คำพูดของซูจือหยู ทำให้เซียวชูหรันสีหน้าอึดอัดใจมากยิ่งขึ้น

เธอลูบสางผมเบาๆ แล้วพูดอย่างอ้ำอึ้งว่า“เอ่อคือ……ฉันก็รู้เหมือนกันค่ะว่ามันเรียกว่าคลุมถุงชนไหม……”

ซูจือหยูอดที่จะถามไม่ได้ว่า“ก่อนที่พวกคุณสองคนจะแต่งงานกัน ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ แน่นอนว่าไม่มีความรู้สึกอะไรให้กัน ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้รักกันด้วย แล้วยังแต่งงานกันภายใต้คำขอของคุณปู่อีก นี่มันการแต่งงานกันแบบคลุมถุงชนชัดๆไม่ใช่หรอ?”

พูดจบ จู่ๆซูจือหยูก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงโพล่งถามออกไปว่า“พวกคุณสองคนไม่ใช่สามีภรรยาที่แท้จริงกันใช่ไหมคะ?!”

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามที่ตรงไปตรงมาของซูจือหยู เซียวชูหรันรู้สึกอึดอัดมากยิ่งขึ้น เธอจึงพูดอย่างอึดอัดใจว่า“ฉัน……ฉัน……เอ่อคือ……คือ……”

เซียวชูหรันรู้สึกประหม่าและอึดอัดมาก ทำให้จู่ๆสายตาของซูจือหยูดูมีความสุขขึ้นมาในทันที

เธอรู้สึกว่า ตนน่าจะเดาถูกต้อง เพราะเซียวชูหรันแสดงออกท่าทีที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง

ถ้าตนเดาถูกล่ะก็ งั้นเย่เฉินกับเธอน่าจะเป็นแค่สามีภรรยากันในนามเท่านั้น

เมื่อเป็นแบบนี้ มันก็หมายความว่าตนมีโอกาสไม่ใช่หรอ?

ตู้ไห่ชิงที่อยู่ข้างๆเห็นท่าทีของเซียวชูหรันปิดปกติ เธอจึงตระหนักได้ถึงสิ่งที่ลูกสาวพูดเมื่อสักครู่ เป็นฉากที่ดีมาก

แต่ว่า ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกละอายใจต่อความคิดของตัว เนื่องจากเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องไร้ยางอาย กระทั่งน่ารังเกียจ

ในเวลานี้เอง ซูจือหยูรีบก้าวไปข้างหน้า แล้วควงแขนของเซียวชูหรัน พลางถามด้วยเสียงเบาว่า“ชูหรัน คุณกับสามีของคุณแต่งงานกันนานเท่าไรแล้ว?”

เซียวชูหรันตอบอย่างตรงไปตรงมา“เราแต่งงานกันมาสี่ปีแล้ว”

“สี่ปี?”ซูจือหยูแสร้งถามอย่างตกใจ“งั้นคุณบอกกับฉันได้ไหม การแต่งงานแบบคลุมถุงชนของพวกคุณ ในเวลาสี่ปีนี้ เป็นยังไงกันบ้าง?อยู่กันแบบเพื่อน หรือสวมบทแสดงละครกัน แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก”

เซียวชูหรันถูกคำถามของซูจือหยูถามจนอึดอัด เธอไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร

แต่ยิ่งเธออึดอัดใจ ซูจือหยูก็ยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตัวเอง ดังนั้นในใจของเธอจึงรู้สึกโล่งอกมากขึ้น

ตู้ไห่ชิงที่อยู่ข้างๆเมื่อเห็นว่าเซียวชูหรันถูกถามจนหน้าดำหน้าแดง เธอจึงรีบกล่าวกับซูจือหยูว่า“จือหยู อย่าพูดอะไรมั่วๆนะ ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมันใช้ได้ที่ไหนกัน?”

ซูจือหยูตระหนักได้ว่าตัวเองทำไม่ถูกต้อง จึงรีบกล่าวขอโทษขอโพยว่า“ขอโทษนะคะชูหรัน ฉันละลาบละล้วงเกินไป”

เซียวชูหรันรีบกล่าว อย่างโล่งอกว่า“ไม่เป็นไรค่ะ”

พูดจบ เธอก็รีบเอาไอแพดของตัวเองออกมาจากกระเป๋า เปิดภาพสเก็ตช์ของตัวเอง แล้วพูดกับตู้ไห่ชิงว่า“น้าตู้คะ เราคุยกันเรื่องแผนงานกันเถอะค่ะ!”

ตู้ไห่ชิงกล่าว“ได้สิ คุยเรื่องงานกันดีกว่า!”

ตอนนี้หัวใจของซูจือหยูรู้สึกดีใจมาก

ตลอดมา เธอคิดว่า ระหว่างตนกับเย่เฉินมีอุปสรรคมากเกินไป มีโอกาสแนวโน้มน้อยมากๆ

หนึ่งในนั้น ที่เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดก็คือภรรยาของเย่เฉิน มันยากกว่าการก้าวข้ามผ่านภูเขาเอเวอร์เรส

รองลงมาก็คือเย่เฉินมีสัญญาหมั้นหมายกับเย่เฉิน กระทั่งเย่เฉินอาจจะยังมีเพื่อนที่สนิทกันโดยที่ตัวเองไม่รู้มากกว่านี้ก็ได้

แต่ว่า การค้นพบเมื่อสักครู่ ทำให้ก้นบึ้งหัวใจของเธอมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น

เพราะ ที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุด เหมือนจะไม่ได้ก้าวข้ามยากเหมือนที่เธอคิด

คราวนี้มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนเห็นความสว่าง