พูดจบ เย่ฉางหมิ่นก็นึกถึงเรื่องความทุกข์ทรมานในตอนนั้น เธออดที่จะสะอื้นไม่ได้“ครั้งนั้นไปที่จินหลิง แม้แต่ลูกน้องของเย่เฉินยังบังอาจตบฉันเลย ทั้งชีวิตนี้ฉันไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน?อีกทั้ง ในเวลาครึ่งเดือนนั้น ฉันทำได้แค่อยู่ในห้องเช่าราคาไม่กี่ร้อยหยวนในเขตสลัม มีคนคอยจับตาดูโดยเฉพาะ ไม่ให้ฉันออกจากห้อง ห้ามซื้อของออนไลน์ กินข้าวก็ต้องใช้กินตามมาตรฐานการครองชีพที่ต่ำที่สุดของที่นั่น มันขุมนรกบนดินชัดๆ……”

จงเจิ้งทาวถึงกับตกตะลึง

เย่ฉางหมิ่นเป็นคนยังไง เขารู้ดี ถ้าขนาดเย่ฉางหมิ่นยังต้องเสียเปรียบภายใต้เงื้อมมือของเย่เฉิน มันพิสูจน์ได้เลยว่า เย่เฉินคนนี้ไม่ใช่คนที่ต่อกรได้ง่ายๆแน่ อีกทั้งยังเป็นกระดูกที่ไม่สามารถเขี้ยวได้!

ถ้าแม้แต่เย่ฉางหมิ่นยังเขี้ยวไม่ได้ ถ้าตนจัดการคงจะเป็นไปได้ยากแน่

เมื่อเขาได้ยินเสียงร้องไห้ของเย่ฉางหมิ่น เขาก็รีบพูดขึ้นมาว่า“ฉางหมิ่น ทำไมคุณไม่บอกเรื่องนี้กับผมให้เร็วกว่านี้ล่ะ?”

เย่ฉางหมิ่นถอนหายใจ แล้วพูดอย่างสิ้นหวังว่า“พูดกับคุณแล้วจะมีประโยชน์อะไร?แม้แต่ฉันยังทำอะไรเย่เฉินไม่ได้เลย ฉันจะยอมให้คุณไปรนหาที่ตายได้อีกงั้นหรอ?”

จงเจิ้งทาวกล่าวอย่างอึดอัดใจ“ยะ……ยังไงคุณก็เป็นผู้หญิงของผม ถ้าคุณบอกมา ผมจะต้องบุกน้ำลุยไฟเพื่อคุณแน่!”

เย่ฉางหมิ่นหัวเราะ“ถ้าคุณมีความคิดแบบนี้ฉันก็พอใจแล้วค่ะ แต่เย่ฉางหมิ่นคนยังฉันมีชีวิตมาได้ขนาดนี้ ใครยุ่งได้ ใครยุ่งไม่ได้ ฉันยังคงรู้ดี”

พูดจบ เย่ฉางหมิ่นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อไปว่า“เมื่อก่อนฉันก็เหมือนกับคุณนั่นแหละค่ะ คิดว่าเย่เฉินแป็นแค่คนตระกูลเย่ที่อาศัยอยู่ข้างนอกมานานหลายปี ประการแรกมาถึงจินหลิงสถานที่เล็กๆแห่งนี้ ไม่มีทางมีความสามารถอะไรแน่ สองเขาในฐานะคนในตระกูลเย่ที่อาศัยอยู่ข้างนอกมานาน พอเห็นอาที่ไม่เคยจากตระกูลเย่ไปไหน จะต้องนอบน้อมและให้เกียรติฉัน แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่า เขาไม่เห็นใครอยู่ในสายตาของเขาทั้งนั้น”

ทันใดนั้น เย่เฉินก็พูดอีกว่า“อีกทั้ง เย่เฉินไม่เพียงแต่มีความแข็งแกร่งมาก รากฐานของเขาในจินหลิงยังมั่นคงมากอีกด้วย สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ คนที่หนุนหลังของเขาไม่เพียงแค่ตระกูลเย่เท่านั้น ยังมีทั้งตระกูลกู้!กระทั่งสามารถพูดได้เลยว่า ท่าทีที่ตระกูลกู้หนุนหลังเขา เด็ดขาดกว่าพ่อของฉันอีก”

“ตระกูลกู้?!”จงเจิ้งทาวถามโพล่งออกไปว่า“ทำไมตระกูลกู้ถึงหนุนหลังเขาขนาดนี้?”

เย่ฉางหมิ่นถามกลับว่า“กู้เย้นจงกับพี่รองของฉันเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ลูกๆของทั้งสองครอบครัวมีการสัญญาหมั้นหมายกันมาก่อน เรื่องนี้คุณรู้ไหม?”

จงเจิ้งทาวกล่าวอย่างอึดอัดใจว่า“เรื่องนี้เป็นเรื่องของเมื่อยี่สิบปีก่อน ผมจะจำได้ยังไง……”

เย่ฉางหมิ่นพูดอย่างท้อใจว่า“ก่อนหน้านี้เรื่องที่กู้เย้นจงเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายใกล้ตาย คุณน่าจะรู้มั้งคะ?”

“รู้ครับ”จงเจิ้งทาวเอ่ยปากพูดว่า“ได้ข่าวว่าเขาหายอย่างมหัศจรรย์?โคตรเหลือเชื่อเลย!”

เย่ฉางหมิ่นตอบอืม แล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า“เย่เฉินเป็นคนรักษาเขาหายเอง”

“เย่เฉิน?!”คางของจงเจิ้งทาวแทบตกลงมา เขาโพล่งออกไปว่า“มะเร็งตับอ่อนเรียกได้ว่าเป็นราชาแห่งมะเร็งไม่ใช่หรอ?แม้แต่จ็อบส์ที่อยู่อเมริกายังไม่สามารถรักษาได้เลย เขาจะรักษาหายได้ยังไง?มันดูขัดกับเหตุผลไปหน่อยมั้ง!”

เย่ฉางหมิ่นหลุดขำ“เหอะๆ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตกลงเขารักษาหายได้ยังไง แต่เขารักษามันหายจริงๆ ดังนั้นเขาไม่เพียงแค่เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกู้เย้นจง และยังเป็นลูกเขยคนเดียวที่อยู่ในใจของเขาด้วย กู้เย้นจงมีลูกสาวหนึ่งคน ลูกสาวของเขาจะแต่งงานกับใคร คนนั้นก็จะเป็นทายาทผู้สืบทอดความมั่งคั่งของกู้เย้นจง ดังนั้นคุณคิดดูสิ คุณจัดการเย่เฉินได้ไหม?”

คราวนี้จงเจิ้งทาวถึงกับยอมแล้วจริงๆ

ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่า ที่แท้ลูกชายของตัวเองไปมีเรื่องกับเย่เฉินคนนั้น ซึ่งเป็นศูนย์รวมสามกองกำลัง

เย่เฉินมีกองกำลังของตัวเอง ด้านหลังของเขายังมีตระกูลเย่และตระกูลกู้คอยหนุนหลัง ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ คนทั่วทั้งประเทศที่สามารถมีเรื่องกับเขาได้คงมีไม่เยอะ นับประสาอะไรกับตนเอง?

เมื่อคิดได้อย่างนั้น ภายในใจของเขาจึงรู้สึกสิ้นหวังมาก

เมื่อเป็นแบบนี้ ลูกชายของตน คงไม่สามารถช่วยกลับมาได้แล้ว

เมื่อคิดหน้าคิดหลังแล้ว จากการพยายามดิ้นรนในตอนแรก ก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นยอมแพ้ หลังจากนั้น เขาจึงเอ่ยปากถามเย่ฉางหมิ่นว่า“ฉางหมิ่น คุณช่วยผมหน่อยได้ไหม?”

เย่ฉางหมิ่นจึงกล่าวว่า“คุณว่ามาเลย”

จงเจิ้งทาวเอ่ยปากพูดว่า“รบกวนคุณพูดกับหลานชายของคุณด้วย ผมขอพูดกับเทียนหยู่หน่อย……”