงเดียวที่ยังส่องแสงอยู่ ส่วนอีกหกดวงล้วนมืดมนหม่นแสง
แต่หลินสวินยังไม่เคลื่อนไหว เฝ้ารอมาโดยตลอด
เขาสังเกตมาแล้ว ดาวหนึ่งดวงตั้งแต่ส่องแสงจนมืดมน รวมทั้งสิ้นสิบสองชั่วยาม หรือก็คือเวลาหนึ่งวัน
หากคนตระกูลหนานพวกนั้นยังไม่เคลื่อนไหว เขาจะลงมือในช่วงชั่วยามสุดท้าย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอเพียงครองสังเวียนบนสมรภูมิทวยเทพเป็นเวลาหนึ่งเค่อ ก็สามารถเลื่อนไปด่านถัดไปได้โดยตรง
และถึงตอนนั้น พวกคนตระกูลหนาน… ต่อให้ขึ้นมายังสมรภูมิทวยเทพ เกรงว่าคงมีเวลาไม่เท่าไหร่แล้ว…
ถึงอย่างไรเมื่อพ้นเจ็ดวัน ศึกครองสังเวียนนี้ก็เท่ากับสิ้นสุดลง
เวลาผันผ่านไปทีละนิด สำหรับคนตระกูลหนานเหล่านั้น เวลาเจ็ดวันนี้ช่างทรมานโดยแท้ ทำให้สภาวะจิตของพวกเขาประสบกับความทรมานไร้สิ้นสุด
มีอยู่หลายครั้งที่พวกเขาแทบทนไม่ไหว อยากกระโจนขึ้นสมรภูมิทวยเทพ ต่อให้ต้องตายก็ขอสู้กับหลินสวินสักตั้ง
แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่ได้ทำเช่นนี้อยู่ดี
เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับไปตายเปล่าจริงๆ…
เมื่อเห็นว่าเวลาเจ็ดวันใกล้จบลงแล้ว คนตระกูลหนานเหล่านั้นก็อดสิ้นหวังไม่ได้ มีความรู้สึกอัดอั้นคล้ายพังทลาย
และก็เป็นยามนี้ที่หลินสวินเคลื่อนไหวแล้ว หลังจากผู้ฝึกปราณที่คว้าชัยเก้าศึกรวดคนหนึ่งจากไป เขาก็เดินตรงขึ้นไปบนสมรภูมิทวยเทพ
ทันใดนั้นทั่วลานเงียบสงัด เหล่าผู้กล้าล้วนถอนหายใจอย่างจนปัญญา ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปในจังหวะสุดท้าย
ช่วยไม่ได้ มีหลินสวินขวางทาง กระโจนเข้าไปก็เท่ากับตายเปล่า!
“หลินสวิน นอกโบราณสถานทวยเทพแห่งนี้มีระดับอมตะของตระกูลข้าควบคุมดูแลอยู่ ต่อให้สุดท้ายเจ้ารอดชีวิตออกไปได้ ก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
ในช่วงเวลาสุดท้ายนี้ คนตระกูลหนานผู้หนึ่งฝืนข่มความอัดอั้นและเดือดดาลในใจไม่ไหวอีกแล้ว คำรามขึ้นอย่างอาฆาตแค้น
แววตาของคนไม่น้อยเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด
สำหรับหลินสวิน นี่เป็นภัยคุกคามร้ายแรงถึงชีวิตจริงๆ!
“ข้ามีชีวิตเข้ามาได้ ย่อมรอดชีวิตออกไปได้ กลับเป็นพวกเจ้า… เหอะๆ ทำตระกูลหนานของพวกเจ้าอับอายขายหน้าป่นปี้หมดแล้ว”
หลินสวินหัวเราะกับตัวเอง
เรื่องนี้ย่อมปิดไม่มิด ต้องแพร่สะพัดออกไปแน่นอน พอถึงตอนนั้นเกรงว่าคงรู้กันทั่วโลกยอดนิรันดร์ ว่าคนตระกูลหนานพวกนี้อดสูและดูไม่ได้ขนาดไหน!
วู้ม…
ไม่ทันไรก็ครบหนึ่งเค่อ หลินสวินที่ไม่มีใครท้าสู้จึงได้รับหลักฐานยืนยันทันที ถูกพลังผนึกของสมรภูมิทวยเทพห่อหุ้มแล้วอันตรธานหายไป
มองดูเขาจากไป เหล่าผู้กล้าล้วนถอนหายใจเฮือกยาว
ดาวเพียงดวงเดียวที่เหลืออยู่บนเวิ้งฟ้านั่น ก็หม่นแสงลงโดยสมบูรณ์แล้ว…
ด่านที่หนึ่งศึกครองสังเวียน เป็นอันปิดฉากลงเพียงเท่านี้
——