หลินสวินยังอดปากอ้าตาค้างไม่ได้
ศิษย์พี่สี่ถูกกำราบในซากดวงกมลนานหมื่นกาลยังแข็งแกร่งได้ขนาดนี้!?
ไม่ใช่บอกว่าหลังจากพลังระเบียบต้องห้ามปกคลุมทางเดินโบราณฟ้าดารา เส้นทางที่เชื่อมสู่มรรคาอมตะก็ถูกตัดขาดไปแล้วหรือ
แต่ทันใดนั้นหลินสวินก็ตระหนักได้ว่าความรู้ของตนเกิดการคลาดเคลื่อน
ศิษย์พี่สี่ถูกกำราบในยุคดึกดำบรรพ์ มรรควิถีของเขามีแนวโน้มสูงว่าอาจทะลวงถึงระดับอมตะก่อนที่พลังระเบียบต้องห้ามจะปกคลุมทางเดินโบราณฟ้าดาราไปนานแล้ว
หากเป็นเช่นนี้จริง พรสวรรค์ของศิษย์พี่สี่ก็วิปริตเกินไปแล้ว!
“ศิษย์น้องเห็นแล้วหรือไม่ เจ้าเฒ่าสองคนนี้ล้วนอยู่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นกลาง อันที่จริงด้วยอายุของพวกเขา ตอนนี้เพิ่งฝึกปราณถึงขั้นนี้ ภายหน้าหากคิดก้าวหน้าขึ้นไปอีกก็แทบไม่มีความหวังอะไรแล้ว”
หลิงเสวียนจื่อเอ่ยปากเนิบๆ ประดุจเทพศักดิ์สิทธิ์กำลังชี้บ่งภูผาธารา
มือเขาถือสามพันเคลื่อนคล้อย ชุดเขียวผ่าเผย ยามขยับมือก็เบาพลิ้วดุจเซียน
ทว่าอานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาในทุกอิริยาบถ กลับบีบคั้นจนระดับอมตะอย่างอวิ๋นจิ่วเวยและลี่ซางจวินแทบจะเงยหน้าไม่ขึ้น
ตูม!
ฟ้าดินพลิกคว่ำ แสงมรรคอมตะม้วนแผ่ โลกทั้งใบล้วนเหมือนกำลังพังถล่มไม่หยุด เจียนจะพินาศย่อยยับ
“ฆ่า!”
อวิ๋นจิ่วเวยสีหน้าอึมครึมไม่น่าดู กระชับกระบี่โรมรัน กระบี่เทพที่ดุจประกายเพลิงลุกโหมสะบัดไหว ปรากฏธารเพลิงยาวราวไร้สิ้นสุด ล้วนแปลงมาจากกฎเกณฑ์อมตะ น่าพรั่นพรึงสุดขั้ว
แม้แต่มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ หากโดนแตะแม้แต่นิดยังต้องจิตสิ้นวิญญาณสลาย เพราะนั่นคือกลิ่นอายอมตะของระดับสวรรค์ขั้นเก้า แข็งแกร่งเกินกว่าจินตนาการ
“เฮอะ!”
หลิงเสวียนจื่อสะบัดแส้หางม้า ปากเอ่ยหยันก้องเก้าชั้นฟ้า
ตูม!
ในเสียงอึกทึกที่สะเทือนฟ้าดิน กระบี่เทพสีแดงสดถูกโจมตีร่วง อวิ๋นจิ่วเวยยิ่งถูกซัดกระอักเลือด เงาร่างซวนเซถอยหลัง ใบหน้าชราเริ่มซีดขาวขึ้นมา
และอีกด้านหนึ่ง บรรทัดหยกสีม่วงของลี่ซางจวินก็ร้องครวญไม่หยุด ถูกอานุภาพอัศจรรย์บนตัวหลิงเสวียนจื่อกดข่ม ไม่สามารถเฉียดใกล้
เพียงคนเดียวกลับกดอยู่เหนือหัวระดับอมตะสองคน!
ควรรู้ว่าสองคนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นพวกปลายยอดในขั้นอายุขัยเทียมฟ้า!
ในโลกยอดนิรันดร์ ผู้ที่ครอบครองกฎเกณฑ์อมตะระดับสวรรค์เหมือนอย่างพวกเขาจะถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘สวรรค์อมตะ’ ของขั้นอายุขัยเทียมฟ้า!
และผู้ที่ครอบครองกฎเกณฑ์อมตะระดับปฐพี ย่อมเป็น ‘ปฐพีอมตะ’ พลังที่ครอบครองห่างไกลไม่อาจต้านทานบุคคลระดับสวรรค์อมตะได้
ตูม โครม!
ในการต่อสู้ดุเดือด หลิงเสวียนจื่อราวกับเดินทอดน่องโบกสะบัดแส้หางม้า ประกายเงินไหลเวียนกดถล่มเวิ้งฟ้า ก็สามารถทำให้อวิ๋นจิ่วเวยกับลี่ซางจวินสองคนได้รับบาดเจ็บไม่หยุด
เมื่อเห็นภาพนี้หนานเฟยตู้และกู้หลิงเจินที่ยังไม่เคยลงมือก็ไม่กล้าชักช้า เร่งกระตุ้นมรรควิถีแล้วพุ่งเข้าไป
“โอม!”
หนานเฟยตู้ตวาดลั่น ทวนศึกสีดำเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากเหนือศีรษะเขา คมประกายเก็บงำ แต่แผ่ไอสังหารดุดันคละคลุ้งที่สามารถทำให้เทพผีแตกตื่น
ชิ้ง!
และพร้อมกันนั้นกลางฝ่ามือกู้หลิงเจิน กระบี่บินสีขาวหิมะพุ่งทะยานออกไป โคจรเบาๆ กลางอากาศ สาดกระแสปราณกระบี่ดุจระลอกคลื่นเป็นลูกๆ กระแสคลื่นแต่ละลูกเสมือนโลกมรรคกระบี่ใบหนึ่ง คลื่นที่ซ้อนทับแผ่สยาย เสมือนโลกมรรคกระบี่เป็นชั้นๆ บุกสังหารออกไป
ภาพระดับนั้นเรียกได้ว่าน่าหวาดหวั่นสะท้านยุค!
“มดปลวกสุดท้ายก็เป็นมดปลวก มาเพิ่มอีกสองคนแล้วอย่างไร” นัยน์ตาหลิงเสวียนจื่อวาวโรจน์ เหยียบย่างห้วงอากาศราวเทพศักดิ์สิทธิ์เดินท่อง แส้หางม้าขาวหิมะกลายเป็นลำแสงสว่างไสวไร้สิ้นสุด พวยพุ่งแผ่ขยาย
ตูม!
ทวนศึกสีดำส่งเสียงครวญ ถูกพลังเกรียงไกรไร้ทัดเทียมกระแทกใส่ ซัดจนเลือดลมของหนานเฟยตู้พลิกม้วน หน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่อยู่
อีกด้านโลกมรรคกระบี่ที่ดุจระลอกคลื่นเป็นลูกๆ ล้วนแตกกระจุยกลางเสียงระเบิดดังสนั่นด้วยเช่นกัน ถูกกระแสสีเงินเชี่ยวกรากไพศาลโถมซัด
กู้หลิงเจินยังเผยสีหน้ายากจะเชื่อออกมาอย่างอดไม่ได้
ควรรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาสี่คนครอบครองล้วนเป็นกฎเกณฑ์อมตะระดับสวรรค์ขั้นเก้า แม้จะมีปราณขั้นอายุขัยเทียมฟ้า แต่การบดขยี้ระดับอมตะทั่วไปก็ไม่ใช่ปัญหาโดยเด็ดขาด
ทว่าแม้ว่าเวลานี้พวกเขาจะร่วมมือกันก็ยังไม่สามารถข่มอานุภาพของอีกฝ่ายได้ ปราณของอีกฝ่ายน่าสะพรึงเพียงใดกันแน่
“ฆ่า!”
สี่คนสบตากันปราดหนึ่ง ล้วนใช้วิธีที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาโดยไม่ลังเล
ตูม!
อานุภาพอมตะประหนึ่งปกฟ้าคลุมตะวัน ม้วนแผ่สิบทิศ วิชามรรคอัศจรรย์น่าเหลือเชื่อทั้งปวงแฝงอยู่ในทวนศึก กระบี่เทพ บรรทัดหยก กระบี่บิน ทำให้ฟ้าดินแถบนี้ปั่นป่วน สรรพสิ่งหมื่นชีวิตล้วนวอดวาย
หลินสวินหน้าเปลี่ยนสี ไม่กล้ารั้งอยู่ดูการต่อสู้อีก
“อาจารย์อา พวกเราออกไปกัน” เขาฉุดคงเจวี๋ยที่กำลังกระดกเหล้าขึ้นมา แล้วขยับตัวเคลื่อนออกจากตำหนักเซียนใจกลาง ที่แห่งนี้ใกล้จะพังทลาย ไม่อาจรั้งอยู่ต่อไปได้อีก
วู้ม!
พร้อมกันนั้นเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งลอยออกมา สาดแสงมรรคไพศาลปกป้องเขาและคงเจวี๋ยไว้ภายใน
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังเหมือนอยู่ในพายุคลั่ง สี่ทิศแปดทางล้วนมีแต่ระลอกคลื่นการต่อสู้ กลิ่นอายอมตะพุ่งมาไม่ว่างเว้น ทำเอาเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งยังสั่นโคลงรุนแรง ทำให้หลินสวินแบกรับแรงกดดันมหาศาล
ระลอกคลื่นการต่อสู้เช่นนั้น ประหนึ่งสามารถทำลายล้างจักรวาลทั้งแถบ บดขยี้โลกใบหนึ่งให้พังทลายได้ หากไม่ใช่เพราะมีเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งอยู่ หลินสวินยังอดสงสัยไม่ได้ว่าด้วยมรรควิถีของตนจะสามารถต้านไหวหรือไม่
ในการต่อสู้ดุเดือด เสียงหัวเราะใสกังวานของหลิงเสวียนจื่อดังลอยมา
“ศิษย์น้องเล็ก ตั้งใจสัมผัสอานุภาพระดับอมตะนี่ไว้หน่อย นี่จะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อการฝึกปราณของเจ้าในอนาคต แน่นอน หากตอนที่ยืนหยัดไม่ไหว เจ้าแค่เอ่ยมาคำเดียว ศิษย์พี่จะเชือดเจ้าเฒ่าสารเลวสี่คนนี่ซะ”
สีหน้าของพวกหนานเฟยตู้ล้วนอึมครึมไม่น่าดูยิ่งขึ้น ตั้งแต่ต้นหลิงเสวียนจื่อก็มองพวกเขาเป็นมดปลวก วิจารณ์อย่างจาบจ้วง ทว่าในฐานะบุคคลระดับอมตะ พวกเขาเคยถูกปฏิบัติเช่นนี้เสียเมื่อไหร่
“ฆ่า!”
พวกเขายิ่งโจมตีอย่างบ้าคลั่งกว่าเดิม อานุภาพไพศาลทำให้ฟ้าดินพังครืน สรรพสิ่งย่อยยับ
อานุภาพของทุกการโจมตีแม้จะพุ่งไปที่หลิงเสวียนจื่อคนเดียว แต่หลินสวินที่ถูกระลอกคลื่นการต่อสู้ไปด้วยกลับทุกข์ทนไม่อาจบรรยาย
เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งส่งเสียงโครมคราม ถูกเขาโคจรถึงขีดสุด แต่เมื่อระลอกคลื่นการต่อสู้นั่นม้วนแผ่ออกมา ก็เสมือนกระแสคลื่นยักษ์ใหญ่เป็นเกลียวๆ ฟาดใส่ตัวหลินสวินอย่างหนักหน่วง ทำเอาเลือดลมทั่วร่างเขาปั่นป่วน เงาร่างโคลงเคลงเหมือนดื่มเหล้าจนเมาแอ๋
ควรรู้ว่าเขาเป็นถึงมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ ก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กับพวกฉีหลิงอวิ๋นก็ประหนึ่งไร้ศัตรู ฆ่าจนไม่มีใครกล้ายกตัวว่าเป็นหนึ่ง
แต่ตอนนี้แค่ระลอกคลื่นการต่อสู้บางส่วนก็ทำให้เขาเกือบรับไม่ไหวแล้ว!
ว่ากันถึงที่สุดก็ยังเป็นเพราะพลังห่างชั้นกันเกินไป
ระดับอมตะสี่คนอย่างพวกหนานเฟยตู้ อย่างไรก็เป็นพวกชั้นยอดที่ครอบครองกฎเกณฑ์อมตะระดับสวรรค์ขั้นเก้า หลินสวินสามารถยืนหยัดภายใต้คลื่นการต่อสู้ระดับนี้มาจนถึงตอนนี้ได้ ก็เรียกได้ว่าปาฏิหาริย์แล้ว
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าคงจิตสิ้นวิญญาณสลายไปนานแล้ว!
ตูม…!
ฉับพลันนั้นฟ้าดินแถบนี้จ่อมจมพังพินาศโดยสิ้นเชิง ยอดเขารที่ประหนึ่งค้ำฟ้าพังถล่ม ตำหนักเซียนใจกลางที่ตั้งอยู่บนนั้นก็ทลายลงตามไปด้วย
พลังกฎระเบียบที่ปกคลุมทั้งโบราณสถานทวยเทพระเบิดออกมาพร้อมกัน กลายเป็นกระแสกฎเกณฑ์ไร้สิ้นสุดแตกซ่านออกไป
ประดุจฟ้าพลิกดินคว่ำ!
สวบ!
ทันใดนั้นเงาร่างหลิงเสวียนจื่อที่กำลังต่อสู้กับระดับอมตะทั้งสี่พลันพริบกายมาอยู่ข้างตัวหลินสวิน ยื่นมือมาคว้าไหล่ของเขา ก่อนแหวกห้วงอากาศพุ่งทะยานขึ้นไป
“จะไปไหน!”
พวกหนานเฟยตู้ตะโกนลั่น เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศไล่ตามมาติดๆ ประหนึ่งแสงเทพอมตะสี่สาย
ตูม!
ในจักรวาลฟ้าดาราเกิดเสียงดังสนั่นคราหนึ่ง
เหล่าผู้ฝึกปราณที่รออยู่นอกโบราณสถานทวยเทพมาตลอดล้วนตกใจจนร่างสั่นเทิ้ม จากนั้นต่างพากันหันมองจุดที่มีเสียงดังลอยมา
ก็เห็นโบราณสถานทวยเทพที่ประดุจปีกผีเสื้อนั่น เวลานี้ถึงกับเหมือนถูกซัดทลาย เกิดการพังถล่มอย่างน่ากลัว ฟ้าดารากว้างใหญ่ล้วนส่งเสียงกึกก้อง กระแสปั่นป่วนไร้ทัดเทียมและเศษอุกกาบาตลอยล่อง เสมือนฟ้าดาราทั้งผืนถูกก่อกวนโดยสิ้นเชิง
“ถอยเร็ว!”
เสียงร้องดังกึกก้อง เหล่าผู้ฝึกปราณที่กระจายตัวอยู่แถวนั้นเกือบจะเผ่นหนีอย่างบ้าคลั่งตามจิตใต้สำนึก หลบหนีไปไกล ด้วยพลังทำลายล้างระดับนั้นน่ากลัวเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถต้านทานไหว
“รีบดูทางนั้น!”
ขณะเดียวกันผู้คนก็สังเกตเห็นแล้วว่าในโบราณสถานทวยเทพที่พังถล่มนั่น มีรุ้งเทพบาดตาดุจไม่เสื่อมสลายเป็นสายๆ พุ่งออกมา ประหนึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์องค์แล้วองค์เล่าปลดปล่อยอานุภาพเย้ยฟ้า กำลังโรมรันต่อสู้ดุเดือด
การพังทลายของโบราณสถานทวยเทพก็เกิดขึ้นจากศึกมรรคอมตะครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย!
นี่น่ากลัวมาก ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงว่าโบราณสถานทวยเทพยังไม่ทันปิดฉากลงจริงๆ ก็เกิดศึกใหญ่น่าตกใจเช่นนี้ขึ้น
ถึงขั้นยังทำลายโบราณสถานทวยเทพไปด้วย!
“เป็นระดับอมตะสี่คนจากสี่ตระกูลตงหวง เพียงแต่คนที่สู้กับพวกเขาเป็นใครกัน”
คนมากมายรู้จักฐานะของพวกหนานเฟยตู้ กู้หลิงเจิน แต่กลับไม่รู้ว่าเงาร่างที่กำลังต่อสู้กับระดับอมตะทั้งสี่นั่นเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์มาจากแดนใด
แต่อีกฝ่ายแข็งแกร่งมากอย่างไม่ต้องสงสัย!
ตัวคนเดียวก็รับมือการต่อสู้เข่นฆ่าจากระดับอมตะสี่คนได้ อานุภาพน่าประหวั่นเช่นนั้นทำให้ทุกคนสะท้านอย่างเลี่ยงไม่ได้
นี่ทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
“ดูนั่น คนร้ายกาจแซ่หลินก็อยู่ด้วย!”
เสียงอุทานสายหนึ่งดังขึ้น คราวนี้ทุกคนจึงสังเกตเห็นว่าในสนามรบนั่น เงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งถูกคุ้มกันอยู่ข้างตัวชายชุดเขียวคนนั้น เหนือศีรษะมีเตากระบี่ลอยอยู่ เป็นหลินสวินนั่นเอง
“คนร้ายกาจแซ่หลินไปหาที่พึ่งแข็งแกร่งเช่นนี้มาจากไหน”
คนมากมายไม่อยากเชื่อ
ก่อนหน้านี้ภาพที่พวกหนานเฟยตู้สี่คนเข้าสู่โบราณสถานทวยเทพถูกทุกคนเห็นอยู่ในสายตา ล้วนสังหรณ์ใจว่าเป็นไปได้อย่างมากที่หลินสวินจะประสบเคราะห์
แต่ภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ทำลายการคาดเดาก่อนหน้านี้ของพวกเขาไปสิ้น ทุบสมองจนแตกก็คิดไม่ถึงว่าข้างกายหลินสวินที่เหมือนโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ถึงกับยังมีผู้ยิ่งใหญ่ระดับอมตะเช่นนี้คุ้มกันอยู่!
“มิน่าถึงกล้าโอหังขนาดนั้น ที่แท้ก็เพราะมีที่พึ่ง…”
มีคนพูดเบาๆ
“เพียงแต่คนที่หลินสวินล่วงเกินไม่ได้มีเพียงสี่ตระกูลตงหวง ยังมียักษ์ใหญ่อมตะจากน่านฟ้าที่แปดเหล่านั้นด้วย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เหตุใดยังมีคนกล้าไม่สนใจความเป็นไปใต้หล้าไปปกป้องหลินสวินอยู่อีก ไม่กลัวตายหรือ”
คนมากมายตกใจแกมสงสัย
ในสนามรบ หลิงเสวียนจื่อกำลังต่อสู้กับพวกหนานเฟยตู้ ท่าทางอิสระเสรี มาดเกรียงไกรสะท้านยุค สามพันเคลื่อนคล้อยในมือเขาระเบิดอานุภาพที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมา
เพียงแต่หลินสวินที่ถูกคุ้มกันอยู่ด้านข้างกลับเป็นฝ่ายถูกกระทำยิ่ง ราวกับฟางข้าวที่ถูกมัดอยู่ในสนามรบ ร่างกายไม่เป็นดั่งใจ อึดอัดไปทั้งตัว
ระดับพลังที่ปรากฏในการต่อสู้ครั้งนี้เกินกว่าความรู้ความเข้าใจของเขาโดยสิ้นเชิง และทำให้เขาไม่กล้าแผ่จิตรับรู้ออกไปสัมผัส
ได้แต่ถูกหลิงเสวียนจื่อคุ้มครองอยู่ข้างกายอย่างคนตกเป็นรอง ทั้งยังต้องต้านทานแรงโจมตีที่เป็นผลพวงของการต่อสู้นั่นเป็นพักๆ อีกด้วย สถานการณ์ทรมานเป็นที่สุด
สุดท้ายหลินสวินก็อดกล่าวไม่ได้ “ศิษย์พี่สี่เล่นพอหรือยัง คิดจริงๆ หรือว่าข้าดูไม่ออกว่าท่านกำลังใช้โอกาสนี้ต่อยตีข้าอยู่”
หลิงเสวียนจื่อที่กำลังต่อสู้เผยแววตาพิกล มุมปากมีรอยยิ้มที่กลั้นไม่อยู่แผ่สยาย แต่ปากกลับเอ่ยพูดขึงขัง
“ศิษย์น้อง นี่ข้ากำลังให้เจ้าหยั่งรู้นัยเร้นลับของระดับอมตะอยู่ เจ้าอย่าใช้ความคิดอย่างคนถ่อยมาประเมินวิญญูชนสิ”
……………………