พอเห็นซูจือเฟย ซูจือหยูก็รีบหยุดสาวเท้า แล้วเบี่ยงตัวหลบ เพื่อหลีกเลี่ยงเขาจำได้

ในขณะเดียวกัน เธอก็แอบมองดูซูจือเฟยจากมุมของเธอที่ห่างออกไปประมาณยี่สิบถึงสามสิบเมตร เมื่อเห็นพี่ชายกำลังประจบสอพลอต่อหน้าเฉินตัวตัวอย่างกระตือรือร้น จู่ๆเธอก็รู้สึกขยะแขยง

เธอรู้สึกว่า ผู้ชายตระกูลซู ไม่ว่าจะทำอะไรพวกเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก

ยกตัวอย่างเช่นพ่อของเธอ ลูกสาวทั้งสองแทบจะตายอยู่ในปู่ของตัวเอง แต่ในตอนที่ปู่ของเธอต้องการให้เขาออกมาช่วย เขายังคงสามารถปล่อยวางทุกอย่างแล้วกลับไปสวมบทเป็นลูกกตัญญูของคุณปู่

สุดท้าย เขาก็แค่อยากแย่งชิงตำแหน่งทายาทของตระกูลซู

เมื่อเผชิญกับจุดประสงค์ที่อยู่ตรงหน้า ลูกสาวไม่มีความสำคัญเลย

สำหรับพี่ชาย ก็เป็นเหมือนกัน

หลายวันก่อน ตนพึ่งแน่ใจเรื่องที่ว่าเขายังคงเลือกอยู่ข้างเดียวกับคุณปู่ หลังจากที่ตนกับแม่ถูกปู่ทำร้าย

ลำพังแค่จุดนี้จุดเดียวก็สามารถดูออกแล้วว่า จะเห็นได้ว่าการแสวงหาผลประโยชน์ทับซ้อนของเขา เหมือนกับพ่อมาก

เขาปฏิบัติต่อกู้ชิวอี๋ก็เหมือนกัน

ถึงครอบครัวจะเกิดเรื่องติดต่อกันมากมาย หัวใจที่เขาไล่ตามไขว่คว้ากู้ชิวอี๋ก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆทั้งสิ้น กระทั่งเขาไม่เคยหยุดแม้แต่ครู่เดียว ในขณะนี้มีเพียงแค่ทีมงานของกู้ชิวอี๋เดินทางมาที่สนามบินเท่านั้น แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น พี่ชายของเธอก็ยังคงมาต้อนรับด้วยตัวเอง จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า เขากระตือรือร้นขนาดไหน

ซูจือเฟยเดินทางมารับคณะของเฉินตัวตัวตั้งแต่เช้า ใช้วิธีที่ไม่คาดคิดเพื่อชนะใจคนอื่น ประจบสอพลอคนรอบตัวของกู้ชิวอี๋ก่อน

เขาคิดว่า ขอแค่คนพวกนี้รู้สึกว่าตนเป็นผู้ชายที่ทำอะไรทำด้วยใจ คนพวกนี้จะต้องช่วยตนพูดต่อหน้ากู้ชิวอี๋แน่นอน

ในความคิดของเขา ผู้หญิงส่วนใหญ่ ดูเหมือนจะมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีความคิดเป็นของตัวเองหรือการยึดมั่นแน่วแน่เท่าไรนัก

ผู้หญิงส่วนมากจะเริ่มไม่ชอบผู้ชายก่อน แต่จะฟังคนที่อยู่รอบตัว ค่อยๆล้างสมอง และฟังเรื่องดีๆของผู้ชายคนนั้น ภายในใจของเธอจะค่อยๆเปลี่ยนไปเอง

และผู้ชายส่วนมากหลังจากที่จีบผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ผล ก็จะใช้วิธีที่ไม่คาดคิดเพื่อชนะใจเธอ ตัวอย่างความสำเร็จมีเยอะมากจนนับไม่ถ้วน

ดังนั้น ซูจือเฟยจึงมาที่สนามบินเองด้วยเฉพาะ มารับเฉินตัวตัว รวมถึงทีมงานคนอื่นๆของกู้ชิวอี๋เพื่อแสดงความกระตือรือร้นของตัวเอง

เพื่อตามจับกู้ชิวอี๋แล้ว ซูจือเฟยช่วงนี้เขาใช้ความพยายามมากมาย

ช่วงนี้เขาอยู่ที่จินหลิง เขาแอบทีมงานของกู้ชิวอี๋ ใช้เงินของตัวเองอัพเกรดงานคอนเสิร์ตของกู้ชิวอี๋ในครั้งนี้อย่างยิ่งใหญ่

ในตอนแรกอุปกรณ์ต่างๆในคอนเสิร์ตของกู้ชิวอี๋ในครั้งนี้ ได้ถึงขีดจำกัดสูงสุดของการแสดงเชิงพาณิชย์แล้ว ค่าใช้จ่ายก็สูงมากจนเกือบจะใกล้เคียงกับเส้นดุลรายได้

และคุณภาพของอุปกรณ์ระดับนี้ เป็นขีดจำกัดของการแสดงเชิงพาณิชย์ทั่วโลก แม้แต่นักร้องชั้นนำอย่างไมเคิล แจ็กสันรวมถึงบียอนเซ่ ค่าใช้จ่ายของพวกเขาก็ไม่สูงไปกว่านี้

แต่ซูจือเฟยกลับคิดว่า เขาจะต้องทำให้กู้ชิวอี๋สัมผัสได้ถึงความพยายามที่ทำด้วยใจของเขา

ดังนั้น เขาจึงทุ่มเงินซื้อทีมที่รับผิดชอบด้านเสียงและแสงของคอนเสิร์ตและศิลปะการแสดงบนเวที แอบทีมงานของกู้ชิวอี๋ เปลี่ยนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เช่นเสียงและแสงในคอนเสิร์ตของกู้ชิวอี๋ เป็นระดับพิธีการเปิดงานโอลิมปิก

ลำพังแค่ค่าขนส่งสำหรับอุปกรณ์เหล่านี้จากต่างประเทศโดยทางอากาศเพียงอย่างเดียวก็มีค่าใช้จ่ายหลายล้านแล้ว ประกอบกับค่าเช่าอุปกรณ์ และค่าดำเนินการ ค่าใช้จ่ายโดยรวมมากกว่าสามสิบล้าน

เป็นที่ทราบกันดีว่ามีคนเข้าร่วมคอนเสิร์ตเพียงหมื่นคนเท่านั้น ราคาตั๋วคอนเสิร์ตการแสดงมีตั้งแต่หนึ่งถึงสองพันถึงสองสามร้อย ถ้าคำนวณจากค่ามัธยัสถ์ฐาน ราคาตั๋วต่อหัวจะอยู่ที่หนึ่งพันหยวนเท่านั้น รายได้บ็อกซ์ออฟฟิศของคนไม่กี่หมื่น มีแค่ไม่กี่สิบล้าน

ถ้าเป็นทีมงานอื่นๆล่ะก็ ไม่มีทางใช้จ่ายเงินสามสิบล้านเพื่อมาสร้างจัดคอนเสิร์ตแน่ๆ เพราะถ้าเป็นแบบนี้ ถึงตั๋วคอนเสิร์ตจะถูกขายหมด อย่างน้อยก็จะขาดทุนถึงสิบห้าล้าน

แต่ซูจือเฟยไม่สนใจ

สิ่งที่เขาอยากได้ก็คือ ใช้ความเอื้ออาทรที่เกือบจะโง่เขลานี้ เพื่อแลกกับการทำให้กู้ชิวอี๋รู้สึกดี