บทที่ 2558

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เย่เฉินถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ในเมื่อจิตใจแกอ่อนแอขนาดนี้ งั้นฉันจะสะกดจิตแกแล้วกัน”

พูดจบ เขาใช้นิ้สกัดจุดบนหน้าผากอีกฝ่าย แล้วพูดว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หน้าที่เดียวของแกคือ ทำตามคำสั่งของฉันอย่างเต็มที่ โดยไม่
สนใจอะไรทั้งนั้น เข้าใจหรือยัง”

ตอนนี้ ดวงตาของอีกฝ่ายดูเหม่อลอย ผ่านไปสิบวินาที่ จึงกลับเป็นปกติ เขาพูดกับเย่เฉินอย่างนอบน้อม “เข้าใจแล้วครับ!”

ตอนนี้เขาไม่มีท่าทีสติแตกเหมือนเมื่อครู่ เขาไม่พูดติดอ่าง และขาไม่สั่นอีกแล้ว

เย่เฉินถึงกับโล่งใจ เขาชี้ไปยังคนที่นอนอยู่บนน แล้วพูดว่า “ถอดกางเกงของเขา แล้วพาเขาไปซ่อน แค่ไม่โดนใครจับได้ในคั่นนี้ก็โอเค
แล้ว”

“ครับ!”

อีกฝ่ายตอบรับ และรีบเข้าไปถอดกางเกงคนนั้น จากนั้นจึงแบกเขาขึ้นมา และเอาไปแอบไว้ในบ้านเก่าๆ ที่ถูกทิ้งร้างด้านข้าง
เย่เฉินสวมชุดของคนนั้น คนที่โดนเขาสะกดจิต วิ่งกลับมา และพูดกับเขาอย่างนอบน้อม “จัดการตามที่คุณสั่งเรียบร้อยแล้วครับ!”
เย่เฉินพยักหน้า แล้วถามเขาว่า “แกชื่ออะไร”

คนนั้นรีบพูดว่า “ผมชื่อไฟซาล”

เย่เฉินถามเขาว่า “ไฟซาล แกมีที่ปกปิดใบหน้าไหม”

ไฟซาลรีบล้วงเอาถุงพลาสติกในกระเป๋ ซึ่งบรรจุที่ปกปิดใบหนัาสิดำเอาไว้ จากนั้นจึงพูดว่า “อันนี้เพิ่งส่งมาเมื่อสองวันก่อน ยังไม่ได้ใช่
ครับ”

เย่ฉินพยักหน้า เขารับมา และเปิดออก เป็นที่ปปิดใบหน้า ที่คลุมทั้งศีรษะ ไม่เพียงแค่คลุมศีรษะ แต่ยังปกปิตใบหน้าจนเกือบหมด เหลือ
เพียงซ่องเล็กๆ บริเวณดวงตาเท่านั้น

เย่เฉินถามไฟซาล “ถ้าฉันใส่นนี้ จะดูแตกต่างจากคนอื่นเกินไปหรือเปล่า”

“ไม่ครับ!” ไฟซาลพูดอย่างแน่วแน่ “อันที่จริงคนจำนวนมาก ชินกับการใส่ที่คลุมศีรษะแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายจำหน้าได้ อีกทั้งยั่ง
ป้องกันลมและทราย นอกจากนั้นยังมีอิกหนึ่งเหตุผลคือ ผู้บัญชาการกลัวโดนอีกฝ่ายตัดหัว เขาจึงให้คนส่วนหนึ่งใส่ที่คลุมศีรษะเมื่อออกจาก
บ้าน ตัวเขาก็เช่นกัน จะได้ทำให้อีกฝ่ายเกิดความสับสน”

เย่เฉินถึงกับโล่งใจ หลังจากใส่ที่คลุมศีรษะ เขาพูดว่า “โอเค ตอนนี้แกพาฉันไปได้แล้ว!”

ไฟซาลพยักหน้าอย่างไม่ลังเล จากนั้นเขากัมตัวเก็บปืน AK47 ขึ้นมาทั้งสองกระบอก และยื่นปืนหนึ่งกระบอกให้เย่เฉิน จากนั้นจึงพูดว่า
“คุณพกปืนไปด้วยเถอะ!”

เย่เฉินไม่กังวลสักนิด ว่าอีกฝ่ายจะใช้ปืนโจมตีกลับ หลังจากเขารับปีน AK47 มา และทำเป็นเกี่ยวปืนไว้บนตัว จากนั้นจึงเดินไปที่ลาน
กลางหมู่บ้าน พร้อมกับไฟซาล

ระหว่างทาง ปังเอิญเจอคนและทหารลาดตระเวนจำนวนไม่น้อย มีคนจำไฟซาลด้ และทักทายเขา ถึงภายนอกไฟซาลดูเชื่องช้าเล็กน้อย
แต่โดยรวมยังถือว่าปกติ ดังนั้นจึงไม่มีใครสงสัย

ส่วนเย่ฉินที่ใส่ผ้าปิดบังใบหน้า เขาไม่พูดอะไรสักคำ แต่ก็ไม่มีใครเป็นฝ่ายทักทายเขาก่อน เพราะเมื่อคนใส่ผ้าปิดบังใบหน้า มีเพียงคน
แกายพาแ

สนิทเท่านั้น ที่จะจำได้ว่าเขาคือใคร เพราะฉะนั้น เมื่อเจอคนพวกนี้ จึงไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร และไม่มีใครเอาเขาไปเทียบกับคนที่ตัวเองรู้จัก
อันที่จริงแบบนี้กลัมปลอดภัยที่สุต เพราะกองทัพของพวกเขามีคนถึง 1-2 พันคน ไม่มีใครสนิทกับทุกคนหรอก ดังนั้นพวกเขาไม่รู้จักเย่
เฉิน และคิดว่าเย่เฉินเป็นเพื่อนร่วมรบในกองท้พ ที่พวกเขาไม่สนิทด้วย โดยไม่สงสัยสันิดว่าเย่เฉินเป็นคนนอกที่ลักลอบเข้ามา
เมื่อมาถึงข้างลานกลางหมู่บ้าน เย่เฉินพบว่า ทหารจำนวนไม่น้อยกำลังวุ่นกับเฮลิคอปเตอร์ทั้ง 4 ลำ ดังนั้นเย่เฉินจึงถามไฟซาลเสียงเบา
“คนพวกนั้นกำลังทำอะไร”

ไฟซาลรีบตอบว่า “พวกเขาเป็นทีมฮลิคอปตอร์ ทีมใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นพนักงานซ่อมบำรุง วันนี้ท้องฟ้มิดครึ้ม การมองเห็นไม่ค่อยดี
การสังเกตด้วยสายตาของเราจะอยู่กายใต้ซ้อจำกัดหลายประการ ดังนั้นอีกเดี่ยว เราจะส่งเฮลิคอปเตอร์ไปลาดตระเวนตามลำดับ เพื่อติดตามดู
ว่ามีกองกำลังของรัฐบาล แอบเข้ามาใกล้เราหรือไม่”

เย่เฉินพยักหน้า เหมือนเขานี้กอะไรได้ จึงถามว่า “ใช่สิ แกขับเฮลิคอปเตอร์เป็นหรือเปล่า”

ไฟซาลส่ายหน้า “ผมขับไม่เป็น…ผมเป็นทิมยานเกราะ ทิมใหญ่ ขับรถถังกับยานรบทหารราบได้ครับ”

เย่เฉินพยักหน้า สำหรับเรื่องที่จะพาเฮ่อจื่อซิวหนีออกมา หลังจากช่วยเธอได้ ตอนนี้เย่เฉินยังไม่มีวิธีที่แน่ชัด

ถ้าช่วยเฮ่อจือซิวเพียงคนเดียว ยังพอพูดง่าย เขาสามารถแบกเธอหนีออกไปอย่างเงี่ยบๆ แล้วค่อยเดินตามทางภูเขาสิบกว่ากิโลเมตร ไป
ยังสถานที่ที่นัดกับเฉินจี๋อข่ายเอาไว้ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

แต่ถ้าต้องช่วยเฮ่อจือซิว กับเพื่อนอีกเจ็ดคนของเธอ ใช้กำลังของเขาเพียงคนเดียวคงยาก

เมื่อคิตถึงตรงนี้ เขาทิ้งปัญหาเอาไว้ก่อน และพูดในใจว่า “ตอนนี้ม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ ไว้เจอคนก่อน แล้วค่อยว่ากัน!”