“อะไรนะ!” นางาฮิโกะ อิโตะอุทาน “คุณเย่กำลังมีปัญหา? คนที่มีความสามารถที่มหัศจรรย์อย่างคุณเย่ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใช่ไหม?” อิโตะ นานาโกะไม่สามารถควบคุมน้ำตาของตนเองได้แล้ว และกล่าวด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “คราวนี้……สำนักว่านหลงองค์กรรับจ้างชั้นนำของโลกได้บุกไปหาเย่เฉินซังแล้ว…..” “สำนักว่านหลง!?” นางาฮิโกะ อิโตะเพียงรู้สึกมึนศีรษะ และกล่าวโพล่งออกมาว่า “คุณเย่ล่วงเกินสำนักว่านหลงได้อย่างไร?…..” อิโตะ นานาโกะส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ฉันไม่รู้รายละเอียดเจาะจง วันนี้ฉันเพิ่งยืนยันสถานะของเย่เฉินซัง ความจริงแล้วเขาเป็นทายาทของตระกูลเย่แห่งเย่นจิงดังนั้นเขาจึงไปงานไหว้บรรพบุรุษของตระกูลเย่ที่เย่นจิง ว่ากันว่าตระกูลเย่และประมุขของสำนักว่านหลงมีความแค้นต่อกัน และวันนี้อีกฝ่ายได้บุกไปที่ตระกูลเย่ แล้วทิ้งโลงศพไว้หนึ่งร้อยกว่าโลง และยังบอกว่าจะฆ่าล้างตระกูลเย่….…” นางาฮิโกะ อิโตะอุทานด้วยความประหลาดใจ “ที่แท้คุณเย่เป็นทายาทของตระกูลเย่!” หลังจากนั้น นางาฮิโกะ อิโตะถามเธออีกครั้งว่า “การที่คุณเรียกนินจาจากสี่ตระกูลใหญ่ทั้งหมดให้ไปที่เย่นจิง เพื่อไปช่วยคุณเย่ใช่ไหม?” “ถูกต้อง!” อิโตะ นานาโกะพยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวและกล่าวว่า “เย่เฉินซังมีบุญคุณต่อฉัน แต่ตอนนี้เขามีปัญหา ฉันจะนิ่งดูดายไม่ได้!” นางาฮิโกะ อิโตะกล่าวด้วยท่าทางที่ซับซ้อน “เพียงแต่…..นินจาจากสี่ตระกูล ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสำนักว่านหลง…….” นางาฮิโกะ อิโตะกล่าวอีกว่า “ผมรู้สถานการณ์ของสำนักว่านหลง มีทหารรับจ้างชั้นยอดหลายหมื่นคน และมียอดฝีมือระดับสูงกว่าร้อยคน ความแข็งแกร่งแบบนี้ นอกจากสามตระกูลอันดับแรกของโลกแล้ว ไม่มีตระกูลธุรกิจใดที่กล้าล่วงเกินพวกเขา ซึ่ฃรวมทั้งพวกเราด้วย” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางาฮิโกะ อิโตะหยุดสักครู่และกล่าวต่อ “เมื่อหลายปีก่อน ทีมยามากุจิในตะวันออกกลางเกิดความขัดแย้งกับสำนักว่านหลงจากธุรกิจผิดกฎหมายบางอย่าง คนของสำนักว่านหลงยี่สิบกว่าคนได้ฆ่าทีมยามากุจิไปร้อยกว่าคน และไม่มีใครสามารถรอดชีวิต นับแต่นั้นมา เมื่อทีมยามากุจิที่อยู่ในประเทศได้ยินคำว่าสำนักว่านหลงพวกเขาจะเลี่ยงทันที……” อิโตะ นานาโกะกล่าวโพล่งออกมา “โอโต้ซัง ฉันไม่สามารถสนใจเรื่องพวกนี้ได้หมด ยังไงก็ตาม ฉันจะพยายามช่วยเย่เฉินซังจนสุดความสามารถ แม้ว่าฉันจะตายอยู่ในหัวเซี่ย ฉันก็จะไม่ลังเล!” นางาฮิโกะ อิโตะมองท่าทางที่แน่วแน่ของอิโตะ นานาโกะ เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจและโบกมือว่า “ไปเถอะ! ในเมื่อคุณตัดสินใจแล้ว ถึงผมจะพูดไปก็ไร้ประโยชน์ แต่มีสองเรื่องที่อยากจะกำชับคุณ…..” เมื่ออิโตะ นานาโกะได้ยินประโยคนี้ เธอรู้สึกดีใจและรีบกล่าวว่า “โอโต้ซัง พูดมาเถอะ!” นางาฮิโกะ อิโตะกล่าวอย่างจริงจังว่า “เรื่องแรก นักรบมากมายไม่ได้กล้าหาญจริง ๆ คนมักพูดว่า ‘คนที่ไม่รู้อะไร จะไม่มีความกลัว’ ดังนั้นคุณต้องจำไว้ว่าถ้าไม่ถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับสำนักว่านหลงจริง ๆ อย่าให้นินจาจากสี่ตระกูลใหญ่รู้ว่าคราวนี้ใครคือศัตรูที่พวกเขาเผชิญ มิเช่นนั้น พ่อเชื่อว่าไม่มีใครกล้าขึ้นเครื่องบินไปกับคุณแน่นอน” อิโตะ นานาโกะกัดริมฝีปากของเธอและพยักหน้าอย่างหนักแน่น “โอโต้ซัง นานาโกะรู้แล้ว!” นางาฮิโกะ อิโตะพยักหน้า มองเธอด้วยความอาลัย และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรัก “เรื่องที่สอง ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม คุณต้องมีชีวิตอยู่ โอโต้ซังเสียขาทั้งสองข้างไปแล้ว ถ้าสูญเสียคุณอีก ชีวิตของผมก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว!” อิโตะ นานาโกะน้ำตาเต็มหน้า คุกเข่าลงบนพื้นทันที แล้วจับมือของนางาฮิโกะ อิโตะและกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “โอโต้ซัง วางใจเถอะ นานาโกะจะทำให้ดีที่สุด!” นางาฮิโกะ อิโตะควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้เช่นกัน น้ำตาของเขาไหลออกมาจากสองตา หลังจากนั้น เขามองอิโตะ นานาโกะและกล่าวด้วยอารมณ์เศร้า “ก็แค่นั้นแหละ นานาโกะ โอโต้ซังจะไปเย่นจิงกับคุณด้วย!” อิโตะ นานาโกะถามด้วยความประหลาดใจ “โอโต้ซัง คุณจะไปด้วยหรือ?” นางาฮิโกะ อิโตะพยักหน้าและกล่าวอย่างจริงจังว่า “คุณเย่มีบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ต่อตระกูลอิโตะ ตอนนี้เขาประสบปัญหาใหญ่ ผมควรจะไปช่วย!” ความจริง มีประโยคหนึ่งที่นางาฮิโกะ อิโตะยังไม่ได้พูดออกมา เขามองอิโตะ นานาโกะและกล่าวอยู่ในใจ “นานาโกะ คุณเป็นลูกสาวคนเดียวของโอโต้ซัง ถ้าไปเย่นจิงแล้วต้องตาย โอโต้ซังควรจะไปตายแทนคุณ!”