ในขณะที่เส้นขอบฟ้าของซีเรียมีสีขาวดั่งท้องปลาปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย เย่เฉินก็แบกร่มกระโดดข้างหลัง จากนั้นก็กระโดดลงมาจากท้องฟ้าสูงพันเมตรเป็นครั้งที่สอง ฮามิดมารอที่นัดหมายตั้งนานแล้ว แถมยังพาซูโสว่เต้าที่ยังนอนไม่ทันตื่นดี มารอที่ยอดภูเขาแล้ว สองวันมานี้ซูโสว่เต้าเหนื่อยล้าทางสมองเนื่องจากการเคลื่อนไหวของสงครามเล็กน้อย ทุกวันกินนอนไม่ดี อุตส่าห์นอนหลับได้ไม่นาน ก็ถูกฮามิดกระชากตัวออกมาจากถ้ำเสียแล้ว ซูโสว่เต้าถูกฮามิดกระชากตัวออกมาด้วยความสะลึมสะลือ นึกว่าตนจะถูกฮามิดยิงเป้าตายเสียอีก หลังจากสอบถามแล้วฮามิดก็ไม่บอกเหตุผล ทำเอาเขาจิตใจกระส่ายกระสับ กระวนกระวายใจที่สุด ยอดเขาที่เห็นว่างเปล่า บริเวณรอบๆ ก็ไร้สิ่งอันใด ในใจของเขาเย็นยะเยือกขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามฮามิด: “จอมพลคามมิต ท่าน…ทำไมท่านพาผมมาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้ล่ะ จะทำอะไรเหรอ?” ฮามิดเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก: “แกเงียบๆ ไปเลย อยู่เฉยๆ น่า! ฉันต้องการทำอะไรน่ะเหรอ อีกสักครู่นายก็จะรู้แล้ว!” ซูโสว่เต้าเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของฮามิด จึงทำได้เพียงหดคอ และไม่เอ่ยอันใดอีก ในขณะนี้ ฮามิดหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมา มองไปแถวท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อยหาอะไรบางอย่างไม่หยุด และปากพลางเอ่ยพึมพำไปไม่หยุด: “ก็น่าจะถึงเวลาแล้วนะ? อยู่ไหนล่ะ? มองไม่เห็นเลย” ซูโสว่เต้ายิ่งเห็นดังนั้นก็ยิ่งฉงนใจ ครุ่นคิดเป็นเวลานาน อยู่ๆ ภายในหัวก็ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามอย่างลนลานว่า: “จอม…จอมพลคามมิด…ใกล้จะถึงวันเช็งเม้งแล้ว เย่เฉินจะให้ท่านส่งผมกลับไปใช่ไหม? ผมไปตอนนี้ไม่ได้นะ! ไม่งั้น ดีไม่ดีเฮลิคอปเตอร์ยังไม่บินออกไปไกลมาก ก็คงจะถูกคนของสำนักว่านหลง ยิงปรมาณูใส่ผมตายก่อน…” อันที่จริง ช่วงนี้ซูโสว่เต้า ก็ครุ่นคิดเรื่องกลับประเทศวันเช็งเม้งเช่นกัน ก่อนที่สำนักว่านหลงจะมาประกาศสงครามกับฮามิด เขาก็เอาแต่หวังให้เทศกาลเช็งเม้งรีบมาถึง จะได้กลับประเทศเร็วๆ ต่อให้ได้กลับประเทศไปอยู่ไม่กี่วันแล้วก็มาก็ยังดี มันก็ดีกว่าอยู่ในสถานที่แย่ๆ ตลอดเยอะเลย ทว่าตั้งแต่ที่สำนักว่านหลงและฮามิดทำสงครามกันสองครั้ง แล้วบาดเจ็บล้มตายเสียหายกันเป็นจำนวนมาก ซูโสว่เต้าก็ไม่กล้าไปแล้ว สองวันนี้เขาก็เข้าใจสถานการณ์เบื้องหน้าเป็นอย่างดี ทราบว่าฐานของฮามิดนั้นถูกล้อมไว้หมดแล้ว และทราบด้วยว่าฮามืดเตรียมที่จะใช้แนวรับป้องกันรวมถึงเตรียมกลยุทธ์รบจำนวนมหาศาล ดังนั้นเขากลัวว่าเย่เฉินจะมุ่งมั่นว่าจะให้ตนกลับประเทศให้ได้ เขาทราบว่าเวลานี้ อยู่ในฐานของฮามิดนั้น จึงจะปลอดภัยที่สุด บัดนี้ ฮามิดได้พาเขามายังยอดเขาแล้ว แถมยังหยิบกล้องส่องทางไกลไปยังฟากฟ้าไม่หยุด ราวกับกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่ เรื่องนี้ทำให้ซูโสว่เต้าเข้าใจผิดว่าฮามิดกำลังรอเฮลิคอปเตอร์อยู่ หมายจะให้เฮลิคอปเตอร์ส่งตนกลับไป ดังนั้น ภายในใจของเขาจึงหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ฮามิดฟังเขาเอ่ยพึมพำไม่หยุดอยู่ข้างหู จึงถีบเขาไปด้วยความไม่พอใจ เอ่ยด่าทอไปว่า: “พูดมากอยู่นั่นแหละ ฉันบอกให้แกหยุดพูดเพ้อเจ้อ แกฟังไม่รู้เรื่องหรือไง?” ซูโสว่เต้าทั้งโมโหทั้งกลัวในใจ ทว่าก็ไม่ยอมที่จะให้ชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงอยู่ในอันตราย ทำได้เพียงเอ่ยอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร: “จอมพลคามมิต ท่านฟังผมนะ ในเมื่อศัตรูได้ล็อกพวกเราเอาไว้แล้ว ก็จะต้องคิดสารพัดวิธีในการล็อกทั้งทางบกและทางอากาศของเราแน่นอน เฮลิคอปเตอร์เป็นเป้าใหญ่ เสียงรบกวนก็ดังมาก หากบิดขึ้นไปจริงๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับการส่งชีวิตไปตาย ผมตายไปไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าผมตายไปแล้วก็ยังพาเฮลิคอปเตอร์ราคาแพงของท่านไปด้วยอีก นั่นมันไม่คุ้มเลยนะครับ ท่านคิดว่าไงครับ?” ฮามิดกระชากคอเสื้อของเขา แล้วตบใบหน้าสองข้างซ้ายขวา ปริปากด่าทอ: “ฉันบอกว่าให้หุบปาก หุบปาก!” ตบสองครั้งนั้น ทำเอาซูโสว่เต้ามึนหูดับทันที และยังไม่ทันรอให้ซูโสว่เต้าเรียกสติกลับคืนมาได้ ฮามิดก็ถอดหมวดหมวกเบเร่ต์รุ่นเดียวกับสตอลโลนออก จากนั้นออกแรงทำให้หมวกเป็นลูกกลมๆ บีบแก้มสองข้างของซูโสว่เต้า จากนั้นก็ยัดหมวกลงไปในปากของเขา พร้อมด่าว่า: “ขืนพูดอีกที ฉันจะให้คนเอาขี้ให้แกกิน!”