ระเบียบอสนีพิฆาตถือเป็นพลังระเบียบที่สมบูรณ์ ถ้าระดับอมตะได้ไป หลังจากหยั่งรู้และครอบครองนัยเร้นลับได้ ก็จะสามารถบุกเบิกสำนักในน่านฟ้าที่หก กลายเป็นขุมอำนาจอมตะแห่งหนึ่งได้อย่างก้าวกระโดด!
นี่ก็คือคุณค่าของพลังระเบียบ
แต่ตอนนี้ระเบียบอสนีพิฆาตที่หลินสวินชิงมาได้นี้ กลับกลายเป็น ‘อาหาร’ ของอู๋ซวง…
ถ้าถูกเฒ่าชราน่านฟ้าที่หกพวกนั้นรู้เข้า จะต้องอาละวาดด่าทอทำลายข้าวของแน่
แต่สำหรับหลินสวิน ไม่ถึงกับเข้าเนื้อมากมายอยู่แล้ว
ภายในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งของเขามีระเบียบนิพพาน มีเสี่ยวหมิง เสี่ยวเซียน ทั้งยังมีพลังระเบียบคำสาปที่ชิงมาจากส่วนลึกของสระเทพตก
อีกทั้งตอนนี้หลินสวินได้รู้จากปากอู๋ซวงแล้ว ว่าพลังระเบียบคำสาปนี้มีพลังคำสาปที่อหังการชั่วร้ายถึงขีดสุดอยู่ นัยเร้นลับและอานุภาพของมันสามารถเทียบได้กับระดับสวรรค์ขั้นสามไปแล้ว!
ก็เพราะเหตุนี้ หลินสวินถึงไม่ให้ระเบียบนิพพานหลอมระเบียบคำสาปนี้ ถึงอย่างไรพลังระเบียบระดับสวรรค์ก็เหนือกว่าระเบียบระดับปฐพีนัก
สรุปแล้วในสายตาหลินสวินตอนนี้ พลังระเบียบที่อยู่ต่ำกว่าระดับสวรรค์ ล้วนเป็นอาหารให้อู๋ซวง เสี่ยวหมิง และเสี่ยวเซียนไปทั้งหมด
มีเพียงพลังระเบียบระดับสวรรค์ขึ้นไปถึงควรค่าแก่การเก็บไว้
“สมบัติของเจ้าเฒ่านี่จะน่าอนาถเกินไปแล้ว…”
ระหว่างที่อู๋ซวงหลอมและดูดซึมระเบียบอสนีพิฆาต หลินสวินก็ไม่ได้อยู่ว่าง เริ่มสะสางทรัพย์หลังศึกที่ได้มาจากจู้ฮุย
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ ระดับอมตะเช่นนี้กลับมีแต่ศาสตรามรรคอมตะชิ้นเดียวที่เรียกได้ว่าเข้าตา แม้สมบัติอื่นๆ ของเขาจะมูลค่าไม่ธรรมดา แต่กลับไม่มีสิ่งไหนที่มีประโยชน์กับการฝึกปราณของหลินสวิน
หลินสวินโยนสมบัติที่หลอมจากวัตุอมตะนั้นเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง แล้วเคลื่อนตัวตรงดิ่งออกจากโกรกธารมหึมาแห่งนี้
หลังจากระเบียบอสนีพิฆาตถูกสยบ พลังกฎระเบียบที่มีอยู่ทั่วเขตผนึกนิรันดร์โรยแห่งนี้ก็หายไปแล้ว ทำให้หลินสวินกลับออกไปนอกโกรกธารได้อย่างสะดวกตลอดทาง
‘พวกนี้ถึงเป็นของดีสินะ…’
นอกโกรกธารหลินสวินตาลุกวาว สายฟ้าสีเทาขาวเป็นสายๆ ที่ตัดกันอยู่กลางอากาศ ระเบิดเพลิงระเบียบเป็นริ้วๆ ออกมาระหว่างที่ปะทะกัน
ด้วยมรรควิถีของเขาในตอนนี้ ไม่อาจเอาพลังระเบียบมาใช้หรือควบคุมได้ แต่กลับเก็บรวมรวมเพลิงระเบียบมาสังหารศัตรูได้!
“ทะยาน!”
เมื่อเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทะยานออกมา หลินสวินก็เริ่มเคลื่อนไหว
การเก็บรวมรวมแต่ละครั้งก็เหมือนลองเฉียดใกล้ความตายอย่างบ้าระห่ำ ทั้งอันตรายและท้าทาย แต่เมื่อได้เห็นเพลิงระเบียบที่ถูกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งกำราบไปเหล่านั้น ความรู้สึกได้เก็บเกี่ยวเต็มเปี่ยมเช่นนั้นก็ทำให้หลินสวินรู้สึกว่า ต่อให้เป็นการรนหาที่ตายไปสักหน่อย… ก็คุ้มนัก
ผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆ
เพลิงระเบียบที่ตัดสลับกันกลางอากาศนั้นแทบหาไม่เจอแล้ว
หลินสวินถึงจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
ตอนนี้ภายในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งของเขา แค่เพลิงระเบียบที่เก็บรวบรวมมาได้ก็มีเกือบสี่ร้อยสาย ปริมาณเรียกได้ว่าน่าตกใจ!
……
สำนักศึกษาสองลักษณ์
“ตั้งเดือนหนึ่งแล้ว แต่ทำไมผู้อาวุโสจู้ฮุยถึงยังไม่กลับมา หรือจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น”
ภายในตำหนักหลังหนึ่ง หงอิ้งเหอทูตท่องสวรรค์ตระกูลหงนิ่วหน้า
“ออกจะผิดปกติจริงๆ”
ข้างๆ กันดวงตาของเฮ่อโหย่วฟางที่กำลังดื่มสุราอยู่เจือแววประหลาด “แต่ไหนแต่ไรมาระดับอมตะที่ตายด้วยพลังระเบียบ… ก็พบเห็นได้ไม่น้อย”
หงอิ้งเหออึ้งไป เอ่ยคล้ายครุ่นคิดว่า “ดูเหมือนสหายยุทธ์ไม่ได้อยากเห็นผู้อาวุโสจู้ฮุยกลับมาใช่ไหม”
เฮ่อโหย่วฟางแค่นหัวเราะ เอ่ยตอบไม่ตรงคำถาม “ก่อนหน้านี้ไม่นานตระกูลจู้เพิ่งได้พลังระเบียบระดับสวรรค์ไป หากไม่ผิดคาด ประเดี๋ยวทั้งตระกูลก็จะย้ายไปตั้งรกรากที่น่านฟ้าที่เจ็ด เรื่องนี้ทำให้ขุมอำนาจใหญ่ในน่านฟ้าที่หกไม่น้อยต่างอิจฉา…”
เขาหยุดไป มองหงอิ้งเหอปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ถ้าหากพูดแทงใจดำ จากที่ข้าดู เกรงว่าสหายยุทธ์ก็คงดีใจที่ได้ยินข่าวร้ายของจู้ฮุยด้วยกระมัง”
หงอิ้งเหอหรี่ตาลง จากนั้นพลันยิ้มเอ่ย “ในใจเข้าใจกันเองก็พอ ไยต้องพูดออกมาด้วย”
เฮ่อโหย่วฟางหัวเราะลั่น “แต่จะว่าไป ข่าวร้ายย่อมไม่แพร่กลับมา ถึงอย่างไรคราวนี้จู้ฮุยก็เคลื่อนไหวคนเดียว ต่อให้ประสบเคราะห์จริงก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาตายอย่างไร”
หงอิ้งเหอพยักหน้า จู่ๆ สายตาก็มองไปยังเหลิ่งชิงเสวี่ยซึ่งนั่งอยู่ในที่นั่งต่ำลงไป เอ่ยว่า “ชิงเสวี่ย เรื่องนั้นเจ้าไตร่ตรองเช่นไรบ้าง”
หลายวันก่อนนางได้เสนอว่า ถ้าเหลิ่งชิงเสวี่ยตกลงก็จะพานางไปฝึกปราณที่น่านฟ้าที่หกด้วยกัน แต่เงื่อนไขก็คือ เหลิ่งชิงเสวี่ยต้องเป็นอนุภรรยาของคนชั้นสูงในตระกูลหงผู้หนึ่ง
อนุภรรยา!
แท้จริงแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับของเล่น
ให้บรรพจารย์จักรพรรดิที่รูปลักษณ์โดดเด่น ภูมิหลังไม่ธรรมดาผู้หนึ่งลดตัวไปเป็นอนุภรรยา เห็นชัดว่าข้อเสนอเช่นนี้เจือนัยดูหมิ่น
แต่ในความคิดหงอิ้งเหอแล้ว สิ่งที่นางทำนี้เป็นการช่วยเหลือเหลิ่งชิงเสวี่ย!
เพราะคนธรรมดาทั่วไปไม่มีสิทธิ์ได้เป็นอนุภรรยาของคนชั้นสูงตระกูลหงอยู่แล้ว
ดวงตาเฮ่อโหย่วฟางก็มองเหลิ่งชิงเสวี่ยเช่นกัน คล้ายตรวจดูสิ่งของแล้วเอ่ยว่า “รูปลักษณ์ของผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดายิ่งจริงๆ เพียงแต่ถ้านางไปกับเจ้าแล้ว ภายหน้าน่านฟ้าที่หนึ่งแห่งนี้ใครจะมารับใช้ตระกูลหงของพวกเจ้า”
หงอิ้งเหอยิ้มพูด “บนโลกนี้คางคกสามขาหายาก แต่คนที่ยินดีรับใช้ตระกูลหงของข้าหาได้เป็นกำ”
และยามนี้เนี่ยชิงหรงซึ่งนั่งอยู่อีกด้านของเหลิ่งชิงเสวี่ยเอ่ยเสียงนอบน้อมว่า “ใต้เท้า ชิงเสวี่ยสนใจแต่ฝึกปราณ เกรงว่าจะไม่อาจเป็นอนุภรรยาได้ดี หากภายหน้าก่อความยุ่งยากอะไรเข้า จะกลับกลายเป็นนำพาความวุ่นวายมาสู่ตระกูลหง”
หงอิ้งเหอสีหน้าอึมครึมกล่าวว่า “ที่นี่เจ้ามีสิทธิ์เอ่ยปากด้วยหรือ”
เนี่ยชิงหรงตัวแข็งทื่อ ก้มหน้าลง “ขอใต้เท้าคลายโทสะด้วย”
กลับพบว่าเหลิ่งชิงเสวี่ยที่ไม่พูดจาสักคำมาโดยตลอดสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “ใต้เท้า ข้าอยากตั้งใจฝึกปราณที่น่านฟ้าที่หนึ่งต่อ”
ก็ด้วยการปฏิเสธเช่นนี้ ทำให้หงอิ้งเหอสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู
เฮ่อโหย่วฟางหัวเราะหยัน “เด็กน้อย เจ้ารู้ไหมว่าโอกาสเช่นนี้หายากขนาดไหน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่ายื้อแย่งแทบตายยังไม่ได้มา ข้าขอเตือนให้เจ้าไตร่ตรองอีกครั้ง ถ้าได้เข้าไปฝึกปราณในตระกูลหง นั่นก็เป็นถึงโชคดีเท่าฟ้า กลับกันถ้าเจ้าอยู่ที่น่านฟ้าที่หนึ่งแห่งนี้ไปตลอด ชาตินี้ย่อมไม่มีทางบรรลุมรรคาอมตะ”
เหลิ่งชิงเสวี่ยเม้มปาก ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ดูดื้อดึงและหนักแน่น
นี่ทำให้เฮ่อโหย่วฟางยังแปลกใจอย่างอดไม่ได้
ส่วนสีหน้าหงอิ้งเหอก็อึมครึมยิ่งนัก กล่าวว่า “ไม่รู้ดีชั่วเสียจริง! ช่างเถอะ ข้าก็ไม่บังคับเจ้า ภายหน้าตำแหน่งรองเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษาสองลักษณ์นี้ของเจ้าก็ยกให้คนอื่นไปเถอะ”
ประโยคเดียวเท่ากับปลดตำแหน่งรองเจ้าสำนักของเหลิ่งชิงเสวี่ย!
เหลิ่งชิงเสวี่ยสีหน้าหมองหม่น ไม่ได้พูดอะไร แต่ความผิดหวังอย่างบอกไม่ถูกกลับผุดขึ้นในใจ
นี่ก็คือตระกูลหงที่นางรับใช้มาตลอดหรือ
นี่ก็คือโฉมหน้าของขุมอำนาจใหญ่น่านฟ้าที่หกหรือ!
ในสายตาของพวกเขา บรรพจารย์จักรพรรดิอย่างตน… สุดท้ายก็เป็นหมากที่จับวางได้ตามใจชอบอยู่ดีสินะ…
เนี่ยชิงหรงทนไม่ไหวอีกต่อไป เอ่ยปากขอความเมตตา
“ใต้เท้า หลายปีนี้ชิงเสวี่ยทำงานให้ตระกูลหงมาตลอด ต่อให้ไม่มีความดีความชอบใหญ่โตอะไรก็ไม่เคยทำผิดร้ายแรง ขอท่านมีเมตตาให้โอกาสชิงเสวี่ยสักครั้งเถอะ”
เผียะ!
ใบหน้าผุดผาดงามล้ำของเนี่ยชิงหรงถูกตบผ่านอากาศไปฉาดหนึ่ง นางถูกตบจนร่างโซเซแทบกลิ้งลงไปกับพื้น
เมื่อมองดูใบหน้านางอีกครั้ง ก็บวมแดงเลือดไหลไปแล้ว!
“ข้าบอกแล้ว ที่นี่เจ้าไม่มีสิทธิ์เอ่ยปาก วอนโดนตบ!” ดวงตาหงอิ้งเหอมีแต่แววดูถูกอันเย็นชา
ไฟโทสะที่ไม่อาจบรรยายได้ผุดขึ้นในใจเนี่ยชิงหรง เป็นบรรพจารย์จักรพรรดิเหมือนกัน แต่ในสายตาของคนตระกูลหงอย่างหงอิ้งเหอ นางเนี่ยชิงหรงกลับเป็นพวกที่สามารถเหยียบย่ำได้อย่างกำเริบเสิบสานเหมือนเป็นมดตัวจ้อย
“เนี่ยชิงหรง เรื่องของตระกูลหงเจ้าอย่าไปแทรกแซงอีก หาไม่แล้วข้าก็คุ้มครองเจ้าไม่ได้” เฮ่อโหย่วฟางแค่นหัวเราะ
เนี่ยชิงหรงใจสะท้าน หลายปีนี้นางทำงานให้ตระกูลเฮ่อมาตลอด แต่สิ่งที่ได้กลับมา… ก็คือผลลัพธ์เช่นนี้หรือ
“ถ้าตำแหน่งของชิงเสวี่ยถูกปลดไป เช่นนั้นข้าก็ไม่เป็นเจ้าสำนักของสำนักศึกษาสองลักษณ์นี้แล้ว” เนี่ยชิงหรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกัดฟันเอ่ยปาก
เฮ่อโหย่วฟางอึ้งไป คล้ายไม่คาดคิดว่าเนี่ยชิงหรงจะถึงกับกล้าข่มขู่เช่นนี้ ทำเอาเขาโมโหจนหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“นางคนชั้นต่ำ! เจ้านึกว่าเจ้าสำคัญมาจากไหน หลายปีนี้ถ้าไม่ได้ตระกูลเฮ่อของข้าสนับสนุน เจ้าจะมีวันนี้ได้อย่างไร ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ ยังกล้ามาขู่ข้า ช่างรนหาที่ตาย!”
กลิ่นอายน่าครั่นคร้ามแผ่ออกจากร่างเฮ่อโหย่วฟาง ไอสังหารไหววูบในดวงตาเขา “ข้าให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย จะก้มหัวรับโทษหรือจะให้ข้าทำลายปราณเจ้าทันที!”
ใบหน้างามของเนี่ยชิงหรงแปรเปลี่ยนไม่ว่างเว้น แววตาอับแสง
เหลิ่งชิงเสวี่ยกลับร้อนรนแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะนาง ทำให้ใจนางเหมือนถูกกรีดแทง จะให้นางมองดูเนี่ยชิงหรงลำบากต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร
นางเงยหน้าขึ้นมองหงอิ้งเหอ เอ่ยว่า “ใต้เท้า ข้า… ตกลง!”
เมื่อพูดคำนี้ออกไป ตัวนางเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ในใจหมองเศร้าถึงที่สุด
“เพิ่งมาตกลงเอาตอนนี้หรือ สายไปแล้ว!”
หงอิ้งเหอแววตาเหี้ยมเกรียม “ข้าให้เจ้าไปเป็นอนุภรรยาเป็นการให้โอกาสเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รู้ว่าอย่างไรเรียกว่าเห็นคุณค่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสนี้ก็ให้คนอื่นไปก็แล้วกัน”
“จะปล่อยพี่สาวข้าไปได้หรือไม่” เหลิ่งชิงเสวี่ยร้อนรน
เฮ่อโหย่วฟางยิ้มเสแสร้งเอ่ยว่า “คนเราต้องฉลาดรู้ตน บรรพจารย์จักรพรรดิแล้วอย่างไร ในสายตาของเผ่าจักรพรรดิอมตะอย่างพวกเราก็ไม่ต่างอะไรกับมดตัวจ้อย!”
“ข้าไม่มีทางก้มหัวรับโทษ”
เนี่ยชิงหรงยืนขึ้นทันที แววตาเย็นชา “เป็นบรรพจารย์จักรพรรดิเหมือนกัน อาศัยอะไรให้พวกเจ้าวางตัวสูงส่ง เจ้าเฮ่อโหย่วฟางโอ้อวดคุยโตต่อหน้าข้า แต่ในสายตาของคนใหญ่คนโตน่านฟ้าที่เจ็ดเหล่านั้น เกรงว่าก็คงไม่ต่างอะไรกับมดตัวจ้อยที่เจ้าพูดมากระมัง”
“และในสายตาของสิบยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปด เจ้า… นับเป็นตัวอะไร”
“เจ้าหาที่ตาย!”
เฮ่อโหย่วฟางบันดาลโทสะ โกรธเกรี้ยวจนผมชี้ตั้ง กระโจนตัวออกไปตบเนี่ยชิงหรงทันที
การโจมตีที่เจือความโมโหนี้มีไอสังหารซัดสาด แสงมรรคเดือดพล่าน น่ากลัวถึงขีดสุด
เนี่ยชิงหรงหายใจยังติดขัด แต่กลับไม่หวั่นกลัว นางทุ่มสุดตัวไปแล้วจะยังกลัวอะไรอีก
ก็แค่ตายหนเดียวเท่านั้น!
เพียงแต่ยามที่นางคิดจะเอาชีวิตเข้าแลกนี้เอง เสียงอันเรียบเฉยเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“บอกว่าเจ้านับเป็นตัวอะไร เจ้ายังไม่ยอมหรือ”
เงาร่างสูงตระหง่านสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ แขนเสื้อปลิวสะบัดพร้อมกับเสียง
ตูม!
พลังฝ่ามือที่โจมตีลงมานั้นสาดกระจายเหมือนสายฝน อ่อนแออย่างกับกระดาษเปื่อยในทันที
ด้านเฮ่อโหย่วฟางที่อยู่ไกลออกไปถูกพลังสะบัดแขนเสื้อนี้ซัดกระเด็นออกไปโดยพลัน กระแทกเข้ากับผนังไกลๆ ตัวเขาถูกฝังอยู่ในผนังท่ามกลางเศษซากปลิวว่อน
เขากระอักเลือดออกปากจมูก ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด กระดูกทั้งตัวหักไปไม่รู้กี่ท่อน ร่างกายยังกระตุกเกร็งอย่างรุนแรง สีหน้าเต็มไปด้วยแววกราดเกรี้ยวและตกตะลึง
ใคร!
เจ้าหมอนั่นเป็นใคร!
——