สิ่งที่แตกต่างจากว่านพั่วจวินคือตอนนี้ซูเฉิงเฟิงเต็มไปด้วยความละอาย

เขาไม่เคยก้มหัวประจบประแจงใครตั้งแต่สมัยหนุ่ม และตอนวัยกลางคนนั้นเขาเป็นที่ชื่นชมของผู้คนมากมาย

แต่ใครจะไปคิดว่าเขาที่เย่อหยิ่งมาตลอดชีวิต ในวัยชราจะก้มหัวประจบประแจงชายหนุ่มอายุ 20 กว่าปี

ความรู้สึกแบบนี้เป็นการทำลายศักดิ์ศรีของตนเอง แต่เขาจำต้องแสดงสีหน้าที่ประจบประแจงเช่นนี้ต่อไป เพราะเขาต้องการให้ว่านพั่วจวินช่วยเขาแก้ปัญหาต่าง ๆ ในขณะนี้

ดังนั้น หลังจากดื่มเหล้าไปหลายรอบ เขาหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาอีกครั้ง และกล่าวด้วยรอยยิ้มเศร้า ๆ ว่า “มา พั่วจวิน ผมขอดื่มคารวะให้คุณอีกแก้ว ขอให้คุณได้รับชัยชนะที่ภูเขาเย่หลิงซานในวันเช็งเม้ง และสามารถล้างแค้นให้พ่อแม่ของคุณได้สำเร็จ!”

ว่านพั่วจวินที่กำลังเล่นแก้วเหล้าที่อยู่ในมือ และกล่าวอย่างจริงจังว่า “คุณปู่ซู ไม่ใช่ภูเขาเย่หลิงซาน แต่เป็นภูเขาว่านหลิงซาน! หลังจากวันเช็งเม้งภูเขาว่านหลิงซานจะเป็นสุสานฝังศพพ่อแม่ของผมอย่างถาวร ผมจะให้ทหารหัวกะทิของสำนักว่านหลงปิดภูเขาทั้งลูก ไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมารบกวนความสงบของพวกท่าน!”

ซูเฉิงเฟิงกล่าวโพล่งออกมาทันที “ใช่ ๆ ๆ! ภูเขาว่านหลิงซาน! เมื่อสุสานของพ่อแม่คุณถูกย้ายไปที่ภูเขาว่านหลิงซานแล้ว ผมจะไปสักการะที่ภูเขาว่านหลิงซานด้วยตนเองอย่างแน่นอน!”

ว่านพั่วจวินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและกล่าวว่า “ถ้าคุณสามารถไปได้ก็จะเป็นการดีที่สุด”

หลังจากนั้น เขากล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “ความจริงแล้วเมื่อก่อนพ่อของผมบอกแม่ของผมหลายครั้ง โดยบอกว่าทุกครั้งที่เขาเห็นคุณ เขาจะรู้สึกกดดันมาก”

“จริงเหรอ?” ซูเฉิงเฟิงถามด้วยความประหลาดใจ “เหลียนเฉิงเห็นผมแล้ว ทำไมถึงได้รู้สึกกดดันมาก?”

ว่านพั่วจวินเหลือบมองที่ซูเฉิงเฟิงแวบหนึ่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เพราะเขาคิดว่าคุณดูถูกเขามาตลอด! ในสายตาของคุณแล้ว เขาเป็นเพื่อนเสเพลของอาซู และไม่คู่ควรเป็นเพื่อนกับอาซู และเป็นเพื่อนที่จะทำให้ชีวิตของอาซูตกต่ำลงเท่านั้น ทุกครั้งที่เห็นคุณ เขาจะมีความรู้สึกเหมือนกับว่านักเรียนที่แย่ไปเล่นกับนักเรียนที่เก่ง มีความรู้สึกว่าถูกพ่อแม่ของอีกฝ่ายรังเกียจขยะแขยง”

ซูเฉิงเฟิงหัวเราะอย่างอึดอัดและรีบอธิบายว่า “ผมคิดว่าเหลียนเฉิงอาจจะเข้าใจอะไรผมผิด ตอนนั้นผมเป็นคนเคร่งขรึม และเคร่งขรึมกับทุกคน แม้แต่กับโสว่เต้า ผมก็หน้าบึ้งตลอด ผมไม่ค่อยยิ้มแย้มกับเขา ดังนั้นผมไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกเหลียนเฉิงอย่างแน่นอน!”

ว่านพั่วจวินมองเขาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย และกล่าวอย่างจริงจังว่า “แต่วันนี้เมื่อผมได้สนทนากับคุณ ผมไม่ได้รู้สึกว่าคุณเป็นคนที่เคร่งขรึม และไม่รู้สึกว่าคุณเคร่งขรึมกับคนอื่น หรือนั้นเป็นเพราะว่าตอนนี้ผมมีพลังอำนาจที่พ่อไม่มีในตอนนั้น?”

“เรื่องนี้…..แค้ก ๆ…..เรื่องนี่……. ” ซูเฉิงเฟิงลังเลอยู่นาน แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทำไม

คำพูดของว่านพั่วจวิน ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพที่น่าอึดอัดยิ่งกว่าเดิม

เขารู้ว่าว่านพั่วจวินกำลังหัวเราะเยาะตนเอง

หลังจากที่ตนเองรู้ว่าเขาเป็นประมุขของสำนักว่านหลง และรู้ว่าสำนักว่านหลงนั้นแข็งแกร่งและทรงพลังมาก ตนเองจึงแสดงท่าทางประจบประแจงเป็นอย่างมาก

กล่าวตามจริง แม้แต่เขาเองยังรู้สึกรังเกียจสีหน้าของตนเอง

แต่มันไม่มีทางเลือก?

สถานการณ์ตอนนี้สำหรับซูเฉิงเฟิงแล้ว เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับว่านพั่วจวิน

เพราะว่านพั่วจวินกำลังจะโจมตีตระกูลเย่เร็ว ๆ นี้ เกรงว่าไม่ช้าตระกูลเย่จะพังพินาศ เมื่อตระกูลเย่พังพินาศแล้ว ภัยพิบัติที่แอบแฝงของตนเองมีเพียงคนเดียวเท่านั้น คือซูจือหยูผู้มีพระคุณที่ทรงพลัง

เรื่องนี้ มีแต่ว่านพั่วจวินเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาได้

เมื่อว่านพั่วจวินสามารถจัดการกับไอ้หมอนั้นแล้ว ตนเองจะมีเป็นหมื่นวิธีที่สามารถทำให้ซูจือหยูคืนหยวนหยางขนส่งกรุ๊ปให้กับตนเอง!

เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลซูจะมีโอกาสที่ดีในการเติบโตอีกครั้ง!

ขณะนี้ ว่านพั่วจวินเห็นหน้าแก่ชราของซูเฉิงเฟิงแดงก่ำ เขายิ้มอย่างหยอกล้อ โบกมือแล้วกล่าวว่า “ช่างเถอะ นี่เป็นเรื่องเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน ไม่ต้องกล่าวถึงแล้ว สรุปแล้ว ถ้าคุณสามารถไปสักการะพ่อแม่ของผมได้ ผมเชื่อว่าวิญญาณของพวกท่านที่อยู่บนสวรรค์จะได้รับการปลอบประโลมบ้าง”