ดังนั้น เขาจึงกำหมัดทันทีและกล่าวว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ผมจะให้เกียรติมากกว่าเชื่อฟัง!”

ซูเฉิงเฟิงรู้สึกดีใจและรีบสั่งซูอานสุ้นว่า “อานสุ้น! ให้ห้องครัวรีบจัดเตรียมงานเลี้ยงสำหรับแขกผู้มีเกียรติ ถ้าพนักงานไม่พอ ให้ไปร้านอาหารที่ดีที่สุดในซูหาง แล้วเชิญคนทั้งห้องครัวมาให้หมด จงเตรียมอาหารและเหล้าดีที่สุด ถ้าหากไม่ได้ตามมาตรฐานชั้นสูงแม้สักนิด ผมจะมาถามหาความรับผิดชอบจากคุณ!”

ซูอานสุ้นรีบกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “คุณท่านวางใจเถอะ ผมจะรีบไปดำเนินการทันที!”

ซูเฉิงเฟิงพยักหน้าและกล่าวกับว่านพั่วจวิน “พั่วจวิน ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณเข้ามาพักผ่อนก่อนเถอะ ดื่มชาสักถ้วย หากต้องการอะไรเพิ่มเติมก็บอกคนรับใช้โดยตรง พวกเขาจะบริการอย่างดี ผมอายุเยอะแล้ว สุขภาพไม่ค่อยดี ถึงเวลาต้องกินยาและเพิ่มออกซิเจนแล้ว อีกสักครู่จะได้ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนคุณได้!”

ท่าทางที่อบอุ่นและเป็นกันเองของซูเฉิงเฟิงทำให้ว่านพั่วจวินประทับใจเขามากขึ้น และคำพูดของเขานั้นก็มีความนอบน้อม เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “คุณปู่ซู คุณไปก่อนเถอะ ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้ก่อน”

ซูเฉิงเฟิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวกับท่านเฮ่อที่อยู่ด้านข้างเขาว่า “โอ้ ท่านเฮ่อ คุณกลับห้องเป็นเพื่อนผมเถอะ”

ท่านเฮ่อกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ได้ครับคุณท่าน ผมจะช่วยพยุงคุณ!”

ความจริงแล้ว ซูเฉิงเฟิงไม่จำเป็นต้องกินยาหรือเพิ่มออกซิเจนใด ๆ

เหตุผลที่เขาต้องหาข้ออ้างที่จะจากไปในเวลานี้ เป็นเพราะเขารอไม่ไหวที่อยากจะรู้อย่างชัดเจนจากท่านเฮ่อว่า สำนักว่านหลงนี้เป็นองค์กรประเภทใด และมีความแข็งแกร่งขนาดไหน?

ซูเฉิงเฟิงพาท่านเฮ่อไปที่ห้องของตนเอง หลังจากปิดประตู เขาถามท่านเฮ่อเบา ๆว่า “สำนักว่านหลงมีที่มาอย่างไร ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?”

ท่านเฮ่อรีบกล่าวว่า “คุณท่าน การที่คุณไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสำนักว่านหลงนั้นมันเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องบอกว่าพลังอำนาจของสำนักว่านหลงนั้นแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทหารรับจ้างของพวกเขาแทบจะไม่เคยทำงานล้มเหลว ผมได้ยินเพื่อนในแวดวงศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศพูดถึงเรื่องนี้ ว่ากันว่าทหารหัวกะทิของสำนักว่านหลงนั้นเก่งมาก และคนที่เก่งกว่าผมอย่างน้อยก็มีสิบคนขึ้นไป!”

“แม่งฉิบหาย!” ซูเฉิงเฟิงกล่าวโพล่งออกมา “ช่างไร้สาระสิ้นดี? ทำไมสำนักว่านหลงถึงได้แข็งแกร่งขนาดนั้น? หากต้องการหาคนที่แข็งแกร่งกว่าคุณทั่วหัวเซี่ย เกรงว่าจะมีไม่ถึงแม้แต่ห้าคนด้วยซ้ำ ทำไมสำนักว่านหลงถึงได้มีทหารหัวกะทิมากมายขนาดนั้น?”

ท่านเฮ่อกล่าวว่า “คุณท่าน ในประเทศสงบสุขและความมั่นคงมานาน ทำให้ยอดฝีมือศิลปะการต่อสู้ไม่มีโอกาสแสดงความสามารถ เช่นเดียวกับสำนักคุ้มกันที่ขาดไม่ได้ในอดีต นั่นเป็นเพราะสมัยโบราณมีความโกลาหลวุ่นวาย แต่ตอนนี้นอกจากสถานที่มีสงครามเหล่านั้นแล้ว สถานที่อื่นนั้นไม่มีคนทำอาชีพนี้แล้ว ตอนนี้ถ้าคิดจะทำอาชีพนี้ในประเทศ เกรงว่าจะไม่มีเงินแม้แต่จะกินข้าวด้วยซ้ำ…….”

“ดังนั้นนักศิลปะการต่อสู้ส่วนใหญ่ไม่สามารถหาเงินในประเทศได้ ฉะนั้นพวกเขาจึงไปตั้งหลักปักฐานที่ต่างประเทศนานแล้ว ไม่กล่าวถึงอย่างอื่น‘กลุ่มอิทธิพลมืด’ซึ่งเป็นแก๊งอันดับหนึ่งของคนหัวเซี่ยในต่างประเทศ มียอดฝีมือระดับสูงที่แข็งแกร่งกว่าผมอย่างน้อยหลายคน ยอดฝีมือเหล่านั้นส่วนใหญ่ไปพัฒนาเติบโตที่ต่างประเทศในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา และพวกเขาแข็งแกร่งกว่าอันธพาลยอดฝีมือภายนอกมาก!”

หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง ท่านเฮ่อกล่าวต่อไปว่า “นอกจากนี้ เจ้าพ่อค้ายารายใหญ่ในโคลอมเบียและเม็กซิโก มาเฟียในอิตาลีและสหรัฐอเมริกา และทีมยามากุจิในญี่ปุ่นต่างก็มียอดฝีมือระดับสูงอยู่เบื้องหลัง และพวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลสำคัญที่คนขององค์กรเหล่านั้นดูแลอยู่ ปกติจะไม่ปรากฏตัวออกมาง่าย ๆ”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ท่านเฮ่อจำบางอย่างได้ และกล่าวอีกครั้งว่า “อ้อ มีอีกอย่าง เมื่อก่อนมียอดฝีมือของประเทศพวกเราที่ไปสร้างธุรกิจของตนในต่างประเทศไม่น้อย พวกเขามีแก๊งหรือองค์กรเป็นของตนเอง ซึ่งขนาดอาจไม่ใหญ่เท่าสำนักว่านหลง อาจมีแค่สิบกว่าคน แต่ถึงอย่างไร ก็ไม่ควรมองข้าม ยอดฝีมือระดับสูงหลายสิบคนร่วมมือกันเป็นเวลาสิบหรือหลายสิบปี เมื่อพวกเขารวมตัวกัน แม้แต่ว่านพั่วจวินยังต้องพิจารณาถึงผลดีและผลเสีย!”

เมื่อซูเฉิงเฟิงฟังถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาว่า “ตามที่กล่าวมา พลังอำนาจของต่างประเทศนั้น ลึกจนไม่สามารถหยั่งรู้ได้จริง ๆ!