หลังจากทั้งสี่คนทานข้าวอิ่ม เซียวฉางควานดื่มเหล้าจนเมาขึ้นสมอง เริ่มพูดจาลิ้นเปลี้ย ดูก็รู้ว่าดื่มไปเยอะ
หม่าหลันกับเซียวชูหรันไม่สู้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่พอหม่าหลันได้ยินว่าไวน์แดงขวดหนึ่งราคาเป็นแสน จึงกัดฟันดื่มคนเดียวหมดไปครึ่งขวด ท่าทางเริ่มเลื่อนลอย กอดขวดเหล้าหัวเราะเอิ้กอ้าก
เซียวชูหรันหยุดดื่ม แม้ว่าหน้าจะแดง แต่สติการรับรู้ยังชัดเจน เมื่อเห็นว่าทุกคนกินอิ่มแล้ว แถมอีกชั่วโมงหนึ่งคอนเสิร์ตก็จะเริ่ม จึงพูดกับเย่เฉินว่า “ที่รัก เราขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันถอะ ใกล้ได้เวลาไปดูคอนเสิร์ตแล้ว!”
เย่เฉินพยักหน้า พูดกลั้วยิ้มว่า “คุณขึ้นไปเลย เดี๋ยวผมรออยู่ข้างล่าง”
ในตอนนี้เอง หม่าหลันที่เมาแล้ว ก็กอดขวดไวน์แดงเอาไว้ พร้อมรำพึงรำพันว่า “เฮ้อ….ฉันล่ะคิดไม่ถึงเลยจริงๆ…ว่าชีวิตของครอบครัวพวกเรา…..จะเป็นเหมือนอย่างวันนี้ ได้ขับรถหรู ได้อาศัยในบ้านหลังใหญ่ ได้ใช้เครื่องสำอางเซ็ตละแสน ได้ดื่มไวน์มีราคา…..เจ้าข้าเอ้ย ช่วงที่นายหญิงใหญ่เซียวยังรุ่งโรจน์ในอดีต ยังไม่ได้เท่านี้เลย”
เซียวฉางควานเจอฤทธิ์แอลกอฮอล์กระตุ้น จึงพูดโพล่งออกมาว่า “ใคร…ใครไม่ว่าอย่างนั้นบ้าง? บ้าน….บ้านหลังนั้นของแม่ผมน่ะ ทั้งเก่าทั้งทรุดทั้งโทรม ไม่มีราศีผู้ดีจับตั้งนานแล้ว จะมาสู้คฤหาสน์หลังใหญ่ของเราได้ยังไง….”
หม่าหลันเห็นด้วยกับคำพูดของเซียวฉางควานอย่างที่นานๆทีจะมีครั้ง พยักหน้าแล้วพูดว่า “ฉันจะบอกอะไรให้นะเซียวฉางควาน นี่คือบุญวาสนาของเราทั้งครอบครัว!ถ้าฉันไม่ได้คลอดลูกที่แสนดีคนนี้ออกมา เราจะมีวันนี้ไหม?”
ขณะที่พูด เธอก็ส่งเสียงฮึดฮัด “ตอนที่ฉันแต่งเข้าตระกูลคุณแรกๆ ครอบครัวคุณมีแต่คนดูถูกฉัน โดยเฉพาะแม่ของคุณ ในสายตาของเธอ คิดว่าฉันอาศัยท้องโตๆ ใช้ลูกหากินเพื่อแต่งเข้าตระกูลเซียว คิดว่าที่ฉันแต่งงานกับคุณ ก็เพราะอยากจะไต่ขึ้นสูง….”
พูดมาถึงตรงนี้ กรอบตาของหม่าหลันก็แดงระเรื่อ “ตอนนั้นเธอเกลียดฉันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งชอบเฉียนหงเย่นมากเท่านั้น เฉียนหงเย่นแตกต่างกับฉัน ทั้งสวยกว่า ทั้งเอาใจนายหญิงใหญ่เก่งกว่า ลูกสะใภ้แบบนั้นพาออกไปข้างนอกก็มีแต่เป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูล ไม่เหมือนฉัน เติบโตมาจากบ้านนอก หน้าตาไม่สวยเท่าเฉียนหงเย่น แต่งตัวฉ่ำเชย รู้สึกเหมือนเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ดีแต่ทำให้ตระกูลเซียวขายหน้า ถูกคนอื่นมองเอือมๆและโมโหใส่ไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่……”
หม่าหลันนิ่งไป จากนั้นก็ขยี้ตา แล้วถอนหายใจออกมา แล้วพูดขึ้นมาว่า “แต่คุณดูตอนนี้สิ!ทั้งแม่ทั้งพี่ชายของคุณ มีใครอยู่สุขสบายเท่าฉันไหม?”
เฉียวฉางควานยิ้มเจื่อนๆออกมา ไม่ได้เอ่ยพูดอะไร
หม่าหลันถามต่อ “เซียวฉางควาน ทำไมคุณไม่พูดอะไรเลยล่ะ? ฉันถามคุณอยู่นะ? ไหนคุณบอกมาซิ ตอนนี้มีใครสุขสบายเท่าฉันไหม?”
เซียวฉางควานทำอะไรไม่ได้ จึงพูดว่า “ใช่ๆๆ คุณพูดถูก พอใจหรือยัง?”
หม่าหลันรู้สึกน้อยใจ จึงสะอื้นออกมา “ทำไมคุณตอบแค่ลวกๆล่ะ!แต่งงานกันมาตั้งหลายปี คุณทำอย่างกับคุณถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียว แต่คุณเคยคิดบ้างไหม ว่าฉันรู้สึกน้อยใจแค่ไหน?”
เซียวฉางควานเกาหัว ยิ้มเจื่อนออกมา “นี่ มันก็หลายปีมาแล้วนะ จะพูดเรื่องนี้อีกทำไมเนี่ย?”
หม่าหลันพูดโพล่งออกไป “ที่ฉันไม่พูดและอดกลั้นมาตลอด ก็อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ว่าทั้งตระกูลเซียวของคุณดูถูกฉันทุกคน!”
เซียวฉางควานถอนหายใจออกมา แก้ตัวว่า “ไอ้หยา ไม่มีใครดูถูกคุณทั้งนั้นแหละ มีแต่คุณคิดมากไปเอง…..”
หม่าหลันร้องไห้ออกมา “เซียวฉางควาน คุณหัดพูดอะไรที่มันใช้ใจคิดหน่อยได้ไหม ไหนคุณบอกมาซิ หลายปีมานี้ ครอบครัวของคุณสร้างความอึดอัดใจให้ฉันเท่าไหร่? อย่าว่าแต่ฉันเลย ตัวคุณเองก็ด้วย แม่คุณกับพี่คุณ สร้างความอึดอัดใจให้คุณเท่าไหร่?”
เซียวฉางควานฟังมาถึงตรงนี้ ลึกในใจก็อดรู้สึกเศร้าขึ้นมาไม่ได้
หลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าภายนอกเขาจะทำตัวเลื่อนลอย ไม่สนโลก แต่เขาจำได้ขึ้นใจว่าถูกเลือกปฏิบัติและถูกผลักไสยังไง ถ้าจะบอกว่าน้อยใจ ก็ไม่ได้มีแค่หม่าหลันคนเดียวหรอกที่รู้สึกอย่างนั้น ในใจของเขาเองก็รู้สึกน้อยใจอยู่เต็มอกเหมือนกัน