สถานะของเฉินจงเหล่ยแห่งสำนักว่านหลงในหลายวันนี้ อันที่จริงก็เหมือนอย่างที่เย่เฉินคาดเดาไว้ไม่มีผิด ทุกข์ทนเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีเขาคิดว่ามีการกดดันของกองทัพ ทั้งล้อมไว้แต่ไม่โจมตีนั้น จะต้องทำให้ฮามิดรวมถึงลูกน้องของเขามีความกดดันภายในจิตใจมหาศาลแน่นอน ถึงขั้นผ่านไปไม่นานฝ่ายในของฮามิดก็จะหมดความกระตือรือร้นที่จะต่อสู้ กระทั่งเกิดเหตุการณ์กบฏหลบหนีขึ้น ทว่าเขาคิดไม่ถึงเลยว่า หลายวันผ่านไปติดต่อกันแล้ว ทางฮามิดแม้แต่หมาหนึ่งตัวก็ไม่มีวิ่งออกมา การทำศึกล้อมเมืองเช่นนี้ สิ่งที่หวาดกลัวที่สุดก็คือศัตรูมีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทันทีที่อีกฝ่ายไร้ซึ่งความหวาดกลัว เช่นนั้นก็คงต้องสิ้นเปลืองต่อไปอย่างไร้ขีดจำกัดแล้ว สิ้นเปลืองไปจนกระทั่งฮามิดหมดกระสุนหมดเสบียง หรือว่าทางฝ่ายตนยืนต่อไม่ไหวแล้ว อีกทั้งหลายวันมานี้ การขาดดุลทางการเงินของเขาก็สูงจนน่าตกใจ ผู้ช่วยของเขามาหา พร้อมรายงานให้กับเขาฟังอย่างวิตกกังวลใจยิ่งว่า: “จอมพล คนหมื่นห้าในตอนนี้ของพวกเรา สำหรับเงินเดือนรายวันรวมถึงรายจ่ายทุกรายการ อย่างน้อยก็อยู่ที่สามสี่สิบล้านดอลลาร์ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป เงินของพวกเราก็คงอยู่ได้ไม่นานแล้ว” ราชันสงครามแห่งสำนักว่านหลง ล้วนใช้ระบบการคิดบัญชีอิสระกันทั้งหมด เท่ากับว่าสี่คนนี้ ทุกคนต่างก็เปิดบริษัทสาขาย่อยกันคนละบริษัท ด้านของบัญชีจะต้องจัดการได้อย่างเพียงพอในแต่ละคน ในขณะเดียวกันก็ยังต้องรับประกันในเรื่องของผลกำไรด้วย ถ้าเกิดการขาดทุนขึ้น ก็ทำได้เพียงจัดการกันเองในฝ่ายในเท่านั้น เฉินจงเหล่ยเมื่อได้ยินจำนวนตัวเลขนี้แล้ว สีหน้าของเขาก็ทุกข์ตรมราวกับพ่อเสีย เขากัดฟันพร้อมเอ่ยว่า: “จะต้องเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ส่งต่อบัญชาของฉันไป ว่านับตั้งแต่วันนี้ ตราบใดที่ไม่มีการทำสงคราม เงินเดือนของทุกคนลดเหลือครึ่งหนึ่ง!” ผู้ช่วยได้ยินคำพูดนี้ จึงรีบเอ่ยขึ้นมาทันที: “จอมพลครับ ช่วงนี้ทุกคนต่างก็มีเสียงบ่นกันทั้งนั้น หากท่านลดเงินเดือนของพวกเขาลงอีก ผมเกรงว่าพวกเขาจะรวมตัวกันมาต่อต้านได้ครับ!” ​เฉินจงเหล่ยถามกลับด้วยความโมโห: “คนพวกนี้อยู่ในค่ายทหารตลอดทั้งวันไม่มีเรื่องห่าอะไรทำเลย ไม่ต้องทำสงคราม ไม่ต้องเสี่ยงอันตราย เงินเดือนก็ได้เหมือนเดิม พวกเขามีอะไรที่ต้องบ่นด้วย?” ผู้ช่วยเอ่ยด้วยความพะอืดพะอม: “สองวันมานี้อารมณ์ด้านลบของทุกคนค่อนข้างเยอะครับ ด้านหนึ่งก็เป็นเพราะทุกคนไม่พอใจกับอาหารการกินในช่วงนี้ อีกด้านหนึ่งก็คือปัญหาของที่พักครับ เมื่อวานนี้พวกเขายังส่งตัวแทนมาตั้งหลายคน เพื่อมาบ่นให้ผมฟังยกใหญ่ อยากให้ผมมาเจรจากับท่านเพื่อหาทางแก้ไขครับ” เฉินจงเหล่ยเอ่ย ด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์: “นายอธิบายมาให้ฉันฟังอย่างชัดเจนทีละข้อซิ ว่าพวกเขาไม่พอใจตรงไหนกันแน่” ผู้ช่วยรีบเอ่ยว่า: “ถ้างั้นผมจะพูดทีละข้อเลยนะครับ ก่อนอื่นคือปัญหาด้านอาหารการกิน ตอนนี้นอกจากผู้บัญชาระดับกลางและสูงแล้ว คนอื่นๆ รวมถึงทหารท้องถิ่นของรัฐบาลก็มีมาตรฐานการกินแบบเดียวกันหมด ถึงขั้นว่าแม้แต่ซัพพลายเออร์ก็เหมือนกัน อาหารการกินของท้องถิ่น ไม่ค่อยเหมาะสำหรับความเคยชินของทหารเราครับ…” “ทหารของพวกเราให้ความสำคัญกับน้ำหนักร่างกายเป็นอย่างมาก ดังนั้นปกติแล้ว ความเคยชินในด้านของการกินก็จะค่อนไปทางตะวันตกสไตล์อเมริกาเป็นส่วนใหญ่ ทุกวันต้องกินเนื้อวัวเป็นจำนวนมาก รวมถึงผัก นม กระทั่งมีเนยถั่วและไอศกรีมครับ” สิ้นเสียง ผู้ช่วยก็เอ่ยขึ้นอีก: “สำหรับปัญหาของการพักผ่อน หลักๆ ก็คือทุกคนไม่พอใจกับการเต็นท์ทหารในตอนนี้มาก” “เต็นท์ล็อตนี้ล้วนเป็นของที่ทหารรัฐบาลไประดมมาจากแหล่งต่างๆ ส่วนมากจะถูกวางไว้ในโกดังเป็นเวลานานมากแล้ว มีลมมีฝนรั่วเข้ามาได้เป็นเรื่องปกติ ตอนนี้ก็เป็นฤดูฝนพอดี ดังนั้นจึงทำให้ภายในเต็นท์เปียกไปหมด ความรู้สึกหลังเข้าไปพักย่ำแย่มาก” “อีกอย่าง ตอนนี้ปัญหาด้านไฟฟ้า ไม่สามารถแก้ไขได้โดยสิ้นเชิง มีเพียงเครื่องปั่นไฟไม่กี่เครื่อง ไม่สามารถที่จะเพียงพอให้ทหารของทั้งสองฝ่ายนับสามหมื่นนายใช้เลย ดังนั้นตอนนี้จึงทำได้เพียงใช้วิธีการสลับวนกันใช้งาน โดยเฉลี่ยแล้ว เวลาที่ทหารทุกคนสามารถได้ใช้งานไฟฟ้าต่อวัน ไม่เกินสี่ชั่วโมง” “ดังนั้น ตอนนี้ทุกคนล้วนกำลังร้องขอให้เปลี่ยนเป็นบ้านสำเร็จรูปแบบโมดูลาร์ทั้งหมด จากนั้นให้มีไฟฟ้าใช้ตลอด 24 ชม.” เฉินจงเหล่ยเอ่ยด่าทอด้วยความโมโห: “ไอ้พวกบัดซบพวกนี้ มาทำสงครามหรือว่ามาพักร้อนกันแน่?” ผู้ช่วยเอ่ยด้วยความเอือมระอา: “จอมพล แม้ว่าพวกเขาจะมาทำสงคราม แต่ท่านเองก็ทราบว่าเดิมทีพวกเขาก็ไม่ชอบทำสงครามที่ลำบากนี่ครับ!”