แต่ไหนแต่ไรอุปนิสัยของหลินสวินคือผู้ใดไม่ล่วงเกินข้า ข้าไม่ล่วงเกินผู้นั้น

หากใครล่วงเกินข้า…

ขออภัย สนรึว่าเจ้ามีฐานะและความเป็นมาอะไร ตาต่อตาฟันต่อฟัน เลือดต้องล้างด้วยเลือด!

นอกจากตระกูลกู้กับตระกูลอวิ๋นแล้ว คนที่หลินสวินนึกถึงยังมีศัตรูอื่นอีกบางส่วน

เช่นเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลเหวิน เหิง ลั่ว จู้เป็นต้น

ตั้งแต่ตอนอยู่เมืองจรดฟ้า ขุมอำนาจพวกนี้ก็ป่าวประกาศว่าขอแค่เขาหลินสวินกล้าปรากฏตัวในสมรภูมิทวยเทพ พวกเขาจะสังหารไม่ละเว้น

สำหรับเรื่องนี้หลินสวินย่อมไม่เกรงใจอยู่แล้ว

คนอื่นมีปัญหามากมายจนไม่ใส่ใจ ส่วนเขามีศัตรูมากจนไม่หวาดกลัวสิ่งใด

แกร๊ง!

หลินสวินดีดนิ้วคราหนึ่ง เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งส่งเสียงกังวานเนิบช้า

ครู่ต่อมาเขาก็หายไปในทะเลทรายไร้ขอบเขตแถบนี้

‘ระวังตัวด้วย เหลือเวลาแค่วันกว่าแล้ว อย่าประมาทเด็ดขาด!’

ในหุบเขาแห่งหนึ่ง

เหวินเป่ยตูสื่อจิตเตือน ‘สำหรับผลงานการต่อสู้ ไม่มีก็ไม่เป็นไร ขอเพียงรอดชีวิตก็สามารถเข้าไปในด่านที่สามได้’

เขาคือระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่อาวุโสยิ่งคนหนึ่งในตระกูลเหวิน

ข้างกายเขามีคนตระกูลเหวินอยู่หลายคน เมื่อได้ยินดังนี้แล้วต่างพยักหน้าอย่างอดไม่ได้

พวกเขาซุ่มอยู่ที่นี่มานานแล้ว ต่อให้ถูกคนพบเข้า ยามเห็นกระบวนรบของพวกเขา คนทั่วไปก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ

‘ผู้อาวุโส ได้ยินว่าหลินสวินนั่นกำลังถูกสามขุมอำนาจใหญ่อย่างตระกูลกู้ ตระกูลอวิ๋น ตระกูลลี่ร่วมมือกันตามล่า ครั้งนี้เขาต้องยากพ้นเคราะห์แน่’ ชายคนหนึ่งยิ้มพลางสื่อจิต นัยน์ตาแฝงกลิ่นอายมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

ทันใดนั้นเสียงแผ่วเบาพลันดังขึ้นบนท้องฟ้าเหนือหุบเขาแห่งนี้

“จากมุมมองของข้า ครั้งนี้ทุกท่านคงยากพ้นเคราะห์จริงๆ”

เสียงพูดไม่ดัง แต่กลับก้องอยู่ข้างหูพวกเหวินเป่ยตูอย่างชัดเจนทุก ทำให้พวกเขาหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน

เมื่อเงยหน้ามองไป ก็เห็นว่าบนฟ้าสูงเหนือหุบเขานั้นมีเงาร่างสูงตระหง่านหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ ผมดำพลิ้วไหว ประดุจเทพเซียน

หลินสวิน!

ในใจพวกเหวินเป่ยตูสั่นสะเทือนรุนแรง แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง ไม่ได้บอกว่าเจ้าหมอนี่กำลังถูกสามขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะนั่นตามล่าหรือ

‘ไป!’

เหวินเป่ยตูตอบสนองเร็วที่สุด สื่อจิตตั้งแต่พริบตาแรกทันที ต้องการพาทุกคนที่อยู่ข้างกายจากไป

แต่เวลานี้หลินสวินก็ลงมือโดยไม่ลังเลแล้ว

ตูม!

เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งส่องประกาย แสงมรรคนับหมื่นแสนไหลวนปกคลุมหุบเขาแห่งนี้ไว้

ส่วนเงาร่างของหลินสวินก็พุ่งวาบ กายมรรคทั้งห้าเคลื่อนผ่านอากาศไปพร้อมกับร่างต้น จู่โจมไปทางพวกเหวินเป่ยตู

ใช้เวลาเพียงดีดนิ้วสามสิบครั้งเท่านั้น

การต่อสู้ปิดฉากลง

เหวินเป่ยตูและคนตระกูลเหวินล้วนถูกสังหาร ภูผาธาราในรัศมีหลายพันลี้ล้วนกลายเป็นซากปรักหักพังแห้งแล้งราวกับพังทลาย

ฟุ่บ!

หลินสวินแปลงเป็นรุ้งเทพจากไปอย่างผ่าเผย

เวลาเคลื่อนคล้อย

ในเวลาต่อมาเงาร่างหลินสวินตัดผ่านฟ้าดินกว้างใหญ่ในแดนเซียนว่างเปล่า แล่นล่องไปตลอดทาง

เขาเหมือนเงามืดที่เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ต่อให้ถูกผู้ฝึกปราณบางคนสังเกตเห็น ประเดี๋ยวเดียวก็หายลับจากไป

แต่บนหนทางที่เขาก้าวผ่านกลับทยอยมีการนองเลือดเปิดฉาก มีผู้ฝึกปราณจากขุมอำนาจต่างกันสิ้นชีพ

เช่นตระกูลเหิง ตระกูลลั่ว ตระกูลจู้…

เปรียบเทียบกันแล้ว ขุมอำนาจอมตะที่ครองระเบียบระดับปฐพีและมีอาณาเขตในน่านฟ้าที่หกพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนคนหรือศักยภาพโดยรวม ล้วนด้อยกว่าสี่ตระกูลตงหวงไม่ใช่แค่หนึ่งช่วง

ภัยคุกคามที่ส่งผลต่อหลินสวินก็น้อยลงไปมาก เวลาฆ่าก็ไม่ปรานีสักนิด ทั้งไม่เคยออมมือใดๆ

เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน ศัตรูที่ถูกหลินสวินสังหารตลอดทางนี้มีถึงยี่สิบกว่าคนแล้ว ส่วนผลงานการต่อสู้บนป้ายยืนยันในมือก็มีถึงสี่สิบสามสายแล้ว!

การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องนี้ปิดบังไม่อยู่โดยสิ้นเชิง ไม่นานก็ดึงดูดสายตาของผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนจนสั่นสะท้าน

“หรือการร่วมมือกันของสามตระกูลตงหวงล้มเหลวแล้ว”

ผู้คนมากมายเพิ่งรู้ตัว ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล หลินสวินถึงกับเปิดฉากสังหารอย่างกำเริบเสิบสาน นี่หมายความว่าเคราะห์สังหารที่เพ่งเล็งเขาล้มเหลวไปแล้วหรือไม่

“เจ้าหมอนี่โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว พวกที่ตายไปนั้นล้วนเป็นคนจากขุมอำนาจที่มีความแค้นกับเขา!”

มีคนหนาวเยือกในใจ มองเจตนาของหลินสวินออก ถูกวิธีล้างแค้นที่เหี้ยมโหดไร้ปรานีนั้นของหลินสวินทำให้ตกใจ

“แดนเซียนว่างเปล่าที่กว้างใหญ่ ไม่มีใครกำราบคมประกายของคนผู้นี้ได้เลยหรือ”

มีคนส่งเสียงร้องโอดครวญ ในใจไม่สบอารมณ์นัก ขอเพียงเป็นผู้ที่สามารถเข้ามาในด่านล่าสัตว์นี้ได้ ใครบ้างไม่ใช่พวกกร้าวแกร่งที่ผงาดผยองเหนือคนระดับเดียวกัน

แต่คนพวกนี้กลับไม่มีใครกำราบความอหังการของหลินสวินได้สักคน!

“ไม่ต้องกังวล คนที่ไม่มีความแค้นใดกับหลินสวินนั่นอย่างพวกเราคงปลอดภัยไปชั่วคราว…”

มีคนปลอบใจพวกพ้องข้างกายเช่นนี้

ขณะเดียวกันหลินสวินหน้านิ่วคิ้วขมวด

เขาเจอร่องรอยของคนตระกูลกู้กับตระกูลอวิ๋นแล้ว แต่กลับพบว่ายากจะมีโอกาสบุกจู่โจม

กำลังพลของสองขุมอำนาจใหญ่เคลื่อนไหวด้วยกัน ทั้งมีกู้ปั้นจวงกับอวิ๋นลั่วหงควบคุมดูแล ไม่เปิดช่องให้โจมตีอย่างสิ้นเชิง

หากไปเป็นฝ่ายบุกเข้าไปห้ำหั่นเอง หลินสวินมั่นใจว่าสามารถทำให้อีกฝ่ายล้มตายเป็นเบือได้ แต่เกรงว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักหน่วงด้วยเหตุนี้เช่นกัน

วิธีบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่ายเช่นนี้เป็นสิ่งที่หลินสวินปฏิเสธ

อย่างไรที่นี่ก็คือแดนเซียนว่างเปล่า เวลาล่าสัตว์สามวันไม่สิ้นสุดก็ไม่สามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้ นี่ก็หมายความว่าเมื่อบาดเจ็บ ถ้าถูกคนสกัดและลอบโจมตียามหลบหนี ผลลัพธ์ต้องไม่อาจคาดเดาแน่

หลินสวินก็เคยจงใจเผยร่องรอยเช่นกัน วางแผนล่อผู้ฝึกปราณของตระกูลกู้กับตระกูลอวิ๋นให้ออกโจมตีก่อน ขอเพียงอีกฝ่ายไล่ตามมา เขาก็จะใช้วิธีเดิมโดยการแบ่งกำลังพลของอีกฝ่าย จากนั้นโจมตีพวกเขาให้แตกพ่ายทั้งหมด

ไหนเลยจะคิดว่าในสถานการณ์ที่ต่อให้เขาเผยร่องรอย ผู้แข็งแกร่งของเผ่าจักรพรรดิอมตะสองตระกูลนี้ดันทำเพียงวางกระบวนรบป้องกันและเฝ้าระวัง ไม่คิดออกโจมตีก่อนอย่างสิ้นเชิง

เห็นชัดว่าอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงความร้ายกาจแล้ว ไม่คิดเปิดโอกาสให้หลินสวินโดยสิ้นเชิง

นี่ทำให้หลินสวินอดจนปัญญาอยู่บ้างไม่ได้

“หืม?”

ขณะที่หลินสวินลังเลว่าจะสะกดรอยตามต่อไปหรือไม่ เขาพลันพลิกฝ่ามือ ยันต์หยกเปล่งประกายพร่างพราวราวกับใบหลิวสีเขียวแผ่นหนึ่งปรากฏออกมา

จากนั้นเสียงกังวานเสนาะหูดังออกมาจากยันต์หยกนั่น แฝงความร้อนรนและตื่นตระหนก

“พี่หลิน ขอร้องเจ้าล่ะ ช่วยท่านลุงของข้าด้วย! ขะ เขา… เขาใกล้จะไม่ไหวแล้ว…” น้ำเสียงยิ่งเจือแววสะอื้นเล็กน้อย

นี่เป็นเสียงของเซี่ยงเสี่ยวหยวนนั่นเอง

นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัดทันควัน ยันต์หยกดุจใบหลิวสีเขียวนั่น ก็คือสิ่งที่เซี่ยงเสี่ยวหยวนมอบให้ก่อนเข้ามาในโบราณสถานทวยเทพ ในมือเยวี่ยตู๋ชิวก็มีอยู่หนึ่งใบ

เวลานี้เซี่ยงเสี่ยวหยวนร้องขอความช่วยเหลือ เห็นชัดว่าท่านลุงของนางหลิ่วเซียงเชวียเจออันตรายร้ายแรงอย่างมาก มีโอกาสสิ้นชีพได้ตลอดเวลา

ไม่อย่างนั้นด้วยความสามารถของเซี่ยงเสี่ยวหยวน ย่อมไม่มีทางตื่นตระหนกและร้อนรนเช่นนี้แน่

‘หลิ่วเซียงเชวียเป็นถึงบรรพจารย์จักรพรรดิตระกูลหลิ่วเซียงแห่งน่านฟ้าที่เจ็ด ฐานะสูงส่ง ไม่ด้อยไปกว่าพวกหนานหย่งเชียง กู้ปั้นจวง ลี่เฮิ่นสุ่ย ในแดนเซียนว่างเปล่านี้ยังมีใครกล้าลงมือรุนแรงกับคนเช่นนี้อีกหรือ’

หลินสวินรู้สึกผิดคาดอย่างอดไม่ได้ เดิมทีเขาคิดว่าบนโลกนี้คงมีแค่พวกไม่มีอะไรจะเสียอย่างตน ถึงไปจัดการผู้แข็งแกร่งของเผ่าจักรพรรดิอมตะแห่งน่านฟ้าที่เจ็ดพวกนั้นโดยไม่หวั่นเกรงอะไร

แต่ใครจะคิดว่านอกจากเขาแล้ว ยังมีผู้แข็งแกร่งคนอื่นกล้าทำเช่นนี้อีก!

นี่ทำให้หลินสวินสันนิษฐานได้ ว่าคู่ต่อสู้ที่สามารถบีบจนหลิ่วเซียงเชวียตกอยู่ในอันตรายนั้น ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่

นี่ทำให้เขานึกถึงคำเตือนของชางฝูเซิงทันที…

ในแดนเซียนว่างเปล่านี้ ไม่ขาดพวกที่น่ากลัวยิ่งกว่าสี่ตระกูลตงหวงเหล่านั้น!

ยามใคร่ครวญหลินสวินก็เริ่มเคลื่อนไหวไปด้วย ยันต์หยกดุจใบหลิวสีเขียวนั้นไหวสั่นเล็กน้อย คลื่นพลังอบอวลออกมา นำทางให้เขา

“เจ้าหมอนี่ถึงกับยอมแพ้แล้ว?”

ห่างออกไปพวกกู้ปั้นจวงกับอวิ๋นลั่วหงที่ป้องกันและระวังตัวมาตลอด ล้วนสังเกตเห็นทิศทางการเคลื่อนไหวของหลินสวินในทันที ทุกคนต่างรู้สึกผิดคาดอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้

“เขาต้องกลัวแน่นอน” มีคนยิ้มหยันเจือความลำพอง

“เจ้าโง่”

กู้ปั้นจวงถลึงตาใส่อีกฝ่าย “พวกเรามีคนมากเช่นนี้ แต่กลับถูกเขาคนเดียวพัวพันและคุกคามมาตลอด เจ้าคิดว่าคนอย่างเขาจะกลัวหรือ คราวหน้าหากพูดเช่นนี้อีกก็พกสมองไว้บ้าง!”

คนผู้นั้นอักอ่วนทันที ไม่กล้าเอ่ยวาจา

อวิ๋นลั่วหงกล่าว “ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องระวังหน่อย จนกว่าการล่าสัตว์จะสิ้นสุด ห้ามแยกจากกันเด็ดขาด”

คำพูดนี้ได้รับความเห็นชอบจากทุกคน

หลินสวินน่ากลัวเกินไป น่ากลัวจนถึงขั้นที่ขอเพียงพวกเขากล้าแยกกันเคลื่อนไหว ก็จะเจอหายนะถึงตาย!

กลางภูผาธาราที่เหมือนซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง

หลิ่วเซียงเชวียกระอักเลือดไม่หยุด ร่างสะบักสะบอม ลมหายใจรวยริน แต่ยังคงต่อสู้ ทว่าไม่ว่าใครก็มองออกว่าเขายืนหยัดได้ไม่นานแล้ว

คู่ต่อสู้ของเขาคือชายร่างสูงใหญ่กำยำและแข็งแกร่งคนหนึ่ง ท่อนบนเผยผิวทองแดง หัวโล้นมันวาว ใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาฉายแววดุดัน

บนหน้าผากเกลี้ยงเกลานั้นของเขา ประทับสัญลักษณ์ดอกหางเหยี่ยวสีเลือดแปลกประหลาด

เมื่อเขาลงมือ อสนีบาตสีเลือดบาดตาสายหนึ่งม้วนซัด ปั่นป่วนฟ้าดิน ราวกับดอกหางเหยี่ยวสีเลือดนับไม่ถ้วนเบ่งบาน หมายจะเลือกคนมากลืนกิน

อานุภาพนั้นดุดันเผด็จการ กร้าวแกร่งหาใดเปรียบ มีพลังปราณแค่ระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นแปดขั้นสมบูรณ์ชัดๆ แต่กลับสยบบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างหลิ่วเซียงเชวียได้ตลอด ไล่กวดไม่ยั้ง แข็งแกร่งจนน่ากลัว

ในจุดที่ห่างจากการต่อสู้ไป ยังมีชายสองหญิงหนึ่งยืนอยู่

หญิงสาวคนหนึ่งในนั้นสวมชุดกระโปรงสีทอง เอวเล็กบาง บุคลิกสง่างามเรียบง่าย ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่ดูการต่อสู้นั้นสักครา

นางถือม้วนตำราซีดจางเล่มหนึ่งไว้ในมือ อ่านอย่างสงบใจ หน้าตาอ่อนโยน เงียบสงบเหมือนปกติ ราวกับการต่อสู้นั้นไม่น่าดึงดูดเท่าม้วนตำราในมือ

เวลานี้ดวงตานางยังมองม้วนตำรา แต่ปากกลับกล่าวว่า “ชิงเหมิ่ง น่าจะพอได้แล้ว ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลหลิ่วเซียง ไม่อาจรังแกมากเกินไป หากเจ้าอยากเล่นสนุกจริง รอกลับไปโลกยอดนิรันดร์ข้าจะช่วยเจ้าเลือกคู่ต่อสู้สองสามคนมาเล่นด้วย”

เมื่อชายหนุ่มรูปงามหัวโล้นที่ถูกเรียกว่าชิงเหมิ่งได้ยินหญิงสาวคนนี้เอ่ยปาก แม้ไม่ยินยอมอยู่บ้าง แต่ยังหยุดมือด้วยความจำยอม แสยะยิ้มใส่หลิ่วเซียงเชวียที่ถูกซัดจนเกือบดับสิ้นอย่างหยามเหยียดพลางกล่าว “อยู่มาจนอายุปูนนี้แต่กลับถูกอัดจนกลายเป็นหมา หากข้าเป็นเจ้าคงปาดคอฆ่าตัวตายไปแล้ว”

“พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย ถ้ากล่าวถึงอายุ คนผู้นั้นเป็นถึงผู้อาวุโสรุ่นเดียวกับท่านปู่ของเจ้า อย่าทำอะไรรุนแรงมากนัก ไม่อย่างนั้นหากตระกูลหลิ่วเซียงเอาจริงขึ้นมา ข้าก็ต้องไปอธิบายกับคนในตระกูล”

หญิงสาวชุดคลุมยาวยังคงอ่านหนังสือ ไม่แม้แต่จะเงยหน้า กล่าวอย่างไม่แยแส

แต่ชิงเหมิ่งกลับไม่กล้าพูดมากอีกสักคำ ลูบกบาลใส หัวเราะร่าพลางออกจากการต่อสู้

ขณะเดียวกันชายชุดดำคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายหญิงสาวชุดคลุมยาวเหลือบสายตาไปใต้ฝ่าเท้า รอยยิ้มอบอุ่น เอ่ยเสียงเบา “แม่นาง กองหนุนของเจ้ายังมาไม่ถึงหรือ”

ใต้ฝ่าเท้าของเขามีคนผู้หนึ่งถูกเหยียบอยู่

เซี่ยงเสี่ยวหยวน

………………….