วางสายเสร็จ ถึงแม้ซูเฉิงเฟิงจะโล่งอก แต่ใบหน้าของเขากลับเสียมาก

เกาะของมัลดีฟส์ เป็นเพียงสิ่งที่เขาพูดๆไปเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าซูจือหยูจะรวบเก็บทั้งหมดจริงๆ อีกทั้งยังรอเวลาโอนย้ายชื่อแทบไม่ไหว สิ่งนี้มันทำให้หัวใจของเขารู้สึกเจ็บปวดมาก

นี่คือสถานที่ที่เขาไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต และความสำคัญของมัน ก็ไม่น้อยไปกว่าโลงศพที่คนเฒ่าคนแก่เตรียมไว้ให้ตัวเอง

คนโบราณกล่าวไว้ว่า ก่อนจะตาย ต้องเตรียมโลงศพที่ราคาแพงแสนแพงไว้ให้กับตัวเอง มีคนแก่จำนวนมากที่เห็นโลงศพสำคัญกว่าชีวิตของตัวเอง เพราะหลังจากที่ตายแล้วต้องนอนหลับใหลในโลงศพ ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ ใครจะไปยอมยกให้คนอื่นง่ายๆกันล่ะ

คนในปัจจุบันถึงแม้จะไม่เห็นเรื่องหลังความตายเป็นเรื่องที่สำคัญมากนัก แต่ค่อนข้างเห็นความสำคัญของการใช้ชีวิตในบั้นปลายชีวิต ใครๆก็อยากสามารถดูแลชีวิตของตัวเองได้ในยามแก่ชรา ดังนั้นคนจำนวนมากถึงได้พยายามขึ้นเหนือล่องใต้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อเตรียมไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต

ซูเฉิงเฟิงก็เหมือนกัน เขาพยายามพัฒนาเกาะอย่างใส่ใจ เพื่อจะได้ใช้เพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตอย่างหรูหราที่สุดในบั้นปลายชีวิต

แต่เมื่อเห็นว่าตัวเองยังไม่ทันได้เกษียน เกาะนี้ก็ต้องยกให้ซูจือหยูไป

ถึงแม้จะรู้สึกเสียดาย แต่เมื่อคิดถึงเรื่องซูจือหยูอาจจะช่วยเขาพูดได้ ทำให้ตนไม่ต้องหนีเอาตัวรอดอย่างอกสั่นขวัญหาย เขาก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย

และอีกด้านหนึ่ง ซูจือหยูไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นดีใจกับการได้รับเกาะนี้เลย

สำหรับเธอแล้ว เธอแค่อยากให้ซูเฉิงเฟิงรู้สึกเจ็บปวดเท่านั้น สำหรับเกาะนี้หลังจากที่โอนย้ายให้เธอแล้ว ตนก็ไม่มีกะจิตกะใจไปพักผ่อนหรอก

อีกทั้งเธอรู้ดี แม่ของเธอยิ่งไม่มีทางไปที่นั่น

แม่ของเธอไม่ได้สนใจเรื่องการใช้ชีวิตอย่างหรูหราอยู่แล้ว ดังนั้นความหวังสูงสุดของเธอในตอนนี้ก็คือการได้ไปพักผ่อนอะไรทำนองนี้ และรีบซ่อมแซมบ้านที่เย่ฉางอิงเคยพักอาศัยให้เสร็จโดยไว หลังจากนั้นก็ค่อยเข้าไปพักเพื่อระลึกถึงคนที่จากไป

ดังนั้น เธอจึงพูดกับเย่เฉินว่า“คุณเย่คะ เกาะมัลดีฟส์นั่น ปู่ของฉันพยายามสร้างมันอย่างสุดจิตสุดใจ บรรยากาศดีมากเลยค่ะ แต่ฉันกับแม่เราไม่สนใจมันหรอกค่ะ ฉันขอยกมันให้กับคุณนะคะ”

เย่เฉินโบกมือไปมาแล้วหัวเราะ“คุณไม่สนใจ ผมก็ไม่สนใจหรอกครับ สำหรับผมแล้ว การใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น อันที่จริงไม่ได้ต่างจากการใช้ชีวิตที่แท้จริงเท่าไร”

ซูจือหยูพูดปากไม่ตรงกับใจว่า“ถ้าคุณมีเวลา ก็พาภรรยาและครอบครัวไปพักผ่อนที่นั่นได้นะคะ ไม่อย่างนั้นเกาะก็จะทิ้งไว้เสียเปล่า”

เย่เฉินหัวเราะแล้วกล่าวว่า“ผมน้อมรับความหวังดีครับ สำหรับเรื่องที่ว่าจะไปหรือไม่ ค่อยว่ากันอีกทีเถอะครับ”

ซูจือหยูพยักหน้า แล้วกล่าวว่า“งั้นพรุ่งนี้ฉันขอเดินทางไปมัลดีฟส์ก่อนนะคะ จัดการเรื่องโอนย้ายให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ค่อยจัดการเรื่องร่วมทุนก่อตั้งบริษัทให้แล้วเสร็จ”

เย่เฉินกล่าว“ได้ครับ สองวันนี้ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ เนื่องจากยังต้องเตรียมงานอีกมากมาย เดี๋ยวผมค่อยให้คนที่รับผิดชอบธุรกิจในส่วนนี้ติดต่อกับคุณนะครับ จากนี้ไปพวกคุณสองคนจะต้องร่วมมือกัน บริหารกิจการขนส่งทางทะเลด้วยกัน”

“ค่ะ!”ซูจือหยูรีบพูดขึ้นมาว่า“จือหยูจะฟังคุณทุกอย่างค่ะ”

……

หลังจากที่ซูจือหยูคุยจบ เย่เฉินก็ให้เอมิ อีโตะส้งเธอออกจากโรงแรมป๋ายจินฮ่านกง และเย่เฉินก็ไปหาเฉินจื๋อข่ายที่ห้องทำงานของเขา

เฉินจื๋อข่ายในเวลานี้ได้รับโทรศัพท์ หลังจากนั้นก็เดินไปข้างหน้า เอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า“คุณชายครับ ผู้จัดการส่วนตัวของคุณกู้ได้ส่งจดหมายยืนยันมาแล้วครับ และได้จองห้องพักทั้งหมดแปดสิบห้าห้อง ผู้เข้าพักหนึ่งร้อยห้าสิบคน จะทำการเข้าพักพรุ่งนี้ครับ”

เย่เฉินถามอย่างแปลกใจว่า“หนานหนานหรอ?เธอจะมาที่จินหลิงงั้นหรอ?”

“ใช่ครับ”เฉินจื๋อข่ายกล่าว“อีกสามวันจะถูกวันจัดคอนเสิร์ตของคุณกู้แล้วครับ ทีมงานของเธอจะมาตรวจสอบสถานที่ในวันพรุ่งนี้ วันมะรืนทำการซ้อม และวันที่สามก็จะเปิดคอนเสิร์ตครับ”