อีกฝ่ายส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ผู้บังคับบัญชาของผมตกลงเจรจาสงบศึกแล้ว ตามความหมายของผู้บังคับบัญชาของผม ขอเพียงแค่ฮามิดเต็มใจยอมจำนนต่อสาธารณะ และปลดอาวุธทหารทั้งหมด และสลายตัวไปทันที พวกเราสามารถไม่เอาผิดทางกฎหมายใด ๆ กับฮามิด แม้กระทั่งถ้าฮามิดเต็มใจ พวกเรายินดีที่จะรับเขาเป็นทหารกองทัพของรัฐบาล และให้ตำแหน่งแก่เขา” “อะไรนะ?!” เฉินจงเหล่ยกล่าวโพล่งออกมา “ฮามิดฆ่าคนของพวกคุณไปมากมาย ซึ่งควรจะถูกตัดสินลงโทษโดยการแขวนคอ แต่พวกคุณยังต้องการรับเขามาเป็นทหารของกองทัพรัฐบาลอีกหรือ?!” อีกฝ่ายกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “ขอแค่เขายอมจำนน สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่ปัญหา คุณต้องรู้ว่าตอนนี้ฮามิดได้กลายเป็นสัญญาลักษณ์ของฝ่ายต่อต้านแล้ว และขณะเดียวกันยังเป็นแกนหลักสำหรับฝ่ายต่อต้านอีกด้วย ถ้าฮามิดยอมจำนน จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของฝ่ายต่อต้านอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเรา และแน่นอนว่าพวกเรายินดีที่จะรับเขามาเป็นทหารของกองทัพรัฐบาล!” เฉินจงเหล่ยกัดฟันและกล่าวว่า “ฮามิดเป็นศัตรูตัวฉกาจของสำนักว่านหลง! หากพวกคุณต้องการรับเขาเป็นทหารของกองทัพรัฐบาล พวกคุณต้องพิจารณาว่าต่อไปสำนักว่านหลงจะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้! หรือว่าพวกคุณต้องการเป็นศัตรูกับสำนักว่านหลง?!” เมื่ออีกฝ่ายได้ยินประโยคนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้สึกกังวลเล็กน้อย ความจริง ไม่มีใครกล้าล่วงเกินสำนักว่านหลงที่ทรงพลัง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลังเลเล็กน้อย เฉินจงเหล่ยถือโอกาสกล่าวว่า “นอกจากทัศนคติของผู้บังคับบัญชาของคุณแล้ว ทัศนคติของคุณกับผมที่มีต่อฮามิดน่าจะเหมือนกัน หวังว่าพวกเราจะสามารถฆ่าพวกเขาได้โดยเร็ว ดังนั้นเรื่องนี้อย่ารีบร้อนตกลงกับฮามิด ผมคิดว่าคุณน่าจะปฏิเสธเขาอย่างเด็ดขาดก่อน ซึ่งจะทำให้เขาเกิดความกดดันทางจิตใจมากขึ้น! ถ้าคุณปฏิเสธเขา คุณจะไม่เสียหายอะไร และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะโกรธเคืองเพราะถูกคุณปฏิเสธการเจรจาสงบศึก แล้วส่งกองกำลังมาโจมตีพวกเรา” อีกฝ่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ จอมพลเฉิน ผมจะบอกตามตรง แม้ว่าผมจะไม่อยากเจรจาสงบศึกกับฮามิด แต่เกรงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะมีอำนาจตัดสินใจได้” เฉินจงเหล่ยกล่าวทันทีว่า “ถึงคุณจะไม่มีอำนาจตัดสินใจมันก็ไม่มีประโยชน์ คุณอย่าลืมว่าคุณสามารถตัดสินใจจะเจรจาสงบศึกหรือไม่เจรจาสงบศึก? ถึงแม้พวกคุณจะตกลงเจรจาสงบศึกกับเขา และบรรลุข้อตกลงกับเขา สำนักว่านหลงก็ไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน! เมื่อถึงเวลานั้น ทหาร 15,000 คนของสำนักว่านหลงจะเฝ้าอยู่ที่นี่ และขอเพียงแค่ฮามิดและลูกน้องของเขากล้าออกมา พวกเราจะฆ่าพวกเขาตายทันที!” อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดทันที ถ้าเฉินจงเหล่ยไม่ยินยอมที่จะเจรจาสงบศึกจริง ๆ การที่พวกเขาจะไปเจรจากับฮามิดก็ไม่มีประโยชน์อะไร เมื่อถึงเวลานั้นสำนักว่านหลงไม่ถอนกำลัง แล้วใครจะสามารถทำอะไรพวกเขาได้? เมื่อฟังถึงตรงนี้ เขากล่าวอย่างจำใจว่า “จอมพลเฉิน ผมจะให้เวลาคุณคิดไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างมากที่สุดห้าวัน ถ้าห้าวันแล้วคุณยังไม่ยินยอมที่จะเจรจาสงบศึกกับฮามิด งั้นพวกเราก็ทำได้แค่เพียงถอนกำลังออกไปเท่านั้น!” “ตกลง!” เฉินจงเหล่ยคิดว่าสามารถถ่วงเวลาไปอีกห้าวันก็ยังดี ดังนั้นเขาจึงตกลงโดยไม่ลังเล และกล่าวโพล่งออกมา “งั้นคุณควรตอบกลับฮามิดก่อน และบอกพวกเขาว่าตอนนี้ยังไม่พิจารณาการเจรจาสงบศึก!” “โอเค!” หลังจากนั้น ข่าวก็ถูกส่งกลับไปยังฮามิดอย่างรวดเร็วโดยผ่านคนกลาง เมื่อฮามิดได้ยินว่ากองทัพของรัฐบาลไม่ยินยอมที่จะเจรจาสงบศึกกับตนเองชั่วคราว เขาด่าด้วยความโมโหว่า “แม่งฉิบหาย ผมเป็นคนริเริ่มเจรจาสงบศึกก่อน แต่พวกเขากลับไม่ยินยอม! ให้เกียรติแต่ไม่รับเกียรติ!” หลังจากกล่าวจบ เขารีบถามเย่เฉินว่า “น้องเย่ ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร? หรือจะรอให้พวกเขาเปลี่ยนใจ?” เย่เฉินขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “ผมมีเรื่องด่วนต้องรีบกลับไปทำ ผมรอไม่ไหวแล้ว” หลังจากนั้น เย่เฉินกล่าวอีกครั้ง “การที่พวกเขาไม่ยินยอมเจรจาสงบศึก ผมคิดว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของคุณมากพอ” “ใช่!” ฮามิดกล่าวอย่างเย็นชา “พวกเขาคงคิดว่าผมเป็นคนที่อ่อนแอ!” เย่เฉินหัวเราะและกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้น คุณรีบถ่ายภาพเสบียงทั้งหมดของคุณทันที แล้วส่งภาพถ่ายเหล่านั้นไปให้พวกเขา และบอกพวกเขาว่านี่เป็นเสบียงเพียงส่วนหนึ่งของคุณที่เตรียมไว้สำหรับรบเท่านั้น และสุดท้ายก็ให้โอกาสพวกเขาเจรจาสงบศึกอีกครั้ง ผมไม่เชื่อว่าคราวนี้พวกเขาจะไม่ตกลง!