ตอนนั้นที่พาซูโสว่เต้าไปยังซีเรีย เย่เฉินเองก็ไม่ทราบว่า ฮามิดจะเจอเรื่องใหญ่เช่นนี้เหมือนกัน ผู้นำทหารติดอาวุธเล็กๆ ที่มีเพียงสองถึงสามพันคนเท่านั้น ก็คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกสำนักว่านหลงที่มีทหารแกร่งนับหมื่นนายล้อมเอาไว้ได้ ในซีเรียก็น่าจะเป็นครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้นเช่นกัน เย่เฉินเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ว่าหลังจากที่ผ่านไปไม่นาน ตนยังจะต้องแอบเข้าไปยังซีเรียลับๆ อีกครั้ง ครั้งที่แล้วที่แฝงตัวเข้าไปในซีเรีย ก็คือต้องการที่จะพาตัวเฮ่อจือชิวกลับมา ครั้นครั้งนี้ กลับเปลี่ยนเป็นซูโสว่เต้า เฉินจื๋อข่ายได้ยินเย่เฉินว่าต้องการจะไปซีเรีย ก็เอ่ยอย่างตื่นตระหนกขึ้นทันใด: “คุณชาย ช่วงนี้สถานการณ์ที่ซีเรียไม่ค่อยสงบนัก ทำไมตอนนี้คุณต้องการไปที่นั่นอีกล่ะ?” เย่เฉินยักไหล่ เอ่ยพร้อมถอนหายใจเบาๆ : “ฉันต้องการรับซูโสว่เต้ากลับมาก่อนวันเช็งเม้ง แบบนี้ถึงจะไม่ทำให้ขัดจังหวะสำหรับเขาไปภูเขาเย่หลิงซานขอโทษพ่อแม่ฉันในวันเช็งเม้ง” เฉินจื๋อข่าย เอ่ย: “คุณชาย ผมได้ยินมาว่าตอนนี้ฮามิดกำลังผิดใจต่อสำนักว่านหลง ทั้งฐานทัพต่างก็ถูกล้อมไว้หมดแล้ว ต่อท่านคุณเข้าไปได้ แต่การนำตัวไอ้หมาซูโสว่เต้าออกมาด้วยมันไม่ง่ายเลยนะ!” เย่เฉินเอ่ยอย่างฉงน: “เหล่าเฉิน นายก็ติดตามสถานการณ์ทางซีเรียด้วยเหรอ?” เฉินจื๋อข่ายพยักหน้า เอ่ยว่า: “หลังจากที่ติดตามคุณไปครั้งนั้น ผมก็สนใจฮามิดขึ้นมา เพราะงั้นเลยติดตามสถานการณ์อยู่ค่อนข้างเยอะน่ะ” สิ้นเสียง เฉินจื๋อข่ายเอ่ยขึ้นอีก: “อีกทั้งผมอยู่ที่ตระกูลเย่มาตั้งหลายปี ทำงานรวบรวมสถานการณ์เป็นหลักนี่ครับ เพราะงั้นเลยมีช่องทางรับข่าวคราวของต่างประเทศด้วยนิดหน่อย” เย่เฉินพยักหน้า เอ่ยถามเขา: “ถ้างั้นฉันขอถามนายหน่อย นายรู้จักสำนักว่านหลงนั่นมากน้อยแค่ไหน?” เฉินจื๋อข่ายเอ่ยอธิบาย: “สำนักว่านหลงถือว่ามีชื่อเสียงมากในต่างประเทศปีก่อน เริ่มแรกพวกเขาเหมือนว่าจะเริ่มก่อตั้งรกรากที่อเมริกาใต้ ซึ่งทางนั้นมีผู้ค้ารายใหญ่เยอะมาก วุ่นวายมาเป็นเวลานานหลายปี เหมาะมากสำหรับการพัฒนาทหารติดอาวุธเอกชนรวมถึงทหารกองโจร ทหารรับจ้าง ต่อมาพวกเขาหลังจากที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วจึงออกจากอเมริกาใต้ เริ่มเคลื่อนทัพไปยังแอฟริกาและตะวันออกกลาง ที่ไหนมีสงครามวุ่นวายที่นั่นก็จะมีพวกเขา หลายปีมานี้ขอบเขตใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ” เย่เฉินเอ่ยถามอย่างสงสัย: “นายรู้ไหมว่าคนที่ควบคุมที่แท้จริงของสำนักว่านหลงคือใคร?” “เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” เฉินจื๋อข่ายเอ่ย: “เจ้าหมอนั่นทำตัวลึกลับมาตลอด ไม่มีข้อมูลส่วนบุคคลเล็ดลอดออกมาเลย สิ่งเดียวที่สามารถยืนยันได้ก็คือ ผู้ก่อตั้งสำนักว่านหลงนี้เป็นชาวผิวเหลือง ได้ยินมาว่าเป็นเชื้อสายจีน” เย่เฉินพยักหน้าเอ่ยว่า: “อืม เป็นไปได้ว่าเป็นเชื้อสายจีน ไม่งั้นก็คงไม่ตั้งชื่อแบบนี้หรอก” เฉินจื๋อข่ายเอ่ยขึ้นอีก: “คุณชาย ได้ยินมาว่าสำนักว่านหลงมีผู้มีฝีมือเยอะมากล้นฟ้า ถ้าคุณไปเจอกับคนพวกนี้ จะต้องระมัดระวังด้วยนะครับ” เย่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ: “อันที่จริงฉันสนใจในสำนักว่านหลงอยู่พอสมควรเลยแหละ กองทัพทหารติดอาวุธรับจ้างหลายหมื่นนาย อยู่ในแดนภายนอกกฎหมาย พละกำลังไม่ควรที่จะดูแคลนได้เลยจริงๆ ประจวบกับครั้งนี้จะได้ถือโอกาสหยั่งเชิงสำนักว่านหลงนี่ดูเหมือนกัน ดูว่าทหารฝีมือดีของพวกเขาจะอยู่ในระดับไหนกันแน่” สิ้นเสียง เย่เฉินก็หรี่ตาลงเล็กน้อย เอ่ยอย่างหยอกล้อ: “ฉันคิดว่าสำนักว่านหลงนี่จะต้องมีควาสัมพันธ์บางอย่างกับซูเฉิงเฟิงแน่ แต่ว่าตอนนี้ไม่รู้แน่ชัด ตอนนี้ซูเฉิงเฟิงจะต้องอยากให้ฉันปรากฏตัวขึ้น เพราะงั้นฉันเลยอยากจะได้ไปสืบดูความจริงเท็จของสำนักว่านหลงพอดี” เฉินจื๋อข่ายรีบเอ่ย: “ถ้างั้นผมไปกับคุณด้วยนะ!” เย่เฉินโบกมือ: “นายไม่ต้องตามฉันไปหรอก ตอนนี้สถานการณ์ที่ซีเรียแตกต่างจากเดิม พวกนายอาจจะทำเหมือนครั้งก่อนไม่ได้ด้วย ที่จะโดยสารเฮลิคอปเตอร์เข้าสู่ประเทศจากปารีส ถึงตอนนั้นหลังจากที่ฉันเข้าไปแล้ว ก็ต้องคิดหาวิธีออกมาเองด้วย ไปคนเดียวปลอดภัยกว่า” เฉินจื๋อข่ายถอนหายใจ เอ่ยว่า: “ก็แค่ไอ้หมาแก่ซูโสว่เต้านั่นจัดการยากเกินไป คุณเข้าไปคนเดียวไม่มีปัญหาใหญ่แน่นอน แต่ถ้าพาเขาออกมาด้วย ผมกลัวจริงๆ ว่าเขาจะเป็นตัวถ่วงคุณ” เย่เฉินยิ้ม เอ่ยอย่างหยอกล้อ: “แล้วจะทำยังไงล่ะ? ฉันรับปากซูจือหยูไว้แล้วว่าจะไว้ชีวิตที่ต้อยต่ำนี้ของเขาไว้ คงไม่มีทางที่จะไปถึงแล้วก็นำเขาบรรจุในอัฐิกลับมาหรอกมั้ง?” เฉินจื๋อข่ายกัดฟันกรอด เอ่ยอย่างจริงจังว่า: “ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ป้ายสีไปให้ฮามิดหรือว่าสำนักว่านหลง”