เย่เฉินพูดด้วยสีหน้าขรึมว่า “อย่ามาหลอกฉันที่นี่นะ เธอลืมแล้วหรอว่าพวกเราสองคนไปบังเอิญเจอกันยังไง? ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอมีโรคกระเพาะอยู่นานหลายปี จะยินยอมเป็นพรีเซนเตอร์ยากระเพาะเก้าเสวียนของฉันได้ยังไง? เธอเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าปี ก็มีโรคกระเพาะแล้ว นี่ก็เป็นเพราะคอยวิ่งไปวิ่งมาจนเหนื่อยล้า ทานข้าวไม่ตรงเวลา แล้วความไม่แข็งแรงทำให้ก่อเกิดขึ้นไม่ใช่หรือไง?”
กู้ชิวอี๋พูดเสียงเบาอย่างละอายเล็กน้อยว่า “ถึงแม้ว่าฉันจะมีโรคกระเพาะอยู่ตลอด แต่เมื่อกินยากระเพาะเก้าเสวียนไปก็รักษาหายไปแล้วไม่ใช่รึไง….อย่างมากฉันก็แค่พกเอายากระเพาะเก้าเสวียนไปเยอะหน่อย รับประกันว่าจะไม่เป็นโรคระเพาะมาอีกแน่นอนค่ะ”
เย่เฉินพูดอย่างจริงจังว่า “คนๆหนึ่งถ้าหากว่าเหนื่อยล้ามากเกินไป ไม่เพียงแต่ทำร้ายกระเพาะเท่านั้น แต่ยังทำร้ายตับ หรือถึงขั้นเพิ่มภาระให้กับหัวใจอีกด้วย โรคกระเพาะมียากระเพาะเก้าเสวียน แล้วอย่างอื่นจะทำยังไง? อีกอย่างครั้งนี้เธอก็ต้องวิ่งเที่ยวไปนานขนาดนี้ ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นที่ต่างประเทศจะทำยังไง?”
พูดแล้ว เขาก็มองไปทางกู้เย้นจง พูดอย่างจริงจังว่า “ลุงกู้ ในเมื่อคุณเห็นเป็นคนนอกกับผมขนาดนี้แล้ว งั้นผมก็ต้องเห็นเป็นคนนอกกับคุณบ้าง เครื่องบินลำนั้นที่คุณมอบให้กับผม มันล้ำค่ามากเกินไปจริงๆ ผมรับมาหมดก็คงจะดูไม่เหมาะสม งั้นผมสั่งให้คนแกะเครื่องยนต์ทั้งสองออกแล้วคุณเอากลับไปมั้ยครับ?”
กู้เย้นจงได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่มีคำพูดอะไรจะเถียงในทันที
แกะเครื่องยนต์ออกแล้วเอากลับไป? มีแบบนี้ที่ไหนกัน…
อีกอย่าง เครื่องยนต์ที่ใหญ่ขนาดนี้ แกะออกมาแล้วเอาไปทำอะไรละ?
แต่ว่าในใจของเขาก็รู้ดี เย่เฉินเห็นพวกเขาทั้งสามคนเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นถึงได้ใจกว้างมากขนาดนี้ แล้วเอายาอายุวัฒนะมาให้อีกเม็ด
คิดถึงนี่ เขารู้สึกขอบคุณอย่างมาก ขณะเดียวกันก็อดที่จะแอบคิดไม่ได้ว่า “เฉินเอ๋อเห็นพวกเราเป็นคนในครอบครัว ฉันก็ต้องอย่าได้เห็นเขาเป็นคนนอกมากเกินไป อีกอย่างเฉินเอ๋อกับหนานหนานก็มีสัญญาแต่งงานกันด้วย ยังไงก็ต้องมาเป็นลูกเขยของฉัน ถ้าหากว่าเห็นเป็นคนนอกมากไป ก็ทำให้ฉันที่เป็นพ่อตาในอนาคตคนนี้ทำอะไรไม่รอบคอบ…”
เมื่อคิดถึงนี่แล้ว เขาถอนหายใจเบาๆ มองเย่เฉิน พูดอย่างขอบคุณเป็นอย่างมากว่า “เฉินเอ๋อ บุญคุณที่นายมีต่อพวกเราทั้งสามคน ลุงจะจดจำให้ขึ้นใจไว้ชั่วชีวิต!”
หลินหว่านชิวเองก็พูดด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “ใช่แล้วเฉินเอ๋อ พวกเราสามคน บุญคุณที่ติดไว้เยอะมากจริงๆ ถ้าไม่ใช่นาย ฉันก็คงบ้านแตกสาแหรกขาดไปนานแล้ว….”
เย่เฉินรีบพูดว่า “นาหลินอย่าได้พูดแบบนี้เด็ดขาดนะครับ!ถ้าหากว่าจะพูดว่าใครติดหนี้บุญคุณใครจริงๆ ก็เป็นเย่เฉินผมติดคุณ ติดลุงกู้ ติดหนานหนาน หลายปีมานี้ พวกคุณทั้งบ้านต่างก็ยังคอยดูแลคิดถึงผม ต่างก็วิ่งไล่ตามหาไปทั่วเพื่อหาผมให้เจอ ถึงขั้นเดินทางไปทั่วโลกเพื่อหาตัวผม ผมเย่เฉินคนนี้มีค่าอะไร ให้ครอบครัวคุณทั้งบ้านทำดีกับผมอย่างนี้!บุญคุณนี้ อยู่ในใจผมแล้ว ยิ่งใหญ่อย่างมากครับ!”
กู้ชิวอี๋เองก็ดวงตาแดงก่ำ เธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้ เอ่ยปากพูดว่า “พ่อคะ แม่คะ พวกเราเห็นพี่เย่เฉินเป็นคนในครอบครัว พี่เย่เฉินเองก็เห็นพวกเราเป็นคนในครอบครัว นี่พิสูจน์ได้ว่าพวกเราทั้งสี่คนเป็นครอบครัวกันอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าหนูกับพี่เย่เฉินจะยังไม่ได้แต่งงานกัน เขาก็เป็นคนในครอบครัวของเรา! ระหว่างในครอบครัว ทำอะไรให้กันก็ไม่ถือว่ามากเกินไป พวกเราก็อย่ามาเกรงใจกันเองที่นี่เลย คำพูดเกรงใจหากพูดมากเกินไป ทำให้ดูเห็นเป็นคนนอกกันมากเกินไปจริงๆ!”
พูดจบ เธอก็มองทั้งสามคน พูดอย่างจริงจังว่า “วันนี้หนูพูดไว้ตรงนี้เลย ต่อไปหนูจะไม่เกรงใจอะไรมั่วซั่วกับพี่เย่เฉินอีกแล้ว พี่เย่เฉินทำดีกับหนู ถือเป็นบุญของหนู ในเมื่อเป็นบุญของหนู หนูก็จะไม่ผลักดันเกรงใจหรอก หนูจะเพลิดเพลินกับการที่พี่เย่เฉินทำดีกับหนู! และแน่นอน หนูทำกับพี่เย่เฉินก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากแค่ไหน เพียงแค่พี่เย่เฉินต้องการ หนูก็จะไม่มีความลังเลเลยสักนิด ถึงตอนนั้นพี่เย่เฉินเองก็เกรงใจกับหนูเช่นกัน!”
เพิ่งพูดจบ เธอก็หยิบแก้วใบหนึ่งขึ้น พูดอย่างภาคภูมิว่า “ไม่สนใจพวกคุณสองคนแล้ว หนูดื่มก่อนละ!”