มองดูหลิงเสวียนจื่อที่ดูฮึกเหิมพิกล หลินสวินนึกถึงภาพตอนที่เห็นอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก

ตอนนั้นหลิงเสวียนจื่อเพิ่งหลุดจากซากดวงกมล อาภรณ์สีเขียวทั้งชุด หน้าตาราวเด็กหนุ่มหล่อเหลา ผมดำมัดลวกๆ ไว้ตรงท้ายทอย สลักเสลาราวหยก

เขายืดเอวบิดขี้เกียจ สองแขนอ้าออก ทอดสายตาหรี่มองเวิ้งฟ้า

ราวกับว่าการกำราบในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ความมืดและการกดข่มนานนับไม่ถ้วนล้วนได้รับการปลดปล่อยและระบายออกมาในอึดใจนั้น

เขาเคยบอกว่า ‘ขอเพียงมีชัยในมหามรรค เข้าถึงร่างอมตะนิจนิรันดร์ จึงจะเป็นนายเหนือหัวแห่งฟากฟ้าอย่างแท้จริง เป็นยอดแห่งทั่วหล้า!’

ที่น่าเสียดายคือ ก่อนจะถูกกำราบหลิงเสวียนจื่อยังไม่เคยออกจากคีรีดวงกมล และไม่เคยเลื่องชื่อในใต้หล้า ทุกคนจึงไม่มีใครรู้ว่าเขาหลิงเสวียนจื่อ ถูกเจ้าแห่งคีรีดวงกมลมองว่า ‘เป็นเลิศในหมื่นกาล’

และหลังจากพ้นการถูกกำราบ ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเดิมพันกับหลินสวิน เป็นฝ่ายเข้าสู่เจดีย์ไร้สิ้นสุดเอง ไม่เคยประกาศศักดาของตนให้โลกรู้อย่างแท้จริง

จนกระทั่งตอนนี้…

หลิงเสวียนจื่อดูประหนึ่งโอกาสที่รอคอยมาถึงแล้ว!

หลินสวินไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ของศิษย์พี่สี่ได้เลย และบนโลกใบนี้ก็ไม่เคยมีคนที่ผ่าประสบการณ์แบบเดียวกัน เข้าใจกันและกันอย่างแท้จริง

เขารู้เพียงว่าหลิงเสวียนจื่อที่อุดอู้มาแสนนานกระหายการต่อสู้ใจจะขาด!

บางทีอาจเพื่อระบาย อาจทำเพื่ออวดศักดา หรือบางทีอาจเพื่อพิสูจน์มหามรรคที่เขายึดมั่น…

“เหล้า ข้ายังอยากดื่มเหล้า” ด้านข้างคงเจวี๋ยที่นั่งเมามายบนพื้นชูไหเหล้าที่ดื่มเกลี้ยงขึ้นมา แล้วงึมงำกับหลินสวินอย่างน่าสงสารจับใจ

กลับเห็นหลิงเสวียนจื่อยิ้มแล้วย่อตัวนั่งลง จ้องคงเจวี๋ยพลางกล่าวว่า “อาจารย์อา ไม่ว่าท่านจะบ้าจริงหรือแกล้งทำแต่หากครั้งนี้ข้ากับศิษย์น้องเล็กเกิดเหตุไม่คาดฝันบางประการ ท่านน่ะ จะไม่ได้ดื่มเหล้าดีๆ แบบนี้อีกแล้วนะ”

นัยน์ตาคงเจวี๋ยงุนงง กล่าวว่า “ไม่ให้ข้าดื่มเหล้า สู้ให้ข้าตายยังดีกว่า…”

หลิงเสวียนจื่อกล่าวด้วยแววตาลุ่มลึก “ท่านแฝงตัวปะปนอยู่ในเมืองจรดฟ้าหลายปี บอกว่าจะรอใครคนหนึ่งมารับท่านกลับบ้าน แต่ตัวท่านน่าจะรู้ดีที่สุด ภายใต้การปกคลุมของระเบียบ ‘เฮ่าเทียน’ หากท่านไม่อยากจากไปก็ไม่มีใครทำอะไรท่านได้สักนิด”

คงเจวี๋ยร้องขึ้นอย่างมีน้ำโห “เหตุใดไม่ให้ข้าดื่มเหล้า”

หลิงเสวียนจื่อกลับพูดเองเออเอง “หากข้าเดาไม่ผิด คนที่ท่านรอคอยก็คือศิษย์น้องเล็ก เพราะมีเพียงระเบียบนิพพานบนตัวศิษย์น้องเล็กเท่านั้นจึงจะสามารถต้านทานระเบียบเฮ่าเทียนได้ และสามารถพาอาจารย์อาไปจากเมืองจรดฟ้านั่นได้”

เดิมหลินสวินชักเริ่มหมดความอดทน หมายตัดบทหลิงเสวียนจื่ออยู่บ้าง แต่จู่ๆ กลับนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

ปีนั้นตอนอยู่แดนปรินิพพาน คงเจวี๋ยเคยทะลวงข้ามฟ้าดารามาเยือน หมายช่วงชิงศุภโชคนิพพาน แต่สุดท้ายถูกพลังเจตจำนงของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลขวางเอาไว้

หลินสวินจำได้แม่น คงเจวี๋ยเคยพูดกับตนว่า ‘เช่นนั้นเจ้าจะพิจารณาไปกับข้าไหม ไม่ว่าจะอยู่มิติเวลาไหน คนที่สามารถสอนเจ้าให้เหยียบจุดสูงสุดแห่งอมตะ เปลี่ยนเป็นคนที่อยู่เหนือสุดได้ย่อมมีเพียงบางตาไม่กี่คน และข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น’

ตอนนั้น หลินสวินไม่รู้สักนิดว่า ‘จุดสูงสุดแห่งอมตะ เปลี่ยนเป็นคนที่อยู่เหนือสุด’ ที่ว่าคืออะไร

แต่มาคิดดูตอนนี้ กลับทำให้เขาตระหนักได้ฉับพลันว่าหากสภาวะจิตของอาจารย์อาผู้นี้ไม่เกิดปัญหา ก็มีแนวโน้มสูงมากว่าจะเป็นบุคคลที่เรียกได้ว่าน่าพรั่นพรึงคนหนึ่ง!

คิดถึงตรงนี้ในใจหลินสวินก็อดเกิดความรู้สึกแปลกไปไม่ได้

อาจารย์อาคงเจวี๋ยที่จิตมรรคเกิดปัญหาร้ายแรง หลายปีมานี้เอาแต่เฝ้ารออยู่ในเมืองจรดฟ้า คงไม่ได้เฝ้ารอตนจริงๆ หรอกกระมัง

เพราะมีแต่ตนที่ครอบครองศุภโชคนิพพาน และจากคำบอกกล่าวของอาจารย์ในปีนั้น เป็นเพราะคงเจวี๋ยยึดมั่นกับมรรคแห่งยอดอมตะ จึงเป็นผลให้จิตมรรคเกิดปัญหา

และตนเป็นผู้ครอบครองระเบียบนิพพาน เท่ากับมีศักยภาพกลายเป็นยอดอมตะ!

ยอดหนทางสู่อมตะ แดนปรินิพพาน เคราะห์จ่อมจมชั่วกัปกัลป์ หนึ่งบัวเบ่งบาน…

มรรคคาถาบทนี้แฝงนัยมากเกินกว่าของทั่วไปจะเทียบชั้นได้ ทำให้หลายปีมานี้ทุกครั้งที่หลินสวินตระหนักถึง ล้วนบังเกิดความรู้ใหม่เอี่ยม

เหมือนอย่างวรรคที่ว่า ‘ยอดหนทางสู่อมตะ’ ไม่ใช่เกี่ยวข้องกับระเบียบนิพพานที่เขาได้รับมาพอดีหรือ

และเขาก็ถูกมองเป็นหนึ่งบัวเบ่งบานดอกนั้น!

“เหล้า ข้าอยากดื่มเหล้า…” เสียงของคงเจวี๋ยระคนเสียงสะอื้นเสี้ยวหนึ่ง

หลินสวินตื่นจากภวังค์ มองดูอาจารย์อาผู้ถูกมองว่า ‘เป็นหนึ่งในประวัติการณ์ มีเพียงคนเดียว’ ผู้นี้ แต่กลับเหมือนคนบื้อบ้าเสียสติ จึงอดทอดถอนใจไม่ได้ ก่อนยื่นจอกล่องธารไหลไหหนึ่งออกไปให้

ฝ่ายหลังดีใจกระวีกระวาด แหงนหน้ากระดึกดื่มรัวๆ

“ศิษย์น้อง อันที่จริงข้าก็ไม้กล้าฟันธงว่าอาจารย์อาเสียสติไปแล้วจริงหรือไม่ แต่ตามความเห็นข้า ในเมื่อเขายินดีรออยู่ในเมืองจรดฟ้านานหลายปีขนาดนี้ ต้องเป็นเพราะตัดสินใจอะไรบางอย่างหลังจากได้สติเป็นแน่ ข้าถึงขั้นกล้ามั่นใจว่าคนที่เขาเฝ้ารอก็คือเจ้า เพราะมีแต่เจ้าจึงจะสามารถช่วยเขาก่อจิตมรรคขึ้นมาใหม่ได้”

หลิงเสวียนจื่อหยัดตัวขึ้น สื่อจิตกล่าว ‘แต่ข้าขอเตือนเจ้า อย่าเอาระเบียบนิพพานไปทดสอบเด็ดขาด สภาวะจิตของอาจารย์อาเกิดปัญหา ไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีปกติ หาไม่เกิดเขาเผ่นหนีขึ้นมา นั่นก็จบเห่แล้ว’

หลินสวินอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าน้อยๆ

“โอ๋ คู่ต่อสู้มาแล้ว ในที่สุดก็ใกล้เริ่มแล้วหรือ…”

จู่ๆ หลิงเสวียนจื่อก็ทอดสายตามองไปนอกตำหนักเซียนใจกลาง ส่วนลึกของนัยน์ตากระจ่างคู่นั้นทอลำแสงเย็นเยียบที่ราวกับหิวกระหาย

นอกตำหนักเซียนใจกลาง

กลางฟ้าดินที่แต่เดิมเงียบสงัด จู่ๆ ก็มีกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงไร้รูปแผ่คลุ้ง ห้วงอากาศราวถูกควบแน่นแข็งตัว

จากนั้นเงาร่างสี่สายปรากฏขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง

หนานเฟยตู้ที่เครายาวสยาย ท่วงท่าดุจเทพเอามือไพล่หลังยืนอยู่กลางอากาศ กฎเกณฑ์อมตะสีเงินเป็นสายๆ รายล้อมรอบตัวเขาประหนึ่งวงแหวนศักดิ์สิทธิ์

กู้หลิงเจินที่งดงามเลอโฉม อาภรณ์สีทองทั้งชุดยืนอยู่ข้างกัน กลางฝ่ามือเรียวยาวขาวเนียนมีกระบี่บินสีขาวหิมะร่ายระบำส่งเสียงใส

ลี่ซางจวินที่ขี่แรดเขียว มือถือบรรทัดหยกม่วงท่าทางดูมีสง่าราศี ทันทีที่ปรากฏตัว นัยน์ตาพลันทอดมองตำหนักเซียนใจกลางบนยอดเขาจากที่ไกลโพ้น

อวิ๋นจิ่วเวยที่เท้าเหยียบฝักกระบี่เปื้อนเลือด ผมสีดอกเลา ทั่วร่างปกคลุมด้วยไอสังหารคลุมเครือชั้นหนึ่ง ยามกะพริบตาวาบประกายคมกริบราวกระบี่ ประหนึ่งสามารถกรีดแหวกเวิ้งฟ้าได้

ระดับอมตะสี่คนจากสี่ตระกูลตงหวงล้วนมาเยือนพร้อมกันในเวลานี้!

แม้ไม่เคยสำแดงอานุภาพชัดเจน แต่เมื่อพวกเขาปรากฏตัว ฟ้าดินแถบนี้ล้วนอับแสงลงอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นเพียงส่วนประกอบ

“ตำหนักเซียนใจกลางถูกมองเป็นสถานที่สูงสุดของยุคก่อน ไม่เคยพังทลายในการพินาศของยุคสมัย สมกับเป็นที่พำนักแห่งเทพเซียนจริงๆ” หนานเฟยตู้ทอดถอนใจ

เขาดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด เหมือนนักเดินทางที่มาย้อนรำลึกร่องรอยโบราณ

“น่าเสียดาย ศุภโชคสูงสุดชิ้นนั้นกลับถูกผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนหนึ่งได้ไปครอง สิ้นเปลืองของดีเปล่าๆ รอจับเจ้านี่ได้ ข้าจะต้องทำให้เขาคายต้นหงเหมิงหมื่นมรรคออกมาแต่โดยดี”

เนตรงามของกู้หลิงเจินราบเรียบ ในคำพูดเต็มไปด้วยความเย็นเยียบที่ไม่ปกปิดสักนิด

“นอกจากต้นหงเหมิงหมื่นมรรค บนตัวเจ้าหมอนี่ยังมีของดีอีกเพียบ ข้าสนใจเตากระบี่ในมือเขาชิ้นนั้นที่สุด ว่ากันว่าแม้แต่พลังเจตจำนงอมตะยังถูกกำจัดไปได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่สมบัติทั่วไปจะเทียบได้”

ลี่ซางจวินที่นั่งบนแรดเขียวเอ่ยพูดเนิบๆ

ครั้งนี้สามารถเข้าสู่โบราณสถานทวยเทพได้ก่อนเวลา ทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายเป็นพิเศษ เพราะสามารถจับตัวหลินสวินได้ก่อนที่พวกคนใหญ่คนโตของยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดพวกนั้นจะมาถึง นี่เท่ากับแก้ปัญหายุ่งยากให้พวกเขาไปหนึ่งเปลาะอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนหลินสวิน…

มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่พลิกฟ้าแค่ไหน มีหรือจะงัดข้อกับคนที่เหยียบย่างมรรคาอมตะอย่างพวกเขาได้

การจัดการเขาก็เหมือนเชือดระกาฆ่าวานร ง่ายเหมือนใส่พานมาให้จับ!

“ข้าต้องการมรดกร่างแยกบนตัวเขา ได้ยินว่าอัศจรรย์ดุจสวรรค์บันดาลเช่นเดียวกับ ‘กายสี่ลักษณ์เก้าวิญญาณ’ สมบัติพิทักษ์ตระกูลของตระกูลฝู”

อวิ๋นจิ่วเวยก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน แต่ละคำดังชิ้งๆ ราวกระบี่

ในเวลานี้เสียงหัวเราะหยันสายหนึ่งก็ดังลอยมาจากตำหนักเซียนใจกลาง

“พวกเจ้าช่างวาดฝันสวยหรูกันจริงๆ แต่ไม่หัดตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองซะบ้าง คิดจริงๆ หรือว่าจะได้มรรควิชานั่นมาสมใจหมาย”

ในเสียงเผยแววดูแคลนรุนแรง

หนานเฟยตู้ขมวดคิ้ว พลังเจตจำนงไพศาลพุ่งออกมาจากตัวเขา หอบม้วนไปทางตำหนักเซียนใจกลาง ห้วงอากาศใกล้เคียงล้วนพังถล่ม คล้ายรับกลิ่นอายน่าสะพรึงของพลังเจตจำนงนั่นไม่ไหว

แต่เพียงพริบตาเดียวหนานเฟยตู้ก็ส่งเสียงอึดอัดออกมา พลังเจตจำนงที่ปลดปล่อยออกจากตัวเขายิ่งหดถอยกลับมาอย่างรวดเร็วราวพบเจอแรงโจมตีอย่างหนัก

บนใบหน้าเขาเจือแววตกใจอึ้งค้าง

และพร้อมกันนั้นนัยน์ตาลี่ซางจวิน กู้หลิงเจิน อวิ๋นจิ่วเวยล้วนหรี่ลง ทอดมองทางตำหนักเซียนใจกลางที่อยู่ไกลๆ นั่น

เงาร่างหล่อเหลาสายหนึ่งปรากฏ ชุดเขียวพลิ้วไหว ผมดำมัดรวบไว้ตรงท้ายทอย เผยให้เห็นดวงหน้าสลักเสลาราวหยก ประหนึ่งเด็กหนุ่ม

เขายืนไพล่หลังบนยอดเขา ปรายตามองลงมา ส่วนลึกของนัยน์ตาวาบประกายประหลาด “แค่พวกเจ้าสี่คนนี่นะ”

ประโยคเดียวเรียบๆ เหมือนรู้สึกผิดหวัง แต่ความหยามเหยียดที่ไม่ปกปิดในคำพูดนั่น ไม่ว่าใครต่างก็รับรู้ได้อย่างแจ่มแจ้ง

“เจ้าเป็นใครกัน”

หนานเฟยตู้ขมวดคิ้ว ไม่ได้โกรธ ตรงข้ามกลับแปลกใจยิ่ง เพราะจำได้ว่าชายหนุ่มชุดเขียวคนนั้นไม่ใช่หลินสวินที่พวกเขาหมายจับตัวสังหารในครั้งนี้

หลิงเสวียนจื่อยิ้มบางๆ เอ่ยเสียงกังวานว่า “ฟังให้ดี ข้าเดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลลำดับที่สี่หลิงเสวียนจื่อ!”

พวกหนานเฟยตู้มองหน้ากันไปมา หลิงเสวียนจื่อหรือ ไม่เคยได้ยินมาก่อน…

พวกเขารู้จักคีรีดวงกมลดียิ่งกว่าใคร และรู้จักผู้สืบทอดคีรีดวงกมลหลายคน อย่างเช่นจักรพรรดิสงครามยุทธ์ผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่ง รั่วซู่ผู้สืบทอดลำดับที่สามเป็นต้น

แต่ไม่เคยได้ยินคนชื่อหลิงเสวียนจื่อมาก่อน

เป็นผลให้สีหน้าของพวกเขาล้วนปนความงุนงง

หลิงเสวียนจื่อที่เห็นทุกอย่างนี้อยู่ในสายตามุมปากกระตุกเบาๆ จากนั้นจึงกล่าวยิ้มบางๆ

“เมื่อก่อนไม่เคยได้ยิน มารู้จักตอนนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะนับแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั่วหล้าฟ้าดินนี้ล้วนจดจำชื่อของข้า เห็นข้าดุจเห็นฟ้า!”

ประโยคสุดท้ายถูกเขาพูดออกมาอย่างผยองสุดขั้ว

เพียงแต่บรรยากาศเยียบเย็นยิ่ง พวกหนานเฟยตู้ต่างพากันยิ้มหยัน นัยน์ตาเจือแววเย็นชาและดูหมิ่น ราวกับกำลังฟังเรื่องขบขันสิ้นดีเรื่องหนึ่ง

นี่ทำให้หลิงเสวียนจื่อรู้สึกไม่ดีอย่างยิ่ง เหมือนศักดิ์ศรีถูกโจมตีและทำลายลงอย่างเงียบๆ ลอบถอนหายใจในใจ อาจารย์หนออาจารย์ หากไม่เพราะท่านกำราบข้านานหลายปีเช่นนี้ พวกสารเลวนี่มีหรือจะไม่รู้กิตติศัพท์ข้า ไม่เกรงกลัวบารมีข้า

“ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร และไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลลำดับที่เท่าไหร่ ในเมื่อกล้าเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้ก็มีแต่ทางตายสถานเดียว”

หนานเฟยตู้แววตาราบเรียบ เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม

“ไยต้องพูดพล่ามกับพวกอวดอ้างสรรพคุณ ฆ่าทิ้งก็สิ้นเรื่อง”

อวิ๋นจิ่วเวยชักเริ่มหมดความอดทน ขณะพูดก็ยกมือขึ้นชี้คราหนึ่ง

ชิ้ง!

ในฝักกระบี่เปื้อนเลือดที่เขาเหยียบอยู่ใต้เท้าพลันมีปราณกระบี่สีเลือดแดงฉานพุ่งออกมาสายหนึ่ง กรีดแหวกผืนนภา ฟันไปยังบริเวณยอดเขาที่หลิงเสวียนจื่อยืนอยู่

……………………..